380 likes | 551 Views
โครงการสวัสดิการในประเทศต่างๆ. อนิณ อรุณเรืองสวัสดิ์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. ขอบเขต. สืบค้นโครงการช่วยเหลือทางสังคมแบบของประเทศต่างๆ ที่อาจนำมาปรับใช้กับประเทศไทย
E N D
โครงการสวัสดิการในประเทศต่างๆโครงการสวัสดิการในประเทศต่างๆ อนิณ อรุณเรืองสวัสดิ์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ขอบเขต • สืบค้นโครงการช่วยเหลือทางสังคมแบบของประเทศต่างๆ ที่อาจนำมาปรับใช้กับประเทศไทย • ไม่ขอกล่าวถึงโครงการที่เป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญ กองทุนประกันสังคม หรือ ระบบประกันสุขภาพ ที่ประเทศไทยมีอยู่แล้ว • 6 ประเทศ สวีเดน สหรัฐฯ เม็กซิโก อินเดีย ออสเตรเลีย และ เกาหลีใต้
สวีเดน: รัฐสวัสดิการ • สวัสดิการสำหรับครอบครัว • พ่อและแม่สามารถหยุดงานได้รวมกัน 480 วัน ต่อลูกหนึ่งคน • หากมีลูกแฝดหยุดเพิ่มได้อีก 180 วัน • ใช้สิทธิได้ตั้งแต่ 60 วันก่อนหน้าวันกำหนดคลอด • ได้รับเงินช่วยเหลือเมื่อหยุดงานเป็นรายวัน (180 SEK ~ $30) • เด็กจะได้รับเงินค่าใช้จ่ายรายเดือน (1,050 SEK ~ $175) • มีลูกตั้งแต่สองคนขึ้นไปได้รับเงินช่วยเหลือเพิ่มเติม (Large Family Supplement)
สวีเดน: รัฐสวัสดิการ • สิทธิประโยชน์จากการว่างงาน • การเจ็บป่วยจากการทำงานและ • เงินได้จากการเจ็บป่วย (Sick pay) จากนายจ้างในช่วง 14 วันแรกของการเจ็บป่วย (ประมาณ 80% ของรายได้) • หากเจ็บป่วยเกิน 14 วันจะได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลที่เรียกว่า (Sickness Benefit) • การประกันการว่างงาน • เงินประกันขั้นพื้นฐาน (Basic amount) + เงินประกันที่เกี่ยวพันกับรายได้ (Income related insurance) • เงินประกันการว่างงานเป็นเวลา 300 วัน + 150 วันหากมีภาระเลี้ยงดูเด็กต่ำกว่า 18 (ถูกเก็บภาษี)
สวีเดน: รัฐสวัสดิการ • สวัสดิการด้านที่อยู่อาศัย • ครอบครัวรายได้ต่ำที่มีเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี สามารถได้รับความช่วยเหลือค่าใช้จ่ายด้านที่อยู่อาศัย • สำหรับผู้พิการ และ ผู้สูงอายุ • สวัสดิการสำหรับคนพิการ • ค่าใช้จ่ายสำหรับผู้พิการ (Disability allowance) ค่าใช้จ่ายสำหรับการจ้างผู้ดูแล (Attendance allowance) • ครอบครัวเด็กพิการสามารถขอรับเงินช่วยเหลือค่ารถ (Car allowance) ไว้สำหรับดัดแปลงรถให้เหมาะสม
สวีเดน: รัฐสวัสดิการ • สิทธิด้านการรักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วย • สวัสดิการผู้สูงอายุ • เงินจากกองทุนผู้สูงอายุ (Old age pension) สำหรับผู้ที่จ่ายเงินสมทบ (เสียภาษี) • Guarantee pension สำหรับผู้ที่ไม่ได้ old age pension แต่อาศัยอยู่ในสวีเดน 40 ปีขึ้นไป • เงินช่วยเหลือเพื่อยังชีพ (Maintenance support) สำหรับผู้ที่ไม่อยู่ในระบบกองทุนผู้สูงอายุ
สวีเดน: รัฐสวัสดิการ • ต้องมีการจัดเก็บภาษีที่สูง (ภาษีเงินได้สูงสุดอยู่ที่ 60%, VAT 25%, ภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุด 26%) • การรักษาพยาบาลที่ดีทำให้อายุเฉลี่ยของประชากรสูงขึ้น • โครงสร้างประชากรที่มีผู้สูงอายุ มากกว่าผู้ที่อยู่ในวัยทำงาน ทำให้มีปัญหาด้านงบประมาณ
รูปที่ 1 : ค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการสังคมคิดเป็นร้อยละของ GDP ในปี 2000 – 2005
รูปที่ 2: รายได้จากภาษีคิดเป็นร้อยละของ GDP ในปี 2000 – 2005
สหรัฐฯ: Temporary Assistance for Needy Families (TAMF) • ช่วยเหลือครอบครัวยากจนที่มีภาระเลี้ยงดูเด็ก ในด้านต่างๆ เช่น การให้เงินช่วยเหลือ การให้บริการดูแลเด็ก เป็นต้น โดยมีเป้าหมาย • ให้เด็กได้รับการดูแลที่เหมาะสมจากครอบครัว • ส่งเสริมการทำงานหารายได้ • ส่งเสริมการอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว • มีการกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับการทำงาน (The personal Responsibility and Work Opportunity Reconciliation Act of 1996 (PRWORA) • บุคคลหนึ่งๆ ไม่สามารถได้รับสิทธิประโยชน์เกินกว่า 5 ปี ตลอดชั่วชีวิตของบุคคลดังกล่าว • มีการกำหนดอัตราส่วนลดของสิทธิประโยชน์ (Benefit reduction rate, BRR) และ การหักค่าใช้จ่าย (Earning disregard)
สหรัฐฯ: Earned Income Tax Credit • ให้เครดิตภาษีแก่ผู้ทำงานที่มีรายได้ต่ำ อายุระหว่าง 25 ถึง 65 ปี • เครดิตภาษีรูปแบบนี้เป็นประเภทที่สามารถเรียกคืนได้ กล่าวคือ หากเครดิตภาษีมีจำนวนที่สูงกว่าจำนวนภาษีที่จะต้องจ่าย รัฐบาลจะจ่ายส่วนต่างคืนให้กับผู้เสียภาษี • การคำนวณเครติดภาษี จะแบ่งตามระดับรายได้ และ จำนวนเด็กในครอบครัว
สหรัฐฯ: Public housing • ช่วยเหลือบุคคลยากจน ครอบครัวยากจน ผู้สูงอายุ และผู้พิการ เพื่อให้มีบ้านเช่าอาศัยที่ปลอดภัย ด้วยการจัดหาบ้านให้เช่าในหลายรูปแบบ • เงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะถูกนำมาคำนวณเป็นค่าเช่าซึ่งเท่ากับจำนวนเงินสูงที่สุดจาก • 30% ของรายได้ต่อเดือนหลังหักค่าใช้จ่าย • 10% ของรายได้ต่อเดือนก่อนหักค่าใช้จ่าย • ค่าเช่าขั้นต่ำ $25 ถึง $50 ต่อเดือน แล้วแต่พื้นที่ • ผู้ร่วมโครงการสามารถอยู่อาศัยในที่ที่จัดหาให้ไปเรื่อยๆ เว้นเสียแต่จะมีการทำผิดสัญญาเช่า
สหรัฐฯ: Housing Choice Vouchers • ให้ความช่วยเหลือแก่ครอบครัวยากจน คนแก่ และ ผู้พิการ เพื่อให้สามารถมีบ้านเพื่ออยู่อาศัย • ผู้ร่วมโครงการสามารถหาที่อยู่เอง โดยจะต้องเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดและ ผู้ให้เช่าจะต้องตกลงเข้าร่วมโครงการ • ผู้ร่วมโครงการจะต้องสมทบเงินอย่างน้อย 30% ของรายได้ และรัฐจะจ่ายเงินช่วยเหลือค่าเช่าบางส่วน โดยมี “payment standard” เป็นเพดาน • ผู้ร่วมโครงการจะถูกพิจารณาจาก รายได้ และ ขนาดครอบครัว ซึ่งโดยทั่วไป รายได้ต้องไม่เกิน 50% ของค่า median ของรายได้ในพื้นที่ที่จะอยู่อาศัย
สหรัฐฯ: โครงการ Supplemental Security Income • ให้เงินช่วยเหลือค่าใช้จ่ายรายเดือนเพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวันแก่ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป คนตาบอด ผู้พิการ และ ผู้พิการจากการทำงาน • รัฐบาลอนุญาตให้ผู้เข้าร่วมโครงการ สามารถทดลองทำงานเพื่อทดสอบว่าจะสามารถทำงานได้หรือไม่เป็นเวลา 9 เดือน ภายในระยะเวลา 5 ปี • ยังคงได้รับเงินช่วยเหลือรายเดือนไม่ว่าจะทำงานได้เงินมากหรือน้อย เว้นเสียแต่ว่าจะสามารถทำงานได้เงินสูงเกินเกณฑ์รายได้ • หากภายในระยะเวลา 5 ปี เกิดเหตุทำให้ไม่สามารถทำงานได้อีก ผู้เข้าร่วมโครงการสามารถกลับเข้าร่วมโครงการได้โดยทันที
สหรัฐฯ: โครงการ Food Stamp • แจกคูปองอาหารให้ผู้ยากจน (มีรายได้ต่ำกว่า130% ของเส้นความยากจน) สามารถนำไปใช้ซื้อได้ตามร้านค้าขายปลีก แต่ไม่สามารถใช้ซื้ออาหารร้อนได้
สหรัฐฯ: โครงการ WIC • ให้ความช่วยเหลือด้านโภชนการ โดยการให้ชุดอาหาร (food package) แก่สตรีมีครรภ์ และ เด็กอายุไม่เกิน 5 ปี ที่มีความยากจน (185% ของเส้นความยากจน) และ เป็นเด็กที่มีความเสี่ยงต่อสภาวะโภชนาการที่แย่ รอบเวลารับประโยชน์ 6 เดือน • ชุดอาหารจะแตกต่างไปตามลักษณะครอบครัวและเด็ก • เน้นส่งเสริมการให้นมแม่ ด้วยการให้ชุดอาหารในปริมาณที่มากขึ้น สำหรับแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่
สหรัฐฯ:โครงการ Disaster Unemployment Assistance • ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ว่างงานอันเนื่องมาจากภัยพิบัติ และ ไม่สามารถรับสิทธิประโยชน์จากการประกันว่างงานได้ • จะได้รับเงินช่วยเหลือจนกว่าจะหางานได้ แต่ไม่เกิน 26 สัปดาห์ • เงินช่วยเหลือไม่ต่ำกว่า 50% ของเงินชดเชยการว่างงานที่แต่ละรัฐกำหนด
โครงการให้เงินช่วยเหลือแบบมีเงื่อนไข(Conditional Cash Transfer :CCT) เป็นโครงการให้เงินช่วยเหลือ โดยสิทธิการได้รับเงินจะผูกติดอยู่กับตัวชี้วัดที่สามารถตรวจสอบได้ (verifiable) • จุดเด่น • บรรเทาความเดือดร้อนในระยะสั้น ด้วยการให้เงินช่วยเหลือ • ลดปัญหาความยากจนในระยะยาวโดยการกำหนดเงื่อนไขที่นำไปสู่การลงทนุในทุนมนุษย์ (human capital) ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถตัดวงจรความยากจนที่ตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น
เม็กซิโก: PROGRESA and OPPORTUNIDADES • ให้เงินช่วยเหลือแก่ครอบครัวยากจน ค่าใช้จ่าย ค่าอุปกรณ์การศึกษา ค่าเล่าเรียน โดยการโอนเงินให้แม่ของเด็ก • การกำหนดครัวเรือนที่จะได้รับความช่วยเหลือ • กำหนดเป็นพื้นที่ โดยใช้ข้อมูลจากสำมะโนประชากร (รายได้ ระดับการรู้หนังสือ การจ้างงาน) • การสัมภาษณ์ในเชิงลึกเป็นรายครอบครัว • รัฐฯ ทำการสุ่มคัดเลือกครอบครัวที่มีคุณสมบัติครบถ้วน เพื่อเข้าร่วมโครงการ • จำนวนเงินที่ได้รับ • ขึ้นอยู่กับระดับความยากจน • เด็กผู้หญิงจะได้รับเงินช่วยเหลือที่มากกว่า เนื่องจากครอบครัวส่วนใหญ่ไม่ต้องการส่งลูกผู้หญิงเรียนหนังสือ • เงินช่วยเหลือจะเพิ่มขึ้นเมื่อมีการศึกษาสูงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อสะท้อนต้นทุนค่าเสียโอกาสของการเรียนหนังสือที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เม็กซิโก: PROGRESA and OPPORTUNIDADES • เงื่อนไข • เด็กจะต้องเข้าเรียนไม่ต่ำกว่า 85% ของเวลาเรียน • เด็กจะต้องเข้ารับการตรวจเช็คสุขภาพ เป็นประจำ • แม่ของเด็กจะต้องเข้าร่วมอบรมความรู้เกี่ยวกับด้านสาธารณสุข • รอบระยะเวลาโครงการ คือ 3 ปี จ่ายเงินทุกสองเดือน • มีการลงทุนด้านอุปทาน เช่น การให้เงินช่วยเหลือไปยังโรงเรียน และ สาธารณสุข
เม็กซิโก: PROGRESA and OPPORTUNIDADES • การประเมินผล • Randomization ทำให้สามารถทำการผลโครงการประเมินได้อย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ ลดปัญหา confounding factor
โครงการ CCT ในลักษณะเดียวกัน • Jamica : ช่วยเหลือคนพิการ กำหนดให้ผู้พิการต้องเข้าตรวจสุขภาพเป็นประจำ • Brazil: เน้นการลดปัญหาเรื่องแรงงานเด็กด้วยการสร้างเงื่อนไขให้เด็กต้องเข้าร่วมกิจกรรมหลังเลิกเรียน
เม็กซิโก: Temporary Employment Program • ให้ความช่วยเหลือด้านการจ้างงานเพื่อให้ผู้ยากจนในชนบทที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป ให้มีรายได้เป็นการชั่วคราว • ทำงานที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน เช่น การสร้างสิ่งสาธารณูปโภค ปรับปรุงถนน • ให้เงินไม่เกิน 88 ครั้งต่อคนต่อปี
เม็กซิโก • เงินช่วยเหลือด้านที่อยู่อาศัย (Tu Casa) • ให้เงินช่วยเหลือในการสร้างหรือปรับปรุงที่อยู่อาศัยแก่ผู้ยากจนในเมืองและในชนบท • โดยรัฐบาลกลาง รัฐบาลท้องถิ่น และ ผู้ที่ได้รับสิทธิช่วยกันจ่ายเงินสมทบ • INAPAM • ให้ความช่วยเหลือผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ด้วยการให้บัตร “INAPAM” ซึ่งสามารถใช้เป็นส่วนลดค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ค่ารถโดยสารค่าใช้จ่ายค่าสาธารณูปโภค ค่ายา ค่ารักษาพยาบาลบางประเภท เป็นต้น
อินเดีย • Target Public Distribution System • รัฐบาลกลางจะทำหน้าที่ในการซื้อ เก็บสินค้า และจัดสรรอาหารไปยังรัฐต่างๆ • รัฐบาลท้องถิ่นรับผิดชอบในการดำเนินการกระจายสินค้าไปยังศูนย์ Food price shops (FPS) • ครัวเรือนที่มีรายต่ำกว่าเส้นความยากจนจะสามารถซื้อธัญพีชได้ในราคาเพียง 50% ของราคาที่รัฐบาลกำหนดซึ่งเป็นราคาที่ครัวเรือนที่มีรายได้เหนือเส้นความยากจนจะต้องจ่าย • ครัวเรือนทั้งสองประเภทจะได้รับสิทธิในการซื้อเท่ากัน คือ 35 กิโลกรัม /ครอบครัว/เดือน
อินเดีย • National Rural Employment Guarantee Act • ประกันการจ้างงานต่อครัวเรือนเป็นเวลา 100 วันในทุกๆ ปี • ได้รับค่าจ้างขั้นต่ำ และ น้ำดื่ม เป็นค่าตอบแทน และจะทำงานได้ไม่เกิน 6 วันต่อสัปดาห์ • ทำงาน รัฐฯ จะหางานให้ทำภายในเวลา 15 วัน โดยงานจะอยู่ในรัศมี 5 กิโลเมตรจากหมู่บ้าน หากไกลกว่านั้นแรงงานจะได้รับเงินค่าจ้างเพิ่มขึ้น • งานที่ให้ทำจะเน้นไปที่การพัฒนาชุมชน เช่น การทำระบบชลประทานเล็กๆ การปรับปรุงที่ดิน ปลูกต้นไม้ สร้างระบบป้องกันน้ำท่วม เป็นต้น
อินเดีย • เงินช่วยเหลือต่างๆ • เงินช่วยเหลือผู้สูงอายุ • เงินช่วยเหลือเมื่อหัวหน้าครอบครัวเสียชีวิต • เงินช่วยเหลือแก่สตรีมีครรภ์ • เงินช่วยเหลือผู้พิการ • Assistance to Disabled Persons for Purchase/Fitting of Aids/Appliances (ADIP) • ให้ความช่วยเหลือ แก่ผู้พิการในการจัดซื้ออุปกรณ์ ที่ช่วยเสริมสร้างสมรรถภาพทางร่างกาย เช่น รถเข็น เครื่องช่วยฟัง เครื่องช่วยให้มองเห็น • IndiraAwaasYojana • ให้เงินช่วยเหลือแก่ครอบครัวที่มีความยากจนเพื่อการสร้างหรือปรับปรุงที่อยู่อาศัยในชนบท
ออสเตรเลีย • โครงการเงินช่วยเหลือทางสังคมทุกชนิดจะต้องมีการทดสอบเกณฑ์ทางรายได้ • การจ่ายเงินช่วยเหลือจากโครงการต่างๆ จะทำผ่านหน่วยงานที่ชื่อว่า Centrelinkซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์ในลักษณะเบ็ดเสร็จที่จุดเดียว (One stop service) • ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือสามารถเข้าถึงสิทธิที่พึงได้อย่างง่ายดาย
ออสเตรเลีย • เงินช่วยเหลือแก่ผู้ที่มีภาระในการดูแลผู้อื่น • เงินช่วยเหลือการเลี้ยงดูเด็ก • เงินช่วยเหลือเมื่อว่างงาน • เงินช่วยเหลือผู้สูงอายุ • เงินช่วยเหลือในกรณีเจ็บป่วย พิการ ตั้งครรภ์ • เงินช่วยเหลือยามฉุกเฉิน
เกาหลีใต้ • การประกันความเป็นอยู่ขั้นพื้นฐาน (Basic Livelihood Security , BLS) • ผู้ที่จะได้รับสิทธิประโยชน์จาก BLS จะต้องผ่านเงื่อนไขสองประการคือ (1) รายได้จะต้องอยู่ในระดับที่ต่ำกว่ารายจ่ายในระดับพอยังชีพที่รัฐบาลเป็นผู้กำหนด (2) ผู้รับสิทธิประโยชน์จะต้องไม่มี “ผู้ให้ความดูแลตามกฏหมาย” (Legal supporters) • เงินช่วยเหลือได้แก่ ค่าใช้จ่ายเพื่อการยังชีพ เงินช่วยเหลือด้านที่อยู่อาศัย เงินช่วยเหลือด้านการศึกษา เงินช่วยเหลือด้านการรักษาพยาบาล เงินช่วยเหลือเพื่อดูแลเด็ก และ เงินช่วยเหลืองานศพ • จำนวนเงินช่วยเหลือจะถูกคำนวณให้เพียงพอที่จะทำให้ผู้ยากจนมีเงินได้เพียงพอต่อการยังชีพ
สรุปประเด็นปัญหาในการดำเนินการสวัสดิการของประเทศต่างๆสรุปประเด็นปัญหาในการดำเนินการสวัสดิการของประเทศต่างๆ • ในประเทศที่มีระบบรัฐสวัสดิการ จำเป็นต้องใช้เงินงบประมาณเป็นจำนวนมาก • ต้องมีการจัดเก็บภาษีเงินได้ ในอัตราที่สูง รวมถึงภาษีอื่นๆ เช่น ภาษีสิ่งแวดล้อม • ระบบประกันสุขภาพที่ดีทำให้ประชากรมีแนวโน้มที่จะมีอายุยืนยาวมากขึ้น ประชากรในวัยทำงานน้อยลง ทำให้ภาษีที่จัดเก็บได้ลดลง
สรุปประเด็นปัญหาในการดำเนินการสวัสดิการของประเทศต่างๆสรุปประเด็นปัญหาในการดำเนินการสวัสดิการของประเทศต่างๆ • ระบบการประกันการว่างงาน ส่งผลให้แรงงานขาดแรงจูงใจในการหางานเมื่อยามว่างงาน • รูปแบบของการให้เงินช่วยเหลือจะต้องมีกลไกในการกระตุ้นให้เกิดการทำงาน ลดการพึ่งพาจากภาครัฐ • ปัญหาการฉ้อโกง • โครงการที่มีการทดสอบเกณฑ์ทางด้านรายได้มักประสบปัญหาการรายงานรายได้ที่ไม่เป็นจริงจึงมีต้นทุนและภาระในการดำเนินการที่สูง • โครงการช่วยเหลือด้านโภชนาการ ผู้ได้รับสิทธินำคูปองอาหารที่ได้รับไปขายต่อเพื่อแลกเป็นเงินสด, ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคิดราคาสินค้าในอัตราสูงกว่าปกติ หรือ ให้สินค้าที่มีคุณภาพต่ำกว่าที่กำหนดไว้ • แก้ปัญหาโดยการใช้บัตร EBT (Electronic Benefit Transfer), ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ในการจัดเก็บข้อมูลผู้รับสิทธิประโยชน์เพื่อใช้ในการตรวจสอบความซ้ำซ้อน และ การรายงานรายได้
สรุปประเด็นปัญหาในการดำเนินการสวัสดิการของประเทศต่างๆสรุปประเด็นปัญหาในการดำเนินการสวัสดิการของประเทศต่างๆ • โครงการประเภทการให้เงินช่วยเหลืออย่างมีเงื่อนไขมักจะพบปัญหาและอุปสรรคดังต่อไปนี้ • พื้นที่ที่อยู่ห่างไกลบริการจากรัฐ ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ • การพิจารณาเข้าร่วมโครงการมีเป็นครั้งคราว • ต้นทุนในการดำเนินการตรวจสอบเงื่อนไขสูง • ปัญหาการรายงานรายได้เท็จ
ข้อเสนอแนะในการดำเนินการสวัสดิการของประเทศไทยข้อเสนอแนะในการดำเนินการสวัสดิการของประเทศไทย • ระบบสวัสดิการจะต้องให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า และ การแก้ปัญหาความยากจนในระยะยาวไปพร้อมๆ กัน • ระบบสวัสดิการจะต้องมีกลไกที่ก่อให้เกิดการแก้ปัญหาความยากจนในเชิงโครงสร้าง เช่น การลงทุนมนุษย์ • เงินสวัสดิการจะต้องเข้าสู่กลุ่มเป้าหมายคือผู้ยากไร้อย่างตรงจุด • ระบบสวัสดิการจะต้องมีกลไกในการกระตุ้นการทำงาน • ควรจัดตั้งองค์กรที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการจัดการบริหารโครงการสวัสดิการต่างๆ • ควรจัดให้มีการติดตามเก็บข้อมูลเพื่อประเมินผลของโครงการ
โครงการที่ให้ความช่วยเหลือแก่คนจนทั่วไปโครงการที่ให้ความช่วยเหลือแก่คนจนทั่วไป • โครงการความช่วยเหลือด้านอาหาร • เป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านอาหารซึ่งเป็นรายจ่ายที่สำคัญในการดำรงชีวิตแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมให้คนยากจนในวัยทำงานมีพลังงานในการทำงาน ทำให้เด็กได้รับโภชนาการที่ดีสามารถไปโรงเรียน • โครงการด้านที่พักอาศัย • โครงการประเภทให้เงินอุดหนุนค่าเช่าสำหรับคนในเมือง • ให้เงินอุดหนุนเพื่อการสร้างที่อยู่อาศัยสำหรับคนในชนบท
โครงการเสริมที่เน้นเฉพาะกลุ่มบุคคลต่างๆโครงการเสริมที่เน้นเฉพาะกลุ่มบุคคลต่างๆ • โครงการสวัสดิการสำหรับเด็กและสตรี • โครงการช่วยเหลือด้านอาหารเสริมที่เป็นประโยชน์ให้แก่สตรีมีครรภ์ และ เด็กเล็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์ • โครงการให้เงินอย่างมีเงื่อนไข (Conditional Cash Transfer) ที่จะต้องมีการกำหนดเงื่อนไขให้ครอบครัวที่รับสวัสดิการจะต้องพาเด็กไปโรงเรียน หรือ ไปตรวจสุขภาพอยู่เสมอ • การให้ความช่วยเหลือเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางไปโรงเรียน
โครงการเสริมที่เน้นเฉพาะกลุ่มบุคคลต่างๆโครงการเสริมที่เน้นเฉพาะกลุ่มบุคคลต่างๆ • โครงการสวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุ และ ผู้พิการ • โครงการเบี้ยยังชีพ หรือ เบี้ยคนพิการ เป็นสิ่งที่จำเป็น สำหรับผู้สูงอายุ หรือ ผู้พิการที่ไม่มีคนดูแล • ความช่วยเหลือด้านที่อยู่อาศัย • โครงการสวัสดิการสำหรับแรงงานนอกระบบ • ควรมีโครงการประกันการจ้างงานสำหรับเกษตรกรที่ว่างงานหลังฤดูเก็บเกี่ยว • การให้เงินช่วยเหลือเมื่อเกษตรกรประสบปัญหาภัยพิบัติ • ส่งเสริมให้แรงงานนอกระบบเข้าสู่ระบบประกันสังคม • ผ่อนผันเกณฑ์การจ่ายเงินสบทบให้สอดคล้องกับความผันผวนของรายได้ • อนุญาติให้มีการถอนเงินสะสมบางส่วนออกมาใช้ในยามฉุกเฉิน