1 / 23

ปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความถี่ของ แอลลีล และ กำเนิดส ปี ชีส์

ปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความถี่ของ แอลลีล และ กำเนิดส ปี ชีส์. ปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความถี่ของ แอลลีล.

Download Presentation

ปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความถี่ของ แอลลีล และ กำเนิดส ปี ชีส์

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. ปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความถี่ของแอลลีลและกำเนิดสปีชีส์ปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความถี่ของแอลลีลและกำเนิดสปีชีส์

  2. ปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความถี่ของแอลลีลปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความถี่ของแอลลีล ในสภาวะสมดุลของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์กนั้น ความถี่ของอัลลีลในประชากรแต่ละรุ่นจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงความถี่ของแอลลีลในประชากรจะทำให้โครงสร้างทางพันธุ กรรมของประชากรมีการเปลี่ยนแปลงน้อย จนไม่สามารถสังเกตได้นั่นคือประชากรเกิดการวิวัฒนาการขึ้น และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางพันธุกรรมของยีนพูลในประชากรทีละเล็กทีละน้อย นี้เรียกว่า วิวัฒนาการระดับจุลภาค (microevolution) ซึ่งถือได้ว่าเป็นการเกิดวิวัฒนาการในระดับสปีชีส์ของสิ่งมีชีวิต

  3. จากที่กล่าวมาแล้วว่าปัจจัยที่ทำให้ความถี่ของแอลลีลในประชากรเปลี่ยนแปลง ปละเกิดวิวัฒนาการ ได้แก่แรนดอมจีเนติกดริฟท์การคัดเลือกโดยธรรมชาติ การถ่ายเทเคลื่อนย้ายยีนมิวเทชันและการเลือกคู่ ผสมพันธุ์ ปัจจัยต่างๆเหล่านี้ทำให้ประชากรเกิดวิวัฒนาการได้อย่างไร 1. แรนดอมจีเนติกดริฟท์  มีผู้ศึกษาประชากร ๆม้ดอกชนิดหนึ่งมีทั้งดอกสีแดงและดอกสีขาวจำนวน 10 ต้น ดังภาพที่19-17 ก. ต่อมาได้สุ่มประชากรไม้ดอกจำนวน 5ต้น ย้ายมาปลูกในแปลงใหม่และได้แพร่พันธุ์เป็นประชากรไม้ดอกในรุ่นที่ 2 ดังภาพที่ 19-17 ข. จากนั้นได้สุ่มประชากรไม้ดอกจำนวน 2 ต้น ย้ายมาปลูกในแปลงใหม่อีกและได้แพร่พันธุ์เป็นประชากรไม้ดอกในรุ่นที่ 3 ดังภาพ

  4. จะเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงความถี่ของแอลลีลที่เกิดขึ้นในประชากรที่มี ขนาดเล็กในลักษณะนี้ที่เกิดขึ้นในธรรมชาติอาจเกิดขึ้นโดยบังเอิญเช่น จากภัยทางธรรมชาติ หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมอย่างกระทันหันไม่ได้เกิดจากการคัดเลือกโดย ธรรมชาติ ดังนั้นอาจทำให้บางแอลลีลไม่มีโอกาสถ่ายทอดไปยังรุ่นลูกได้ การเปลี่ยนแปลงความถี่ของแอลลีลที่เกิดขึ้นในประชากรขนาดเล็กนี้เรียกว่า แรนดอมจีเนดริฟท์

  5. 2. การถ่ายเทเคลื่อนย้ายยีน จากการศึกษาความถี่ของแอลลีลในประชากรไม้ดอกที่อาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ พบว่า ฝั่งด้าน A มีประชากรไม้ดอกสีขาวมากกว่าสีแดง โดยมีความถี่ของแอลลีล r=0.9 และฝั่งด้าน Bมีประชากรไม้ดอกสีแดงมากกว่าสีขาว มีความถี่ของ แอลลีลr=0.1 ดังภาพที่ 19-18 ก. ต่อมามีลมพัดแรงเกิดขึ้นบริเวณนี้ ทำให้มีการ ถ่ายละอองเรณูระหว่างประชากรไม้ดอกทั้ง 2 ฝั่ง เมื่อเวลาผ่านไป พบว่าฝั่ง A มี ประชากรไม้ดอกสีแดงเพิ่มมากขึ้น มีความถี่ของแอลลีลr=0.7 และฝั่ง B มี ประชากรไม้ดอกสีขาวเพิ่มมากขึ้น มีความถี่ของแอลลีลr=0.3

  6. จะเห็นว่าประชากรไม้ดอกทั้ง 2 ฝั่ง เมื่อมีโอกาสได้ผสมพันธุ์กันทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายยีนหรือแอลลีลจาก ประชากรหนึ่งไปสู่อีกประชากรหนึ่ง การเคลื่อนย้ายแอลลีลระหว่างประชากรในลักษณะนี้เรียกว่า การถ่ายเทเคลื่อนย้ายยีน (gene flow)นอกจากนี้การถ่ายเทเคลื่อนย้ายยีนระหว่างประชากรยังเกิดขึ้นในลักษณะต่างๆ เช่นการแพร่กระจายของสปอร์ หรือละอองเรณูหรือเมล็ดระหว่างประชากรพืชจากพื้นที่หนึ่งแพร่กระจายไปยัง พื้นที่อื่น การอพยพย้ายถิ่นฐานระหว่างประชากร เป็นต้น ทำใหความถี่ของแอลลีลในประชากรทั้งสองมีแนวโน้มแตกต่างกันน้อยลงเรื่อยๆจนในที่สุดเปรียบเสมือนเป็นประชากรเดียวกัน

  7. 3. การเลือกคู่ผสมพันธุ์  นักเรียนได้ทราบมาแล้วว่าประชากรที่สมาชิกทุกตัวมีโอกาสผสมพันธุ์ได้เท่าๆ กันจะไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงความถี่ของแอลลีลในยีนพูลของประชากรในทุกรุ่น แต่ในธรรมชาติโดยทั่วไปสมาชิกในประชากรมักจะมี การเลือกคู่ผสมพันธุ์ (non-random mating)ทำให้สมาชิกบางส่วนของประชากรไม่มีโอกาสได้ผสมพันธุ์ จึงมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงความถี่ของแอลลีลในยีนพูล ของประชากรในรุ่นต่อไป

  8. 4. มิวเทชัน จากบทเรียนในเรื่องพันธุศาสตร์ นักเรียนทราบมาแล้วว่ามิวเทชันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งในระดับยีน และในระดับโคโมโซมในลักษณะต่างๆ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้เกิดขึ้นได้เสมอในสภาวะปกติ และเกิดได้ทั้งในเซลล์ร่างกายและเซลล์สืบพันธุ์ การเกิดมิวเทชันเพียงอย่างเดียวไม่มีผลมากพอจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางพันธุกรรมของยีนพูลในประชากรขนาดใหญ่ภายในรุ่น เดียว แต่เป็นการสร้างแอลลีลใหม่ที่สะสมไว้ในยีนพูลของประชากรทำให้เกิดความหลาก หลายทางพันธุกรรมของประชากรโดยธรรมชาติจะเป็นผู้คัดเลือกแอลลีลใหม่ที่เหมาะ สมไว้ในประชากร และเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ความถี่ของแอลลีลในประชากรเปลี่ยนแปลง

  9. 5. การคัดเลือกโดยธรรมชาติ การคัดเลือกโดยธรรมชาติทำให้สมาชิกของประชากรที่มีลักษณะเหมาะสมกับสภาพแวด ล้อมมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ลักษณะที่ไม่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมจะถูกคัดทิ้ง และมีจำนวนลดลง ด้วยเหตุนี้ทำให้แอลลีลบางแอลลีลในประชากรมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นและบางแอลลี ลของประชาชนมีจำนวนลดลง จึงมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงความถี่ของแอลลีลในประชากร ทำให้สิ่งมีชีวิตมีวิวัฒนาการโดยมีรูปร่าง สี พฤติกรรม และการดำรงชีวิตที่กลมกลืนกับสภาพแวดล้อม

  10. กำเนิดของสปีชีส์ ความหมายของสปีชีส์ 1.1 สปีชีส์ทางด้านสัณฐานวิทยา หมายถึง สิ่งมีชีวิตที่แตกต่างกันในลักษณะทางสัณฐานและโครงสร้างทางกายวิภาคของสิ่งมีชีวิต ใช้เป็นแนวคิด ในการศึกษาอนุกรมวิธาน 1.2 สปีชีส์ทางด้านชีววิทยา หมายถึง สิ่งมีชีวิตที่สามารถผสมพันธุ์กันได้ในธรรมชาติ ให้กำเนิดลูกที่ไม่เป็นหมันแต่ถ้าเป็นสิ่งมีชีวิตต่างสปีชีส์กัน ก็อาจให้กำเนิดลูกได้เช่นกันแต่เป็นหมัน

  11. กลไกที่แบ่งแยกการสืบพันธุ์มีผลยับยั้งมิให้เกิดการผสมพันธ์ข้ามสปีชีส์ อาจแบ่งได้เป็น 2 ระดับ คือ1. กลไกแบ่งแยกระดับก่อนไซโกต (prezygotic isolating mechanism) เป็นกลไกป้องกันไม่ให้เกิดการปฏิสนธิ อันประกอบด้วยความแตกต่างในเรื่องต่อไปนี้ 1.1ระยะเวลาผสมพันธุ์ หรือฤดูกาลผสมพันธุ์ที่ต่างกัน (temporal isolation)1.2 สภาพนิเวศวิทยาที่แตกต่างกัน (ecological isolation)1.3 พฤติกรรมการผสมพันธุ์ที่แตกต่างกัน (behavioral isolation)1.4 โครงสร้างอวัยวะสืบพันธุ์ที่แตกต่างกัน (mechanical isolation)1.5 สรีรวิทยาของเซลล์สืบพันธุ์ที่แตกต่างกัน (gametic isolation)

  12. 2. กลไกแบ่งแยกระยะหลังไซโกต(postzygotic isolating mechanism)ถ้าหากในกรณีที่กลไกแบบแรกล้มเหลวยังสามารถควบคุมได้โดย 2.1 ลูกที่ผสมได้ตายก่อนวัยเจริญพันธุ์2.2 ลูกที่ผสมได้เป็นหมัน2.3 ลูกที่ผสมล้มเหลว

  13. แผนภาพแสดงขั้นตอนการเกิดสปีชีส์ไหม่แผนภาพแสดงขั้นตอนการเกิดสปีชีส์ไหม่

  14. กลไกการแยกทางสืบพันธุ์ก่อนระยะไซโกตกลไกการแยกทางสืบพันธุ์ก่อนระยะไซโกต เป็นกลไกที่ป้องกันไม่ให้เซลล์สืบพันธุ์จากสิ่งมีชีวิตต่างสปีชีส์กันได้มาผสม พันธุ์กัน กลไกเหล่านี้ได้แก่ 1. ถิ่นที่อยู่อาศัย                     สิ่งมีชีวิตต่างสปีชีส์กันที่อาศัยในถิ่นที่อยู่ต่างกัน เช่น กบป่า อาศัยอยู่ใน แอ่งน้ำซึ่งเป็นแหล่งน้ำจืดขนาดเล็ก ส่วนกบบูลฟรอกอาศัยอยู่ในหนองน้ำหรือบึง ขนาดใหญ่ที่มีน้ำตลอดปี กบทั้งสองสปีชีส์นี้มีลักษณะรูปร่างใกล้เคียงกันมาก แต่อาศัย และผสมพันธุ์ในแหล่งน้ำที่แตกต่างกันทำให้ไม่มีโอกาสได้จับคู่ผสมพันธุ์กัน

  15. 2.พฤติกรรมการผสมพันธุ์2.พฤติกรรมการผสมพันธุ์ เช่น พฤติกรรมในการเกี้ยวพาราสีของนกยุงเพศผู้ ลักษณะการสร้างรังที แตกต่างกันของนกและการใช้ฟีโรโมน ของแมลง เป็นต้น พฤติกรรมต่างๆ นี้ จะมีผล ต่อสัตว์เพศตรงข้ามในสปีชีส์เดียวกันเท่านั้นที่จะจับคู่ผสมพันธุ์กัน 3. ช่วงเวลาในการผสมพันธุ์ อาจเป็นวัน ฤดูกาล หรือช่วงเวลาของการผสมพันธุ์ ตัวอย่างเช่น แมลงหวี่ Drosophila pseudoobscuraมีช่วงเวลาเหมาะสมในการผสมพันธุ์ใน ตอนบ่าย แต่ Drosophila persimilisจะมีช่วงเวลาที่เหมาะสมในตอนเช้า ทำ ให้ไม่มีดอกาส ในการผสมพันธุ์กันได้       

  16. 4. โครงสร้างของอวัยวะสืบพันธุ์ สิ่งมีชีวิตต่างสปีชีส์กันจะมีขนาดและรูปร่างของอวัยวะสืบพันธุ์แตกต่างกัน ทำให้ไม่สามารถผสมพันธุ์กันได้ เช่น โครงสร้างของดอกไม้บางชนิดมีลักษณะ สอดคล้องกับลักษณะของแมลงหรือสัตว์บางชนิด ทำให้แมลงหรือสัตว์นั้นๆ ถ่าย ละอองเรณูเฉพาะพืชในสปีชีส์เดียวกันเท่านั้น 5. สรีรวิทยาของเซลล์สืบพันธุ์ เมื่อเซลล์สืบพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตต่างสปีชีส์กันมีโอกาสมาพบกัน แต่ไม่ สามารถปฎิสนธิกันได้ อาจเป็นเพราะอสุจิไม่สามารถอยู่ภายในร่างกายเพศเมียได้ หรือ อสุจิไม่สามารถสลายสารเคมีที่หุ้มเซลล์ไข่ของสิ่งมีชีวิตต่างสปีชีส์ได้

  17. กลไกการแยกทางสืบพันธ์ระยะหลังไซโกตกลไกการแยกทางสืบพันธ์ระยะหลังไซโกต กลไกการแบ่งแยกระยะหลังไซโกต เมื่อกลไกการแบ่งแยกในระดับแรกไม่ อาจป้องกันการผสมพันธุ์ระหว่างสิ่งมีชีวิต 2 สปีชีส์ (hybridization)ไว้ได้ เกิดการผสม ข้ามสปีชีส์และเกิดลูกผสม (hybrid) ที่เป็นตัวเต็มวัย แต่ยีนโฟลว์ระหว่างสปีชีส์ทั้ง 2 จะไม่เกิดเพราะไซโกตหรือลูกผสมมีองค์ประกอบของยีน (genome = จีโนม) ไม่ สอดคล้องกัน เกิดความผิดปกติขึ้นกับลูกผสมคือ

  18. 1. ลูกผสมตายก่อนถึงวัยเจริญพันธุ์ เช่น การผสมพันธุ์กบ (Rana spp.) ต่างสปีชีส์กัน พบว่าจะมีการตาย ของตัวอ่อนในระยะต่างๆกัน และไม่สามารถ เจริญเติบโตเป็นตัวเต็มวัยได้ 2. ลูกผสมเป็นหมัน                  เช่น ล่อ เกิดจากการผสมระหว่างม้ากับลา แต่ล่อเป็นหมันไม่สามารถให้กำเนิดลูก ในรุ่นต่อไปได้ 3. ลูกผสมล้มเหลว   เช่น การผสมระหว่างดอกทานตะวัน(Layia spp.) 2 สปีชีส์พบว่า ลูกผสมที่ เกิดขึ้นสามารถเจริญเติบโต และให้ลูกผสมในรุ่น F1 ได้ แต่ในรุ่น F2 เริ่มอ่อนแอและเ ป็นหมันประมาณร้อยละ 80 และจะปรากฎเช่นนี้ในรุ่นต่อๆไป

  19. การเกิดสปีชีส์ใหม่  สิ่งมีชีวิตสปีชีส์เดียวกันเมื่อแบ่งกันอยู่ เป็นกลุ่มย่อยๆด้วยสาเหตุจากสภาพ ภูมิศาสตร์หรือเหตุใดๆก็ตามแล้ว มีผลให้เกิดการผสมพันธุ์เฉพาะภายในกลุ่ม ไม่ผสม พันธุ์ข้ามกลุ่มซึ่งอาจมีผลมาจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการสืบ พันธุ์ การหา อาหารและอื่นๆ กรณีนี้ ลักษณะของสิ่งมีชีวิตในประชากรแต่ละกลุ่มจะเปลี่ยนไปจน กลายเป็นสปีชีส์ใหม่ ขึ้น เมื่อกลับมารวมกันอีกครั้งก็ไม่ผสมพันธุ์กัน หรือผสมพันธ์ อาจได้ลูกที่เป็นหมัน

  20. การเกิดสปีชีส์ใหม่จากการแบ่งแยกทางภูมิศาสตร์การเกิดสปีชีส์ใหม่จากการแบ่งแยกทางภูมิศาสตร์ กลไกการเกิดสปีชีส์ใหม่ลักษณะนี้ เกิดจากประชากรดั้งเดิมในรุ่นบรรพบุรุษ ที่เคยอาศัยอยู่ในพื้นที่เดียวกัน เมื่อ มีอุปสรรคมาขวางกั้น เช่น ภูเขา แม่น้ำ ทะเล เป็น ต้น ทำให้ประชากรในรุ่นบรรพบุรุษที่เคยอาศัยอยู่ในพื้นที่เดียวกัน  เกิดการแบ่งแยก ออกจากกันเป็นประชากรย่อยๆและไม่ค่อยมีการถ่ายเทเคลื่อนย้ายยีนระหว่างกัน ประกอบกับประชากรแต่ละแห่งต่างก็มีการปรับเปลี่ยน องค์ประกอบทางพันธุกรรม ไปตามทิศทางการคัดเลือกโดยธรรมชาติจนกระทั่งเกิดเป็นสปีชีส์ใหม่ การเกิดสปีชีส์ใหม่ในลักษณะแบบนี้เป็นกระบวนการค่อยเป็นค่อยไป อาจ ใช้เวลานานนับเป็นพัน ๆ หรือล้าน ๆ รุ่น เช่น กระรอก 2 สปีชีส์ในรัฐอริโซนา ประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกันมาก แต่พบว่าอาศัยอยู่บริเวณขอบเหว แต่ละด้านของแกรนด์แคนยอนซึ่งเป็นหุบผาที่ลึกและกว้าง นักชีววิทยาเชื่อกันว่า กระรอก 2 สปีชีส์นี้เคยอยู่ในสปีชีส์เดียวกันมาก่อน ที่จะเกิดการแยกของแผ่นดินขึ้น

  21. อ้างอิง • http://fws.cc/udontham/ • https://sites.google.com/site/biologyroom610/evolution/evolution5 • http://thaigoodview.com

  22. สมาชิกกลุ่ม 8 • 1.นายกมล เรืองศรี ม.6/6 เลขที่ 1ก • 2.นายนพสิทธิ์ อุบลสูตรวนิช ม.6/6 เลขที่ 6ก • 3.นายภาณุพงศ์ กาญจนะเดชะ ม.6/6 เลขที่ 8ก • 4.นายพันธุ์เทพ ตุลาพันธ์ ม.6/6 เลขที่ 2ข • 5.นายภาณุพงศ์ สันติมุนินทร์ ม.6/6 เลขที่ 4ข

More Related