930 likes | 3.36k Views
บทที่ 7 : รายได้ประชาชาติ. รายได้ประชาติ : ความหมาย ความสำคัญ. จุลภาค : รายได้ของแต่ละบุคคล ( Individual) ดูจาก... คนที่มีรายได้มาก มหภาค : รายได้ของประเทศ ( Country) ดูจาก... ประเทศที่มีฐานะเศรษฐกิจดี Q : เขาวัดฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศด้วยอะไร ???
E N D
บทที่ 7 : รายได้ประชาชาติ
รายได้ประชาติ : ความหมาย ความสำคัญ จุลภาค: รายได้ของแต่ละบุคคล (Individual) ดูจาก... คนที่มีรายได้มาก มหภาค : รายได้ของประเทศ (Country) ดูจาก... ประเทศที่มีฐานะเศรษฐกิจดี Q : เขาวัดฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศด้วยอะไร ??? A : ฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีเงินมากเท่าใด แต่ขึ้นอยู่กับปริมาณของสินค้าและบริการทั้งหมดที่ถูกผลิตออกมา และจำนวนประชากร
รายได้ประชาชาติ(National Income) คือ ผลรวมของรายได้ของเจ้าของปัจจัยการผลิต ในระบบเศรษฐกิจหนึ่งๆ ที่ได้รับในช่วงเวลาหนึ่ง หรือรายได้ของผู้พำนักอาศัยของประเทศหนึ่ง ๆ ในช่วงเวลาหนึ่ง เช่น 1 ปี
ความสำคัญของรายได้ประชาชาติความสำคัญของรายได้ประชาชาติ • ใช้เป็นตัวชี้วัดฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศ (และความเป็นอยู่ของประชากรในประเทศ) • ทำให้ทราบว่าเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงอย่างไรเมื่อเปรียบเทียบรายได้ประชาชาติระหว่างปี • ใช้ในการเปรียบเทียบภาวะทางเศรษฐกิจกับประเทศอื่น • ใช้ในการวัดความสำเร็จของนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐ • ใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างภาคเศรษฐกิจต่างๆ(CIRCULAR FLOW) แบบจำลองกระแสหมุนเวียน (Circular Flow Diagram) คือ แบบจำลองที่แสดงถึงความสัมพันธ์อย่างง่ายๆ ของการหมุนเวียนของผลผลิต รายจ่ายและรายได้แต่ละภาคของเศรษฐกิจ (Sector) ของระบบเศรษฐกิจ NOTE หน่วยเศรษฐกิจ (economic unit) คือ ผู้ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เช่น ผู้บริโภค, ผู้ผลิต ภาคเศรษฐกิจ (economic sector) หมายรวมถึงหน่วยเศรษฐกิจ ที่มีบทบาทหน้าที่ และเป้าหมายที่เหมือนกันเข้าด้วยกัน
ภาคเศรษฐกิจ (Economic Sector) ประกอบด้วย ภาคครัวเรือน (Household Sector) - เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต ทุน ที่ดิน แรงงาน ภาคธุรกิจ (Business Sector) - ทำการผลิตสินค้าและบริการ ภาครัฐบาล (Government Sector) - ทำหน้าที่ให้การดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นไปอย่างมีระบบและเป็นประโยชน์ ต่อประเทศชาติโดยรวม ภาคการเงิน (Financial Sector) - ทำหน้าที่รับเงินออม และปล่อยเงินลงทุน ภาคต่างประเทศ (Foreign Sector) - ทำธุรการการซื้อขายระหว่างประเทศ
แบบจำลองกระแสหมุนเวียนของระบบเศรษฐกิจแบบจำลองกระแสหมุนเวียนของระบบเศรษฐกิจ • ระบบเศรษฐกิจแบบปิด : ภาคครัวเรือน & ภาคธุรกิจ • ระบบเศรษฐกิจแบบปิด : ภาคครัวเรือน,ภาคธุรกิจ,ภาคการเงิน • ระบบเศรษฐกิจแบบปิด :ภาคครัวเรือน,ภาคธุรกิจ,ภาคการเงิน และภาครัฐบาล • ระบบเศรษฐกิจแบบปิด :ภาคครัวเรือน,ภาคธุรกิจ,ภาครัฐบาล,ภาคการเงิน และภาคต่างประเทศ
ระบบเศรษฐกิจแบบปิด : ภาคครัวเรือน & ภาคธุรกิจ • ภาคธุรกิจ vs ภาคครัวเรือน ภาคครัวเรือน : จ่ายเงินซื้อสินค้า (C) ภาคธุรกิจ : จ่ายเงินจ้างปัจจัยการผลิต • รายได้ที่ภาคครัวเรือนได้รับทั้งหมดจะถูกใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าและบริการ
ระบบเศรษฐกิจแบบปิด : ภาคครัวเรือน & ภาคธุรกิจ รายจ่ายในการซื้อสินค้าและบริการ สินค้าและบริการ ภาคครัวเรือน ภาคธุรกิจ ปัจจัยการผลิต (แรงงาน ที่ดิน ทุน ผู้ประกอบการ รายได้ (ค่าจ้าง ค่าเช่า ดอกเบี้ย กำไร)
กระแสหมุนเวียน • กระแสแท้จริง (Real Flow) แสดงถึงผลผลิตและปัจจัยการผลิต (กระแสที่เป็นตัวสินค้าหรือเป็นปัจจัยที่ใช้ในการผลิตสินค้า) • กระแสตัวเงิน (Money Flow) แสดงถึงรายได้รวมและรายจ่ายรวม (กระแสที่เป็นตัวเงิน) มูลค่าผลผลิต = รายได้รวม = รายจ่ายรวม
ระบบเศรษฐกิจแบบปิด : ภาคครัวเรือน,ภาคธุรกิจ,ภาคการเงิน Q : หากมีการรั่วไหลของกระแสหมุนเวียน เช่น ครัวเรือนมีการออมรายได้ จะส่งผลอย่างไร A : จะทำให้เศรษฐกิจหดตัว เพราะสินค้าและบริการไม่สามรถขายได้หมด แต่ ผลกระทบดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นหาการออมได้รับการชดเชยโดยมี การอัดฉีดการลงทุนเข้าสู่ระบบ ส่วนรั่วไหล หมายถึง รายได้ส่วนที่รั่วไหลออกนอกกระแสการหมุนเวียน ส่วนอัดฉีด หมายถึง รายได้ส่วนที่เพิ่มเติมเข้ามาในกระแสหมุนเวียน
ระบบเศรษฐกิจแบบปิด : ภาคครัวเรือน,ภาคธุรกิจ,ภาคการเงิน รายจ่ายในการซื้อสินค้าและบริการ สินค้าและบริการ สถาบันการเงิน ครัวเรือน ภาคธุรกิจ เงินออม ภาคธุรกิจ ปัจจัยการผลิต (แรงงาน ที่ดิน ทุน ผู้ประกอบการ) รายได้ (ค่าจ้าง ค่าเช่า ดอกเบี้ย กำไร) ส่วนรั่วไหล : การออม (S) ส่วนอัดฉีด : การลงทุน (I)
ระบบเศรษฐกิจ : ภาคครัวเรือน,ภาคธุรกิจ,ภาคการเงิน และภาครัฐบาล รายจ่ายในการซื้อสินค้าและบริการ สินค้าและบริการ สถาบันการเงิน ครัวเรือน ภาคธุรกิจ เงินออม ภาคธุรกิจ ปัจจัยการผลิต (แรงงาน ที่ดิน ทุน ผู้ประกอบการ) รายได้ (ค่าจ้าง ค่าเช่า ดอกเบี้ย กำไร) ภาษี ภาษี ภาครัฐบาล รายจ่ายของรัฐบาล รายจ่ายของรัฐบาล ส่วนรั่วไหล : การออม (S),ภาษี (T) ส่วนอัดฉีด : การลงทุน (I),รายจ่ายรัฐบาล (G)
ระบบเศรษฐกิจแบบปิด (ทุกภาคเศรษฐกิจ) มูลค่าการนำส่งออก มูลค่าการนำส่งออก ภาคต่างประเทศ มูลค่าการนำเข้า มูลค่าการนำเข้า รายจ่ายในการซื้อสินค้าและบริการ สินค้าและบริการ สถาบันการเงิน ครัวเรือน ภาคธุรกิจ เงินออม ภาคธุรกิจ ปัจจัยการผลิต (แรงงาน ที่ดิน ทุน ผู้ประกอบการ) รายได้ (ค่าจ้าง ค่าเช่า ดอกเบี้ย กำไร) ภาษี ภาษี ภาครัฐบาล รายจ่ายของรัฐบาล รายจ่ายของรัฐบาล
ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างภาคเศรษฐกิจต่างๆความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างภาคเศรษฐกิจต่างๆ การใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้า และบริการของรัฐบาล การกู้ยืมของภาครัฐบาล รัฐบาล ภาษี เงินโอนจากรัฐบาล การใช้จ่ายเพื่อการบริโภค การออมของภาคเอกชน ครัวเรือน ค่าเช่า,ค่าจ้าง,ดอกเบี้ย,กำไร ตลาดสินค้า ตลาดปัจจัยฯ ตลาดการเงิน ค่าเช่า,ค่าจ้าง,ดอกเบี้ย,เงินปันผล GDP ธุรกิจ การกู้ยืมและออกหุ้นของธุรกิจ ต่างประเทศกู้ยืมและขายหุ้น ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนการส่งออก ต่างประเทศ ต่างประเทศให้กู้ยืมและซื้อหุ้น การนำเข้า
ระบบเศรษฐกิจแบบเปิด (ทุกภาคเศรษฐกิจ) ส่วนรั่วไหล (Leakage) รายได้ที่รั่วไหลออกกระแสหมุนเวียน ได้แก่ ส่วนอัดฉีด (Injection) รายได้ที่รั่วไหลออกกระแสหมุนเวียน ได้แก่ • การออม (s) • ภาษี (T) • การซื้อสินค้าต่างประเทศ (M) • การลงของภาคธุรกิจ (I) • การใช้จ่ายของภาครัฐบาล (G) • รายรับจากการส่งออก (X)
หากส่วนรั่วไหลเท่ากับส่วนอัดฉีด กระแสหมุนเวียนของระบบเศรษฐกิจก็จะอยู่ใน ดุลยภาพ (ผลผลิต = รายได้ = รายจ่าย), e.g., การลงทุน = การออม การใช้จ่ายของรัฐ = ภาษี (งบประมาณสมดุล) การนำเข้า = การส่งออก • S+T+M = I+G+X • จะพบว่าส่วนที่รั่วไหลออกจกกระแสหมุนเวียน ก็จะถูกอัดฉีดกลับมาสู่ กระแสหมุนเวียนทั้งหมด
วิธีคำนวณรายได้ประชาชาติวิธีคำนวณรายได้ประชาชาติ วิธีการคำนวณแบ่งได้เป็น : 1.การคำนวณทางผลผลิต (Product Approach) 2.การคำนวณทางรายจ่าย (Expenditure Approach) 3.การคำนวณทางรายได้ (Income Approach) ดูรายละเอียดที่ National Account Manual จาก www.nesdb.go.th มูลค่าผลผลิตรวม = รายได้รวม = รายจ่ายรวม
การคำนวณทางผลผลิต (Product Approach) 1.1 คำนวณจากผลรวมของมูลค่าสินค้าและการบริการขั้นสุดท้ายทั้งหมด รายได้ประชาชาติ = p1q1 + p2q2 + p3q3 + ……+ pnqn *** วัดด้วยมูลค่า (บาท) เพื่อแก้ปัญหาเรื่องหน่วยนับ *** GDP = ∑ PiQi n i = 1
1.2 คำนวณจากผลรวมของมูลค่าเพิ่ม (VALUE ADDED) Q : ทำไมเราจึงใช้มูลค่าเพิ่มแทนมูลค่าสินค้าขั้นสุดท้าย? เป็นการยากที่จะแยกแยะได้ว่า สินค้าตัวใดในตลาดเป็นหรือไม่เป็นสินค้าขั้นสุดท้าย หากเราพลาดไปนับสินค้าที่ไม่ใช่สินค้าขั้นสุดท้าย มูลค่าของสินค้านั้นๆ ก็จะไป ปรากฏซ้ำ อีกทีเมื่อสินค้านั้นๆ ถูกนำไปใช้ในการผลิตสินค้าอีกชนิด มูลค่าเพิ่ม = มูลค่าสินค้าที่ผลิต-มูลค่าวัตถุดิบและสินค้าชั้นกลาง
ตัวอย่างการคำนวณมูลค่าเพิ่มตัวอย่างการคำนวณมูลค่าเพิ่ม
1. การคำนวณทางผลผลิต (Product Approach) (โดยสภาพัฒน์) • ใช้วิธีการหามูลค่าเพิ่มโดยการรวบรวมข้อมูลมูลค่าผลผลิต (Gross Output) และต้นทุนค่าใช่จ่ายชั้นกลาง (Intermediate Consumption) ของสถานประกอบการในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้วนำมาคำนวณหามูลค่าเพิ่ม (Value Added) ซึ่งก็คือส่วนต่างระหว่างค่าทั้งสองดังกล่าว • เมื่อนำมูลค่าเพิ่ม (Value Added) ของทุกสาขาการผลิตมารวมกันก็จะได้ Aggregate Supply หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Products) หรือ GDP ของระบบเศรษฐกิจ • โดยจำแนกสาขาการผลิตเป็นทั้งหมด 16 สาขาการผลิต
9.สาขาการขนส่ง สถานที่เก็บสินค้าและ การคมนาคม 10.สาขาตัวกลางทางการเงิน 11.สาขาบริการด้านอหังสาริมทรัพย์ การให้เช่า และการบริการทางธุรกิจ 12.สาขาบริหารราชการแผ่นดิน การป้องกันประเทศและการประกันสังคม ภาคบังคับ 13.สาขาการศึกษา 14.สาขาบริการด้านสุขภาพและงาน สังคมสงเคราะห์ 15.สาขาบริการชุมชน สังคม และส่วนบุคคลอื่นๆ 16.สาขาลูกจ้างในครัวเรือนส่วนบุคคล 16 สาขาการผลิต 1.สาขาเกษตรกรรมการล่าสัตว์และป่าไม้ 2.สาขาประมง 3.สาขาการทำเหมืองแร่และเหมืองหิน 4.สาขาอุตสาหกรรม (การผลิต) ประกอบด้วย 22 อุตสาหกรรมย่อย 5.สาขาไฟฟ้า ประปา และโรงแยกแก๊ส 6.สาขาการก่อสร้าง 7.สาขาการขายส่ง การขายปลีก การซ่อมแซมยานยนต์ จักรยานยนต์ ของใช้ส่วนบุคคลและของใช้ในครัวเรือน 8.สาขาโรงแรมและภัตตาคาร
2.การคำนวณทางรายจ่าย (Expenditure Approach) เป็นวิธีการคำนวณหามูลค่าการใช้จ่ายขั้นสุดท้าย (Final Consumption) หรือ Aggregate Demand ของระบบเศรษฐกิจ C = รายจ่ายในการบริโภคของเอกชน I = รายจ่ายในการลงทุนในประเทศเอกชน G = รายจ่ายในการซื้อสินค้าและบริการของรัฐ X = มูลค่าสินค่าและการบริการส่งออก M = มูลค่าสินค้าและการบริการนำเข้า รายได้ประชาชาติ = C+I+G+(X-M)
C = รายจ่ายในการบริโภคของเอกชน คือ รายจ่ายของผู้บริโภคเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการ สินค้าคงทน/ถาวร (Durable goods) เช่น รถยนต์ Computer และ เครื่องเรือนภายในครัวเรือน สินค้าไม่คงทน (Non-durable goods) เช่น อาหาร และ เครื่องนุ่งห่ม บริการ (Services) เช่น บริการทางสาธารณสุข และ บริการทางการศึกษา ค่าน้ำค่าไฟ ค่ามือถือ... รวมถึง ท่องเที่ยว *** ยกเว้น ค่าใช้จ่ายเพื่อที่อยู่อาศัย,ของที่ใช้แล้ว และเงินโอน (Transfer payment) **** (การคำนวณจริงๆ แยกเป็น 12 หมวดย่อย โดยเก็บข้อมูลจากหลายแห่ง)
I = รายจ่ายในการลงทุนในประเทศของเอกชน คือ รายจ่ายการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรที่จ่ายโดยภาคธุรกิจ ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างอาคารใหม่ การก่อสร้างโรงงาน โกดังเก็บสินค้า และการสร้างที่อยู่อาศัย ค่าใช้จ่ายในการซื้อเครื่องจักร การเปลี่ยนแปลงในสินค้าคงคลัง สินค้าคงคลังถือว่าเป็นสินค้าและการบริการขั้นสุดท้าย *** ยกเว้น การซื้อที่ดิน/บ้านเก็งกำไร, การซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์, การซื้อเครื่องจักรที่ใช้แล้ว (ในประเทศ) ***
ส่วนที่เปลี่ยนสินค้าคงคลัง = สินค้าคงคลังปลายปี-สินค้าคงคลังต้นปี บวก(+) : สินค้าที่ผลิตมากกว่าสินค้าที่ขายในปีนั้น รายจ่ายเพื่อการลงทุนเพิ่มขึ้น e.g., ปลายปี(12) – ต้นปี(10) = +2 ลบ(-) : สินค้าที่ผลิตน้อยกว่าสินค้าที่ขายในปีนั้น รายจ่ายเพื่อการลงทุนลดลง e.g.,ปลายปี (6) – ต้นปี (10) = -4
มูลค่าของสินค้าที่ผลิตใน 1 ปี GDP ตัวอย่าง : ส่วนเปลี่ยนแปลงของสินค้าคงเหลือ สมมุติว่าทุกปี จะผลิตสินค้ามูลค่า 100 บาท 1 ม.ค. 51 มีสินค้าคงเหลือ 10 บาท 31 ธ.ค. 51 มีสินค้าคงเหลือ 12 บาท ปี 51 ขายสินค้าได้ 98 บาท GDPผลผลิต = GDP รายจ่าย 100 = 98 + 2 แสดงว่าปี 51 มีสินค้าที่ผลิตเหลืออยู่ 2 บาท จึงต้องนำไปรวมในการคิด GDP ด้านรายจ่าย 12-10 = +2 ส่วนเปลี่ยนสินค้าคงเหลือ
ตัวอย่าง : ส่วนเปลี่ยนแปลงของสินค้าคงเหลือ สมมุติว่าทุกปี จะผลิตสินค้ามูลค่า 100 บาท 1 ม.ค. 51 มีสินค้าคงเหลือ 10 บาท 31 ธ.ค. 51 มีสินค้าคงเหลือ 6 บาท ปี 51 ขายสินค้าได้ 104บาท GDPผลผลิต= GDP รายจ่าย 100 = 100 - 4 แสดงว่าปี 51 มีการนำสินค้าจากปีที่แล้วมาขาย 4 หน่วย จึงต้องหักออกในการคิด GDP ด้านรายจ่ายด้วย มูลค่าของสินค้าที่ผลิตใน 1 ปี GDP 6-10 = -4 ส่วนเปลี่ยนสินค้าคงเหลือ
G = รายจ่ายในการซื้อสินค้าและบริการของรัฐ คือ รายจ่ายของภาครัฐทั้งในระดับ ประเทศและส่วนภูมิภาคที่มีต่อการซื้อ สินค้าและบริการขั้นสุดท้าย รายจ่ายเพื่อการบริโภค รายจ่ายเพื่อการลงทุน *** ยกเว้น รายจ่ายเงินโอน, เงินอุดหนุน, ดอกเบี้ยชำระหนี้ *** เงินโอน (Transfer Payment) & ดอกเบี้ย ไม่นับเพราะว่ารัฐจ่ายให้โดยไม่ได้รับสินค้าและบริการอะไรเป็นการแลกเปลี่ยนกลับมา
X = มูลค่าสินค้าและบริการส่งออก M = มูลค่าสินค้าและการบริการนำเข้า การส่งออกสุทธิ (Export-Import, X-M) ส่วนต่างระหว่างมูลค่าการส่งออก (ยอดขายของสินค้าและ บริการที่ผลิตในไทยส่งออกไปยังต่างประเทศ) และมูลค่าการนำเข้า สินค้าที่ผลิตในต่างประเทศของชาวไทย NET EXPORT = มูลค่าสินค้าส่งออก-มูลค่าสินค้านำเข้า
Export: ต้องนับรวมเพราะเป็นรายจ่ายที่ต่างประเทศ จ่ายเพื่อสินค้าและบริการในประเทศ • Import: ต้องหักออกเพราะเป็นรายจ่ายเพื่อการบริโภค สินค้าและการบริการที่ผลิตจากประเทศ C-Cimport = Cภายในประเทศ I-Iimport = Iภายในประเทศ G-Gimport = Gภายในประเทศ
3.การคำนวณทางรายได้ (Income Approach) GDP = r+w+i+Profit +ภาษีธุรกิจทางอ้อม+ค่าเสื่อมราคา • Rents (r) = เงินที่ได้เกิดจากการให้เช่าทรัพย์สิน • Wages (w) = เงินเดือน + ค่าจ้างทั้งในภาคเอกชนและภาครัฐบาล • Interests (i) = เงินได้ที่เกิดจากเงินทุนให้กู้ (I) • Profits = ผลตอบแทนของผู้ประกอบการ National Income (NI) = Rents + Wages + Interests + Profits
ค่าจ้าง (Wage) : เงินเดือนค่าจ้างและผลตอบแทนลูกจ้างอื่นๆในภาคเอกชนและภาครัฐบาล ทั้งที่เป็นตัวเงินและไม่เป็นตัวเงิน • ค่าเช่า (Rent) : ผลตอบแทนที่เอกชนได้รับจากการให้เช่าทรัพย์สิน • ดอกเบี้ย (Interest) : เงินได้ที่เกิดจากเงินทุนให้กู้ • กำไร (Profit) : ผลตอบแทนของผู้ประกอบการ • ภาษีธุรกิจทางอ้อม (Indirect Business Taxes) : ภาษีต่างๆที่เก็บจากสินค้า เช่น ภาษีการค้า,ภาษีสรรพาสามิต,ภาษีศุลกากร • ค่าเสื่อมราคา (Depreciation) : การสึกหรอที่เกิดจากการใช้งานของปัจจัยการผลิตที่เป็นทุน มูลค่าของทุนที่ซื้อมา – มูลค่าซาก อายุการใช้งานของทุน Depreciation =
รายได้ประชาชาติ ไม่นับรวมอะไรบ้าง • สินค้าและบริการที่ไม่ผ่านตลาด • กิจกรรมที่ไม่มีรายงาน / จดบันทึก เช่น อาชีพอิสระต่างๆ • กิจกรรมที่ผิดกฎหมาย เช่น การค้ายาเสพติด หวยใต้ดิน • เงินโอนของรัฐบาลและเอกชน • การซื้อของใช้แล้ว • เงินที่ได้จากการชำระหนี้เงินกู้เพื่อการบริโภค • เงินที่ได้จากการขายทรัพย์สินที่มีอยู่แล้ว • การซื้อขายหุ้น การพนัน
การจัดทำบัญชีรายได้ประชาชาติของไทยการจัดทำบัญชีรายได้ประชาชาติของไทย การลงบัญชีตามระบบของบัญชีที่เป็นมาตรฐานสากล จะต้องประมวลผลมูลค่าที่เป็นตัวเงิน (Money term) ทั้งทางด้านการผลิต การใช้จ่าย และด้านรายได้ ทั้งนี้ผลที่ได้จากทั้ง 3 ด้านจะต้องเท่ากันหรือใกล้เคียงกัน การที่จะเลือกด้านใดด้านหนึ่งเป็นหลักนั้น ขึ้นกับความถูกต้องและสมบูรณ์ของข้อมูลในแต่ละด้าน สำหรับกรณีประเทศไทยจะใช้ด้านการผลิตเป็นด้านหลัก
ความหมายของศัพท์ต่างๆ ทางรายได้ประชาชาติ • ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic : GDP) คือ มูลค่าของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายทั้งหมดที่ผลิตขึ้นภายในประเทศ ในช่วงระยะเวลา 1 ปี ***สินค้าและบริการที่ผลิตในประเทศ โดยไม่คำนึงถึงว่าใครเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต*** • ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (Gross National Product : GNP) คือ มูลค่าของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายทั้งหมดที่พลเมืองของประเทศนั้นๆ ผลิตขึ้นได้ ในช่วงระยะเวลา 1 ปี ***สินค้าและบริการที่ผลิตด้วยปัจจัยการผลิตของประเทศนั้นๆ ไม่ว่าจะผลิตที่ประเทศใดๆ ในโลกนี้ก็ตาม***
GNP = GDP + เงินได้สุทธิของปัจจัยการผลิตจากต่างประเทศ (Net Factor Income FROM ABOAD) • NFIA = ผลตอบแทนปัจจัยการผลิตของไทยในต่างประเทศ • ผลตอบแทนปัจจัยการผลิตของต่างประเทศในไทย • GNP>GDP : ต่างประเทศเอารายได้ไปจากไทยน้อยกว่าไทยไปเอารายได้จากต่างประเทศ (NFIA = Positive) • GNP<GDP : ต่างประเทศเอารายได้ไปจากไทยมากกว่าไทยไปเอารายได้จากต่างประเทศ (NFIA = Negative)
ตัวอย่าง สมมติว่า ไทยไปลงทุนในต่างประเทศ (ลาวเท่านั้น) มูลค่า 10,000 ล้านบาท คือ ผลตอบแทนปัจจัยการผลิตของไทยในต่างประเทศ ญี่ปุ่นเป็นประเทศเดียวที่มาลงทุนในไทย มูลค่า 15,000 ล้านบาท คือ ผลตอบแทนปัจจัยการผลิตของต่างประเทศในไทย และมีสินค้าที่ผลิตในไทย โดยคนไทยเอง มูลค่า 20,000 ล้านบาท คำถามGNP ของไทย = ? GDPของไทย = ? GNP<GDP: ต่างประเทศเอารายได้ไปจากไทยมากว่าไทย ไปเอารายได้จากต่างประเทศ (NFIA = Negative)
GDP (GNP) per capita รายได้เฉลี่ยต่อหัว (GDP Per Capita) รายได้เฉลี่ยต่อหัว (GDP Per Capita) เป็นตัวแปรที่บ่งบอกได้ถึง มาตรฐานการครองชีพโดยเฉลี่ยของประชาชนในประเทศ เนื่องจากประเทศต่างๆ มีจำนวนประชากรไม่เท่ากัน การใช้ตัวเลข GDP เพื่อแสดงถึงมาตรฐานการครองชีพโดยเฉลี่ยของประชาชนย่อมไม่สามารถทำได้ โดยไม่สนใจถึงจำนวนของประชากร Example: ในปี 2008 ประเทศมี GDP = 1,000 บาทและมีประชากร = 4 คน GDP per capita = 1,000/4 = 250 บาท
Nominal GDP & Real GDP • ในการคำนวณ GDP เราใช้ราคาของสินค้าชนิดนั้นๆ (current market price) คูณกับปริมาณของสินค้าชนิดนั้นๆ GDP = p1 q1 + p2 q2 + p3 q3 + ….. pn qn • การเพิ่มของ GDP มาได้จาก 2 สาเหตุ 1.ผลผลิตเพิ่มสูงขึ้น 2.ราคาเพิ่มสูงขึ้น
Case 1 ปริมาณผลผลิตเพิ่ม Case 2 ปริมาณผลผลิตลดลง
การดูค่า GDP จากวิธีข้างต้นจึงเป็นการยากที่จะบอกว่าได้ผลผลิตที่แท้จริงของประเทศ เพิ่มสูงขึ้น คงที่ หรือ ลดลง • เราจึงต้องพยายามแยก GDP ที่นับเฉพาะแค่ผลการเปลี่ยนแปลงในปริมาณสินค้า(Real GDP) ออกจาก GDP ที่นับผลจากการเปลี่ยนแปลงทั้งราคาในและปริมาณ(Nominal GDP) • วิธีคิดก็คือการนำเอาราคาของปีใดปีหนึ่งมาเป็นฐาน แล้วพยายามคิดมูลค่าของ GDP ของปีอื่นๆ โดยใช้ราคาของปีฐานเป็นหลัก
Nominal และ Real GDP • GDP ที่คำนวณโดยใช้ ราคาปัจจุบัน เรียกว่า Nominal GDP • GDP ที่คำนวณโดยใช้ ราคาปีฐาน เรียกว่า Real GDP • นอกจากนี้เรายังสามารถใช้ความรู้ข้างต้นเพื่อหาดัชนีราคา (Price Index)
ดัชนีราคา (Price Index): GDP Deflator = มูลค่าปัจจุบันของสินค้าและบริการ ณ. ราคาปัจจุบัน มูลค่าปัจจุบันของสินค้าและบริการ ณ. ราคาปีฐาน = Nominal GDP/Real GDP Note : Variable-weight price index Other Methods : Fixed-weight price index Consumer price index
ปี 2551 : Deflator = 120/120 = 1 ราคาของปีฐาน ปี 2552 : Deflator = 160/100 = 1.6 ราคาของปี 2041 สูงกว่าราคาของปี 2540 เท่ากับ 60 % ปี 2553 : Deflator = 240/80 = 3 ราคาของปี 2042 สูงกว่าราคาของปี 2540 เท่ากับ 200 %
การคำนวณรายได้ประเภทอื่นๆ (FYI only!) • NNP (Net National Product) • National Income (NI) • Personal Income (PI) • Disposable Income (DI)
ข้อสังเกตเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากตัวเลขรายได้ประชาชาติเพื่อการวิเคราะห์ภาวะเศรษฐกิจข้อสังเกตเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากตัวเลขรายได้ประชาชาติเพื่อการวิเคราะห์ภาวะเศรษฐกิจ ข้อมูลรายได้ประชาชาติสามารถมีประโยชน์ในหลายๆด้าน เช่น • GDP ช่วยให้เราทราบถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศ • GDP แสดงให้เห็นการขยายตัว (หดตัว) ทางเศรษฐกิจ • GDP คำนวณทางด้านรายจ่ายมวลรวมทำให้ทราบถึงแบบแผนการใช้จ่ายในประเทศ • GDP คำนวณทางด้านรายได้แสดงให้เห็นถึงโครงสร้างของผลตอบแทนต่อ ปัจจัยการผลิต • GDP แสดงให้เห็นถึงการผลิตในภาคต่างๆ และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการผลิตของประเทศ
ข้อมูล GDP สามารถนำมาใช้ในการประเมินความสำเร็จของนโยบายทางเศรษฐกิจต่างๆและใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต • แม้ว่าตัวเลข GDP จะมีประโยชน์อย่างมากในการช่วยบอกถึงความมั่นคงและทิศทางของประเทศ แต่ก็ยังมีอีกหลายสิ่งซึ่งตัวเลข GDP ไม่สามารถวัดได้ • GDP ไม่สามารถนับรวมมูลค่าของสินค้าบางประเภทที่ผลิตขึ้นในประเทศ • GDP ไม่สามารถบอกได้ถึงการกระจายรายได้ของประเทศ • GDP ไม่สามารถวัดได้ถึงคุณภาพของสินค้าและบริการ • GDP ไม่ได้บอกถึง ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม • GDP ไม่สามารถวัดความสุขของมนุษย์ได้