1 / 237

240-101 Introduction to computer programming

240-101 Introduction to computer programming. บทที่ 1. Introduction to Basic Computer and Internet แนะนำคอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ตเบื้องต้น. วัตถุประสงค์. อธิบายความหมาย ส่วนประกอบต่างๆ และพื้นฐานขั้นตอนการทำงานของคอมพิวเตอร์ได้ อธิบายระบบการทำงานและการใช้งานบริการในอินเตอร์เน็ตได้.

nadda
Download Presentation

240-101 Introduction to computer programming

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. 240-101Introduction to computer programming

  2. บทที่ 1 Introduction to Basic Computer and Internet แนะนำคอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ตเบื้องต้น

  3. วัตถุประสงค์ • อธิบายความหมายส่วนประกอบต่างๆ และพื้นฐานขั้นตอนการทำงานของคอมพิวเตอร์ได้ • อธิบายระบบการทำงานและการใช้งานบริการในอินเตอร์เน็ตได้

  4. 1. ความหมายของคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ หมายถึง เครื่องคำนวณหรือประมวลผล ที่ทำงานได้ตามโปรแกรมที่วางไว้ แล้วประมวลผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ เครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ - เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล(PC, Personal Computer) ได้แก่ IBM PC, IBM-PC Compatible ได้รับความนิยมในยุคแรก –Macintosh มีจุดเด่นด้านงานพิมพ์

  5. 2. ส่วนประกอบของระบบการทำงานในคอมพิวเตอร์ 2.1. ข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ ลักษณะของข้อมูลจะเป็นบิต (Bit) มาประกอบกัน ข้อมูล 1 บิตมีเพียงสองสถานะ ใช้สัญลักษณ์ 1 หรือ 0 แทน ซึ่งตรงกับเลขฐานสอง(Binary number) โดยทั่วไปข้อมูลหนึ่งตัวอักษร (Character) หรือเรียกว่า 1 ไบต์(Byte) นั้นประกอบด้วยข้อมูล 8 บิต ดังนั้นข้อมูล 1 ไบต์มีความแตกต่างกัน 28 หรือ 256 แบบ

  6. รหัสแอสกี (ASCII, American Standard Code for Information Interchange) เป็นรหัสสากลที่มีขนาด 1 ไบต์ โดยรหัส ASCII ตั้งแต่ 0-127 ใช้แทนค่าตัวอักขระต่างๆ ทั้งตัวเลข ตัวอักษร และรหัสควบคุมพิเศษอื่นๆ เช่น Enter, Backspace, Tab เป็นต้น และ รหัส 128-255 ใช้แทน Graphic Character หรือ ตัวอักษรพิเศษของภาษาอื่นๆ ที่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษ เช่น ภาษาไทย เป็นต้น 210 Byte หรือ 1,024 Byte เรียกว่า 1 KiloByte (KB) 220 Byte หรือ 1,048,576 Byte เรียกว่า 1 MegaByte (MB) 230 Byte หรือ 1,073,741,824 Byte เรียกว่า 1 GigaByte (GB)

  7. 2.2. ระบบคอมพิวเตอร์ (Computer System) 1. หน่วยประมวลผลกลาง (CPU, Central Processing Unit) 2. หน่วยความจำหลัก (Main memory) 3. หน่วยรับส่งข้อมูลเข้าออก (Input/Output Unit, I/O Unit) 4. บัส (Bus) 5. นาฬิกา (Clock) 6. อุปกรณ์รอบนอก (Peripheral Devices)

  8. 1. หน่วยประมวลผลกลาง (CPU, Central Processing Unit) เครื่องไมโครคอมพิวเตอร์จะเรียกว่า ไมโครโพรเซสเซอร์ (Microprocessor) ทำหน้าที่เหมือนเป็นสมองของคอมพิวเตอร์ ซึ่งภายในประกอบด้วย • หน่วยคำนวณและตรรกะ (ALU, Arithmetic and Logic Unit) ทำงานเกี่ยวกับการคำนวณและเปรียบเทียบต่างๆ • หน่วยควบคุม (Control Unit) ทำหน้าที่ควบคุมจังหวะการทำงานทั้งหมดภายในซีพียู • หน่วยความจำ (Memory Unit) ทำหน้าที่เก็บข้อมูลและผลลัพธ์ไว้ภายใน

  9. ซีพียูจะใช้สัญญาณนาฬิกา (Clock Signal) กำหนดจังหวะการทำงาน ดังนั้นการประมวลผลคำสั่งจะเร็วหรือช้าจึงขึ้นกับความถี่ของสัญญาณนาฬิกา และขนาดข้อมูลที่ประมวลผลบน ALUด้วย 80486 ตัวประมวลผลข้อมูลขนาด 32 บิต Clock 25-33 MHz Pentium ตัวประมวลผลข้อมูลขนาด 64 บิต Clock 75 - 233 MHz เป็นต้น

  10. 2. หน่วยความจำหลัก (Main memory) ทำหน้าที่เก็บคำสั่งที่จะให้คอมพิวเตอร์ทำงาน และข้อมูลที่ใช้โดยหน่วยประมวลผลกลาง หรือ ผลลัพธ์จากการประมวลผล • หน่วยความจำแรม (RAM, Random Access Memory) สามารถเขียนและอ่านข้อมูลได้ตลอดเวลา แต่เสียข้อมูลเมื่อขาดไฟฟ้า • หน่วยความจำรอม (ROM, Read Only Memory) อ่านข้อมูลได้เท่านั้น ข้อมูลจะไม่สูญหายแม้ปิดเครื่อง ข้อมูลในหน่วยความจำนี้จะมีการบันทึกในตอนเริ่มต้นโดยบริษัทผู้ผลิตเท่านั้น

  11. หน่วยความจำแคช (Cache)เป็นหน่วยความจำพิเศษ มีความเร็วสูงมาก เก็บข้อมูลที่ CPU ใช้บ่อยๆ ทำให้เสียเวลาน้อยลงในการติดต่อกับหน่วยความจำหลักซึ่งใช้เวลาในการอ่าน-เขียนข้อมูลมากกว่า

  12. 3. หน่วยรับส่งข้อมูลเข้าออก (Input/Output Unit, I/O Unit) ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางการถ่ายเทข้อมูลระหว่างอุปกรณ์รอบข้างกับหน่วยประมวลผลกลางหรือ หน่วยความจำ หน่วยรับส่งข้อมูลเข้าออกยังแบ่งเป็นหน่วยย่อยที่รับผิดชอบเฉพาะอุปกรณ์รอบนอกแต่ละอย่างซึ่งเรียกว่าพอร์ต (port)

  13. พอร์ตรับข้อมูลเข้า (input port) ทำหน้าที่รับข้อมูลอย่างเดียว • พอร์ตส่งข้อมูลออก (output port) ทำหน้าส่งข้อมูลอย่างเดียว • พอร์ตขนาน (parallel port) รับส่งข้อมูลครั้งละ 8 บิตขนานกัน • พอร์ตอนุกรม (serial port) จะรับส่งข้อมูลทีละบิตเรียงกันจนครบ 8 บิต

  14. 4.บัส (Bus) • ทำหน้าที่ถ่ายเทข้อมูลระหว่างหน่วยต่างๆ ของคอมพิวเตอร์ บัสมี 3 ชนิดทำหน้าที่ต่างกันดังนี้ • บัสตำแหน่ง (address bus) ส่งสัญญาณตำแหน่งเพื่อระบุตำแหน่งของหน่วยความจำหรือพอร์ตรับส่ง • บัสควบคุม (control bus) ส่งสัญญาณควบคุมเพื่อคอยรักษาจังหวะการติดต่อระหว่างหน่วยต่างๆ • บัสข้อมูล (data bus) ส่งสัญญาณข้อมูลที่เป็นข้อมูลหรือคำสั่ง

  15. 5.นาฬิกา (Clock) ทำหน้าที่ให้จังหวะเพื่อให้การทำงานระหว่างหน่วยต่างๆ ของระบบคอมพิวเตอร์สอดคล้องกัน เป็นสัญญาณความถี่ที่แม่นยำโดยใช้ผลึกควอตซ์( quartz) เป็นต้นกำเนิด

  16. 6.อุปกรณ์รอบนอก (Peripheral Devices) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้รับและหรือส่งข้อมูลจากภายนอกคอมพิวเตอร์ให้กับคอมพิวเตอร์ เช่น การป้อนข้อมูลผ่านทางคีย์บอร์ด (keyboard) การแสดงข้อมูลผ่านทางจอภาพหรือเครื่องพิมพ์รวมทั้งการเก็บข้อมูลภายนอกจากหน่วยความจำแรมซึ่งมีราคาแพง ไว้ในหน่วยความจำสำรอง (secondary memory หรือ Auxiliary memory) ได้แก่เทปแม่เหล็ก (Magnetic Tape) ฟลอปปี้ดิสก์ (floppy disk) หรือ ฮาร์ดดิสก์ (hard disk)

  17. รูปแสดงระบบของไมโครคอมพิวเตอร์รูปแสดงระบบของไมโครคอมพิวเตอร์

  18. รูปแสดงส่วนประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลรูปแสดงส่วนประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล

  19. ส่วนประกอบภายในของเครื่องพีซีสามารถแยกเป็นส่วนๆ ได้แก่ แผงวงจรหลัก (Motherboard หรือ MainBoard), หน่วยประมวลผลกลาง (CPU), ช่องเสียบอุปกรณ์ภายนอก (Expansion Slot), หน่วยความจำหลัก (RAM), หน่วยความจำสำรอง (Floppy Disk, Hard Disk ,CD-ROM Drive), การ์ดแสดงผลจอภาพ (Graphic Card) ,การ์ดเสียง (Sound Card) และ ส่วนภายนอกเครื่องได้แก่ เมาส์ (mouse) ,แป้นพิมพ์ (keyboard), ลำโพง (speaker), จอภาพ (monitor) เป็นต้น

  20. 2.3. คอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์ (Software Computer) ระบบคอมพิวเตอร์จะทำงานได้ ประกอบด้วยสองส่วนสำคัญได้แก่ ฮาร์ดแวร์ (Hardware) และซอฟต์แวร์ (Software) • ฮาร์ดแวร์ คือ อุปกรณ์ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆของคอมพิวเตอร์ รวมถึงอุปกรณ์ต่อพ่วง ซึ่งมองเห็นได้ จับต้องได้ • ซอฟต์แวร์ คือ โปรแกรมหรือข้อมูลต่างๆ ที่นำไปใช้กับฮาร์ดแวร์

  21. ซอฟต์แวร์ แบ่งตามลักษณะการใช้งานได้แก่ 1. ระบบปฏิบัติการ (OS, Operating System) เป็นโปรแกรมที่ควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงเป็นโปรแกรมหลักที่ทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้ และเป็นพื้นฐานสำหรับการทำงานของโปรแกรมอื่นๆ เช่น DOS ( Disk Operating System ), MS-Windows, Windows95, Unix, OS/2 เป็นต้น

  22. 2. โปรแกรมประยุกต์ใช้งาน (Application Program) เป็นโปรแกรม ต่างๆ ที่ใช้เพื่อทำงานตามที่ต้องการ ซึ่งจัดแบ่งเป็นกลุ่มได้ดังนี้ • โปรแกรมสำหรับการสร้างหรือพัฒนาโปรแกรม (Compiler Program) • โปรแกรมอรรถประโยชน์ (Utility Program) • โปรแกรมสำหรับการทำงานด้านเอกสาร • โปรแกรมที่จัดการงานด้านฐานข้อมูล (Database Program)

  23. โปรแกรมที่จัดการข้อมูลที่เป็นตาราง (Spread Sheet) • โปรแกรมที่เกี่ยวข้องกับการติดต่อสื่อสารระหว่าง คอมพิวเตอร์ • โปรแกรมประยุกต์เฉพาะด้านหรือเป็นโปรแกรมสำเร็จรูป (Package Program )

  24. 3. พื้นฐานการใช้งานอินเตอร์เน็ต อินเตอร์เน็ต (Internet) เป็นกลุ่มเครือข่ายทางคอมพิวเตอร์ ประกอบด้วยเครือข่ายคอมพิวเตอร์ย่อยที่ต่อเชื่อมเข้าด้วยกันภายใต้มาตรฐานการสื่อสารเดียวกัน ผู้เป็นสมาชิกในอินเตอร์เน็ตจะมีที่อยู่อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Mail Address) เพื่อรับส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Mail) กับสมาชิกอื่นได้ทั่วโลก หรือติดต่อโต้ตอบกันผ่านทางคอมพิวเตอร์โดยตรงได้ นอกจากนี้ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตยังสามารถอ่านข่าวจากกระดานข่าวเครือข่ายที่มีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตส่งมาจากทั่วโลก การขอถ่ายโอนข้อมูลจากศูนย์บริการเครือข่าย และการค้นหาข้อมูลจากเครือข่ายเป็นต้น

  25. สมาคมอินเตอร์เน็ต (Internet Society) ซึ่งมีผู้ใช้และผู้ให้บริการทั่วไปเป็นสมาชิก โดยมีส่วนที่ใช้ติดตั้งอินเตอร์เน็ตดังนี้ -เลขที่อยู่อินเตอร์เน็ต (Internet Address) -ชื่อเครื่องในอินเตอร์เน็ต -ระบบชื่อโดเมน (Domain name system) -ที่อยู่ทางอิเล็กทรอนิกส์(Electronic-mail address) -ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต -การเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ต -อุปกรณ์ที่ใช้ในการเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ต

  26. 4. บริการในระบบอินเตอร์เน็ต ประเภทของการให้บริการสามารถแบ่งออกเป็น 6 ประเภท ได้แก่ 1. จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ 2. ขนถ่ายแฟ้มข้อมูล 3. การใช้โปรแกรมบนเครื่องคอมพิวเตอร์อื่น 4. บริการค้นหาแฟ้มข้อมูล 5. กลุ่มสนทนาและข่าวสาร 6. บริการเวิลด์ไวด์เว็บ (World Wide Web, WWW)

  27. บทที่ 2 Introduction to C Programmingแนะนำการเขียนโปรแกรมด้วยภาษาซี

  28. หัวข้อ 1. แนะนำภาษาซีเบื้องต้น 2. อินพุทและเอาท์พุท 3. เครื่องหมายดำเนินการ

  29. 1. แนะนำภาษาซีเบื้องต้น • ตัวแปรในภาษาซี • การเขียนคำอธิบายในภาษาซี • กลุ่มคำในภาษาซี • ตัวแปรในภาษาซี • ตัวประมวลผลก่อน • คำสั่งและนิพจน์ • อินพุทและเอาท์พุท

  30. 2. อินพุทและเอาท์พุท • บทนำ • ASCII • ฟังก์ชันแสดงผลข้อมูล • ฟังก์ชันรับค่าข้อมูล • ฟังก์ชันอื่นๆ ที่ใช้ในการรับค่าและแสดงผลข้อมูล

  31. 3. เครื่องหมายดำเนินการ • ตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์ • ตัวดำเนินการสัมพันธ์และตัวดำเนินการตรรกะ • ตัวดำเนินการประกอบ • ตัวดำเนินการบอกขนาด • ตัวดำเนินการแบบมีเงื่อนไข • ลำดับการทำงานก่อน-หลังของตัวดำเนินการ • การเปลี่ยนแปลงค่าผลลัพธ์เป็นตัวแปรชนิดใหม่

  32. 1. แนะนำภาษาซีเบื้องต้น ภาษาซีเป็นภาษาที่ทำงานได้อย่างกว้างขวาง เข้าใจง่าย เขียนง่าย ตลอดจนมีคำสั่งที่อำนวยความสะดวกให้กับผู้เขียนที่จะสามารถเรียกใช้ได้ตามที่ต้องการ ซึ่งผู้เขียนโปรแกรมควรจะต้องศึกษาและทำความเข้าใจในกฏเกณฑ์เหล่านั้นให้ดีเสียก่อน ก็จะทำให้สามารถนำภาษาซีมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ กฏเกณฑ์ของเครื่องมือที่ใช้เขียนโปรแกรมภาษาซีของแต่ละผู้ผลิต จะมีข้อแตกต่างกันไปบ้างเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่จะคล้ายๆกัน

  33. 1.1 รูปแบบการทำงานของภาษาซี ในภาษาซีจะเขียนโปรแกรมโดยการเรียกใช้แต่ละชุดของโปรแกรมที่เรียกว่า ฟังก์ชัน (Function) หรือในโปรแกรมภาษาอื่นอาจจะเรียกว่า โปรแกรมย่อยหรือชุดคำสั่งย่อย (Procedure) นั่นเอง ฟังก์ชันเหล่านี้จะมีชื่ออะไรก็ได้ กี่ฟังก์ชันก็ได้ แต่อย่างน้อยต้องมี 1 ฟังก์ชันที่ชื่อ main เพื่อให้โปรแกรมเริ่มทำงานที่ฟังก์ชันนี้

  34. 1.1 รูปแบบการทำงานของภาษาซี จากตัวอย่าง จะแสดงให้เห็นว่า ภาษาซีสามารถมีได้หลายฟังก์ชัน แต่จะมีฟังก์ชันหลัก คือ ฟังก์ชัน main ในการควบคุมการทำงานของโปรแกรมว่าให้ทำฟังก์ชันใดบ้าง แต่ถ้าโปรแกรมขนาดเล็กไม่มีการทำงานที่ซับซ้อน อาจจะไม่จำเป็นต้องมีฟังก์ชันอื่นๆ มีฟังก์ชัน main เพียงฟังก์ชันเดียวก็ได้

  35. 1.2 ฟังก์ชันในภาษาซี ฟังก์ชันในภาษาซีแบ่งได้เป็น 2 ส่วน ได้แก่ ฟังก์ชันที่เป็นโปรแกรมหลักหรือฟังก์ชันหลักที่ถูกกำหนดให้มีเพียงฟังก์ชันเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ ฟังก์ชัน main สำหรับฟังก์ชันในส่วนที่ 2 เป็นฟังก์ชันที่ไม่ใช่ฟังก์ชันหลัก ซึ่งมีกี่ฟังก์ชันก็ได้

  36. โครงสร้างทั่วไปในฟังก์ชันโครงสร้างทั่วไปในฟังก์ชัน 1.2.1 ส่วนหัวของฟังก์ชัน (Heading)เป็นส่วนที่นิยามชื่อฟังก์ชัน กำหนดชนิดและจำนวนตัวแปรที่ใช้ส่งผ่านค่าเข้าออก มีรูปแบบดังนี้

  37. โครงสร้างทั่วไปในฟังก์ชันโครงสร้างทั่วไปในฟังก์ชัน เช่น int main(char) หมายถึง ฟังก์ชัน main มีการรับพารามิเตอร์ชนิดเป็น char และมีการส่งค่ากลับออกมาเป็นชนิด int

  38. 1.2.2 ส่วนกลุ่มคำสั่ง (Compound Statements) ส่วนนี้จะประกอบด้วย 3 ส่วนย่อย • ส่วนกำหนดตัวแปร (Variable Declaration) ใช้สำหรับกำหนดตัวแปรเพื่อใช้งานในฟังก์ชัน • ส่วนคำสั่ง (Statement) ประกอบด้วยคำสั่งต่างๆ เรียงกันไป แต่ละคำสั่งต้องปิดท้ายด้วยเครื่องหมาย ; เสมอ • เครื่องหมาย { } เครื่องหมายนี้ทำหน้าที่กำหนดขอบเขตของกลุ่มคำสั่งในฟังก์ชัน

  39. ส่วนหัวของฟังก์ชัน (Heading) { ส่วนกำหนดตัวแปร (Variable Declarations) ส่วนคำสั่ง (Statements) }

  40. 1.3 การคอมไพล์และลิงค์โปรแกรมในภาษาซี การสร้างโปรแกรมที่สามารถใช้งานได้ขึ้นมาโปรแกรมหนึ่ง ในภาษาซีมีขั้นตอนดังนี้ 1. สร้างตัวโปรแกรมที่เป็นตัวอักษร หรือเรียกว่า ซอร์สไฟล์ (Source file) โดยมีนามสกุลเป็น .c หรือ .cpp ขึ้นมาก่อน โดยใช้โปรแกรมที่สามารถเขียนไฟล์ที่เก็บอักขระ (Editor) ใดๆ ก็ได้ อักษรหรืออักขระใดๆ นั้น จะต้องอยู่ในรูปแบบของการโปรแกรมภาษา (ขั้นตอนนี้คือการสร้างโปรแกรมที่เป็นภาษามนุษย์นั่นเอง)

  41. 2. คอมไพล์เลอร์ของภาษาซี (C Compiler) จะทำการแปลงซอร์สไฟล์ จากอักขระใดๆ ให้เป็นรหัสที่เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้เก็บไว้ในอีกไฟล์หนึ่งเรียกว่าไฟล์วัตถุประสงค์ (Object file) ที่มีนามสกุล .obj (ขั้นตอนนี้เรียกว่า การคอมไพล์ เป็นการแปลงภาษามนุษย์เป็นภาษาเครื่องนั่นเอง) 3. ตัวเชื่อม (Linker) จะทำการตรวจสอบว่าในโปรแกรมที่เขียนขึ้นนั้น มีการเรียกใช้งานฟังก์ชันมาตรฐานใด จากห้องสมุดของภาษาซี (C Library) บ้างหรือไม่ ถ้ามี ตัวเชื่อมจะทำการรวมเอาฟังก์ชันเหล่านั้นเข้ากับไฟล์วัตถุประสงค์ แล้วจะได้ไฟล์ที่สามารถทำงานได้ โดยมีนามสกุลเป็น .exe (ขั้นตอนนี้เรียกว่า การลิงค์ เป็นการรวมฟังก์ชันสำเร็จรูปเข้าไป แล้วสร้างไฟล์ที่ทำงานได้)

  42. ตัวอย่าง 1. สร้างซอร์สไฟล์ที่มีข้อความ ที่เก็บโปรแกรมภาษาซี ดังนี้ #include <stdio.h> void main(void) { printf(“Hello World”); } แล้วเก็บไว้ในไฟล์ชื่อ 1.c 2. ใช้คำสั่งเพื่อเรียกให้คอมไพล์เลอร์ของภาษาซีทำงาน โดยคอมไพล์เลอร์จะทำการแปลงอักขระจากซอร์สไฟล์ ให้เป็นรหัสที่คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ จะได้ไฟล์ชื่อ 1.obj

  43. 3. ใช้คำสั่งเพื่อเรียกให้ตัวเชื่อมของภาษาซีทำงาน ตัวเชื่อมจะทำการรวมไฟล์ห้องสมุดที่ชื่อ stdio.h เข้ามา (ตามข้อความ #include …)แล้วสร้างไฟล์ที่สามารถทำงานได้ชื่อ 1.exe **หมายเหตุคำว่า printf ในตัวโปรแกรม คือฟังก์ชันมาตรฐานหนึ่งที่พิมพ์ข้อความออกทางหน้าจอ โดยขั้นตอนและวิธีการทำงานของฟังก์ชัน printf จะอยู่ในไฟล์ห้องสมุดชื่อ stdio.h ดังนั้น ถ้าตัวเชื่อมไม่ทำการรวมไฟล์ห้องสมุดที่ชื่อ stdio.h เข้าทำ จะทำให้ไม่สามารถเรียกใช้งานฟังก์ชัน printf ได้เลย

  44. 1.4 โครงสร้างของโปรแกรมที่เขียนด้วยภาษาซี • โครงสร้างของโปรแกรมที่เขียนด้วยภาษาซีแบ่งย่อยได้เป็น 3 ส่วนดังนี้ • 1.4.1 ส่วนเรียกใช้ไฟล์อื่นๆเป็นส่วนที่บอกให้คอมไพล์เลอร์ไปดึงไฟล์อื่นที่กำหนดมาแปลร่วมด้วย ไฟล์เหล่านี้อาจจะเป็นไฟล์มาตราฐานที่มีให้แล้วในภาษาซี หรือเป็นไฟล์ที่เขียนขึ้นมาใหม่ก็ได้ โดยส่วนใหญ่มักจะเป็นไฟล์ที่มีนามสกุลเป็น .h • 1.4.2 ส่วนกำหนดชื่อในโปรแกรมเป็นส่วนที่ใช้กำหนดค่าคงที่ ตัวแปรและค่าอื่นๆที่ต้องการ • 1.4.3 ส่วนคำสั่ง จะประกอบด้วยคำสั่งต่างๆ หรือฟังก์ชันอื่นๆ ที่ใช้ในการทำงานของโปรแกรม

  45. ตัวอย่างโครงสร้างโปรแกรมที่เขียนด้วยภาษาซี ดังรูปที่ 2.2 #include <stdio.h> ส่วนเรียกใช้ไฟล์อื่น char a; ส่วนกำหนดชื่อ int main(void) { a = 23; printf(“Hello World”); ส่วนคำสั่ง return a; }

  46. Output ผลที่จากการรันโปรแกรม จะได้ข้อความบนหน้าจอว่า Hello World

  47. 1.5 รูปแบบคำสั่งในภาษาซี รูปแบบคำสั่งในภาษาซี มีกฏเกณฑ์ในการเขียนคำสั่ง ดังนี้ 1. คำสั่งทุกคำสั่งต้องเขียนด้วยอักษรตัวเล็กเสมอ เช่นคำสั่ง printf , scanf , for 2.ทุกคำสั่งจะใช้เครื่องหมาย ; แสดงการจบของคำสั่ง เช่น printf(“Hello”); 3. การเขียนคำสั่ง จะเขียนได้แบบอิสระ(Free Format) คือ สามารถเขียนหลายๆคำสั่งต่อกันได้ เช่น printf(“Hello”); printf(“Goodbye”); a = 95; หมายเหตุแต่เพื่อความเป็นระเบียบและอ่านง่าย ควรจะเขียน 1 คำสั่งต่อ 1 บรรทัด

  48. 1.6 การเขียนคำอธิบาย(Comment) ในภาษาซี ภาษาซีนิยมการเขียนข้อความอธิบายการทำงานในส่วนต่างๆของโปรแกรมเพื่อให้เข้าใจและอ่านโปรแกรมง่ายขึ้น การเขียนอธิบายจะใช้เครื่องหมาย /* และ */ คร่อมข้อความที่ต้องการอธิบาย ดังนี้ /* …….ข้อความที่ต้องการอธิบาย…….*/ แต่ถ้าต้องการเขียนอธิบายหลายๆบรรทัดจะเขียนได้ดังนี้ /* ……………………………………… ………. ข้อความที่ต้องการอธิบาย………. …………………………………………..*/

More Related