1.4k likes | 1.59k Views
สรุป กฏหมายยืม ค้ำประกัน จำนอง จำนำ โดย อัยการเลอศักดิ์ ดุกสุขแก้ว 074-311057 ต่อ 104 086-3356203. สำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชนจังหวัดสงขลา. ยืม 1 .คู่สัญญาต้องมีเจตนาที่จะทำสัญญากัน ม. 149
E N D
สรุป กฏหมายยืม ค้ำประกัน จำนอง จำนำ โดย อัยการเลอศักดิ์ ดุกสุขแก้ว 074-311057 ต่อ 104 086-3356203 สำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชนจังหวัดสงขลา
ยืม 1.คู่สัญญาต้องมีเจตนาที่จะทำสัญญากัน ม.149 -การกู้ยืมเงินในส่วนราชการเพื่อปฏิบัติราชการไม่ถือเป็นการกู้ยืมเงินตาม ป.แพ่ง เป็นเรื่องระเบียบราชการ หากเกิดความเสียหายเป็นเรื่องละเมิด 2.ความสามารถในการทำนิติกรรม -หากบริษัทไม่มีวัตถุประสงค์ประกันวินาศภัยจะอ้างเหตุว่าเป็นเรื่องนอกวัตถุประสงค์ไม่ได้ (ฎ.4211-12/2528) -วัตถุประสงการกู้ยืมไม่ต้องห้ามตามกฎหมาย ม.150
มาตรา 640“อันว่ายืมใช้คงรูปนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ให้ยืม ให้บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า ผู้ยืม ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่า และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว”
ยืมใช้คงรูป ลักษณะยืมใช้คงรูป 1.วัตถุแห่งหนี้คือทรัพย์สิน เป็นสังหาริมทรัพย์ 2.เป็นสัญญาไม่มีค่าตอบแทน ตามมาตรา 640 พิจารณาผู้ยืมเป็นสำคัญ ม.648 ผู้ให้เช่าไม่ต้องรับผิดรอนสิทธิ 3.เป็นสัญญาที่ไม่โอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ยืม(ม.640) 4.เป็นสัญญาที่บริบูรณ์เมื่อส่งมอบทรัพย์สิน (ม.641)
1.หน้าที่และความรับผิดของผู้ยืมใช้คงรูป1.หน้าที่และความรับผิดของผู้ยืมใช้คงรูป 1.1 หน้าที่เสียค่าธรรมเนียมในการทำสัญญา ส่งมอบและส่งคืนทรัพย์สินที่ยืม(ม.642) มาตรา 642 ค่าฤชาธรรมเนียมในการทำสัญญาก็ดี ค่าส่งมอบและค่าส่งคืนทรัพย์สินซึ่งยืมก็ดี ย่อมตกแก่ผู้ยืมเป็นผู้เสีย
1.2 หน้าที่ต้องระมัดระวังในการใช้ทรัพย์สินที่ยืม (ม.643) มาตรา 643ทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น ถ้าผู้ยืมเอาไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ทรัพย์สินนั้น หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญาก็ดี เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยก็ดี เอาไปไว้นานกว่าที่ควรจะเอาไว้ก็ดี ท่านว่าผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุทรัพย์สินนั้นสูญหายหรือบุบสลายไปอย่างหนึ่งอย่างใด แม้ถึงจะเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไร ๆ ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั่นเอง
1.3 หน้าที่สงวนทรัพย์สินที่ยืม (ม.644) • มาตรา 644 ผู้ยืมจำต้องสงวนทรัพย์สินซึ่งยืมไปเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สินของตนเอง
1.4 หน้าที่คืนทรัพย์สินที่ยืม (ม.640,646) • มาตรา 646 ถ้ามิได้กำหนดเวลากันไว้ ท่านให้คืนทรัพย์สินที่ยืม เมื่อผู้ยืมได้ใช้สอยทรัพย์สินนั้นเสร็จแล้วตามการอันปรากฏในสัญญา แต่ผู้ให้ยืมจะเรียกคืนก่อนนั้นก็ได้ เมื่อเวลาได้ล่วงไปพอแก่การที่ผู้ยืมจะได้ใช้สอยทรัพย์สินนั้นเสร็จแล้ว ถ้าเวลาก็มิได้กำหนดกันไว้ ทั้งในสัญญาก็ไม่ปรากฏว่ายืมไปใช้เพื่อการใดไซร้ ท่านว่าผู้ให้ยืมจะเรียกของคืนเมื่อไรก็ได้
1.5 หน้าที่เสียค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาทรัพย์สินที่ยืม (ม.647) • มาตรา 647 ค่าใช้จ่ายอันเป็นปกติแก่การบำรุงรักษาทรัพย์สินซึ่งยืมนั้นผู้ยืมต้องเป็นผู้เสีย
2. ความรับผิดของผู้ยืมในกรณีที่ทรัพย์สินที่ยืมสูญหายหรือบุบสลาย 2.1 เมื่อผู้ยืมกระทำผิดหน้าที่ มาตรา 643 มาตรา 643ทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น ถ้าผู้ยืมเอาไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ทรัพย์สินนั้น หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญาก็ดี เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยก็ดี เอาไปไว้นานกว่าที่ควรจะเอาไว้ก็ดี ท่านว่าผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุทรัพย์สินนั้นสูญหายหรือบุบสลายไปอย่างหนึ่งอย่างใด แม้ถึงจะเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไร ๆ ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั่นเอง
2.2 ผู้ยืมสามารถฟ้องผู้กระทำละเมิดได้หรือไม่ อยู่ที่ว่าผู้ยืมมีหน้าที่ต้องรับผิดกับผู้ให้ยืมหรือไม่ มาตรา 643
การระงับของสัญญายืม 1.ผู้ยืมตาย 648 • มาตรา 648 อันการยืมใช้คงรูปย่อมระงับสิ้นไปด้วยมรณะแห่งผู้ยืม 2.เหตุอื่น 2.1ผู้ยืมคืนทรัพย์ 2.2ทรัพย์ที่ยืมสูญหายหรือสิ้นสภาพ 2.3เมื่อมีการบอกเลิกสัญญาตามมาตรา 645
อายุความ • 1.อายุความเรียกค่าทดแทน มาตรา 649 “ในข้อความรับผิดเพื่อเสียค่าทดแทนอันเกี่ยวกับการยืมใช้คงรูปนั้น ท่านห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นเวลาหกเดือนนับแต่วันสิ้นสัญญา” คือกรณีผิดสัญญา มาตรา 643,644,และ 647
2.อายุความเรียกคืนทรัพย์สินที่ยืม2.อายุความเรียกคืนทรัพย์สินที่ยืม กรณีฟ้องเรียกคืนทรัพย์สินที่ยืมไม่มีกำหนดอายุความจึงใช้อายุความทั่วไปคือ 10 ปี ตามมาตรา 193/30 หากเป็นการติดตามเอาทรัพย์คืนตามมาตรา 1336 ถือเป็นกรณีไม่มีกำหนดอายุความ -เทียบเคียงเรื่องสัยญาเช่า 1582/17 ฟ้องเรียกค่าขาดประโยชน์จากทรัพย์สินที่ผู้เช่าเอาไปอายุความ 10 ปี ส่วนทรัพย์ที่เช่าบุบบสลายอายุความ 6 เอนตามมาตรา563
ยืมใช้สิ้นเปลือง • มาตรา 650“อันว่ายืมใช้สิ้นเปลืองนั้น คือสัญญาซึ่งผู้ให้ยืมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินชนิดใช้ไปสิ้นไปนั้นเป็นปริมาณที่มีกำหนดให้ไปแก่ผู้ยืม และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินเป็นประเภท ชนิด และปริมาณเช่นเดียวกันให้แทนทรัพย์สินซึ่งให้ยืมนั้น สัญญานี้ย่อมบริบูรณ์เมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม”
สาระสำคัญของการยืมใช้สิ้นเปลืองสาระสำคัญของการยืมใช้สิ้นเปลือง • 1.เป็นสัญญาไม่ต่างตอบแทน โดยผู้ให้ยืมไม่มีหนี้ที่ต้องปฏิบัติต่อผู้ยืม การส่งมอบทรัพย์สินที่ยืมเป็นเพียงการทำให้สัญญายืมบริบูรณ์เท่านั้น แต่อาจมีค่าตอบแทนเช่น กู้ยืมเงินเรียกดอกเบี้ย • 2.เป็นสัญญาที่โอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ยืม ดังนั้น 2.1 หลักผู้ให้ยืมต้องมีกรรมสิทธิ์ แต่หากมีอำนาจให้ยืมก็ทำได้ เช่น เงินภริยา หรือของมารดา(ฏ 754/23,16/2534) 2.2 กรณีที่เกิดความเสียหายหรือสูญหายแก่ทรัพย์สินที่ยืมผู้ยืมต้องรับผิด ต่างกับยืมคงรูป
3.วัตถุแห่งหนี้ตามสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองต้องเป็นทรัพย์ชนิดใช้ไปสิ้นไป เช่นยืมข้าวสาร ยืมสังกะสีหรือกระเบื้องถือเป็นใช้ไปสิ้นไป (ฏ905/2505) • 4.เป็นสัญญาบริบูรณ์เมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม เช่นเดียวกับยืมใช้คงรูป
หน้าที่ของผู้ยืมใช้สิ้นเปลืองหน้าที่ของผู้ยืมใช้สิ้นเปลือง • 1.หน้าที่เสียค่าใช้จ่ายในการทำสัญญา ส่งมอบและส่งคืน ม.651 “ค่าฤชาธรรมเนียมในการทำสัญญาก็ดี ค่าส่งมอบและส่งคืนทรัพย์สินซึ่งยืมก็ดี ย่อมตกแก่ผู้ยืมเป็นผู้เสีย” • 2.หน้าที่คืนทรัพย์สิน ม.650 • 3.กำหนดเวลา 3.1สัญญายืมมีกำหนดเวลาใช้คืน ต้องคืนภายในกำหนดเวลาดังกล่าว เว้นแต่ผู้ยืมไม่ถือประโยชน์เงื่อนเวลา เช่น ปฏิเสธว่าไม่เคยกู้ยืม(1098/2507)หรือกรณีเจ้าหนี้มรดกต้องฟ้องภายใน 1 ปี ตามมาตรา 1754(ฏ.3994/2540)
อายุความของเจ้าหนี้มรดกอายุความของเจ้าหนี้มรดก • 1754 วรรคสาม “....ภายใต้บังคับแห่งมาตรา 193/27 แห่งประมวลกฎหมายนี้ถ้าสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้อันมีต่อเจ้ามรดกมีกำหนดอายุความยาวกว่าหนึ่งปี มิให้เจ้าหนี้นั้นฟ้องร้องเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่เมื่อเจ้าหนี้ได้รู้ หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก”
3.2 สัญญายืมไม่มีกำหนดใช้คืน ต้องบังคับตามมาตรา 652 “ถ้าในสัญญาไม่มีกำหนดเวลาให้คืนทรัพย์สินซึ่งยืมไป ผู้ให้ยืมจะบอกกล่าวแก่ผู้ยืมให้คืนทรัพย์สินภายในเวลาอันควร ซึ่งกำหนดให้ในคำบองกล่าวนั้นก็ได้” -กรณีสัญญากู้ยืมไม่กำหนดเวลาชำระหนี้เจ้าหนี้ย่อมเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้โดยพลัน ไม่จำต้องบอกกล่าวตามมาตรา 652 (ฎ.2103/2535) หมายเหตุ หนี้ถึงกำหนดชำระกับลูกหนี้ผิดนัดต้องแยกกัน ลูกหนี้ผิดนัดเป็นเรื่องดอกเบี้ยความรับผิดตามมาตรา 203
อายุความของสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองอายุความของสัญญายืมใช้สิ้นเปลือง • 1.ถือเป็นกรณีที่กฎหมายมิได้บัญญัติเรื่องอายุความเอาไว้เป็นพิเศษ จึงใช้อายุความทั่วไปในการบังคับ ตามมาตรา 193/30 คือ 10 ปี 2660/45 ร.ทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์โดยมีข้อตกลงว่า ผู้กู้จะชำระหนี้เมื่อผู้ให้กู้เรียกร้อง ถือเป็นสัญญาไม่กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ ผู้ให้กู้เรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้โดยพลัน เมื่อกู้ยืมวันที่ 12 มิถุนายน 2523 โจทก์ผู้ให้กู้อาจบังคับตามสิทธิเรียกร้องได้อายุความเริ่มนับถัดจากวันทำสัญญาคือวันที่ 13 มิถุนายน 2523 ตามมาตรา 193/3 วรรคสองและ 193/12
2.กรณีมีการตกลงผ่อนชำระหนี้เงินกู้เป็นงวดๆรวมทั้งดอกเบี้ยและต้นเงินจนหมดหนี้ อายุความ 5 ปีตามมาตรา 193/33(2) • 3.กรณีผู้ยืมตายก่อนครบกำหนดสัญญาสัญญายืมย่อมระงับ อายุความ 1 ปีตามมาตรา 1754 วรรคสาม
การกู้ยืมเงิน • มาตรา 653 การกู้ยืมเงินเกินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น ท่านว่าจะนำสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว”
ลักษณะของสัญญากู้ยืมเงินลักษณะของสัญญากู้ยืมเงิน 1. สัญญากู้ยืมเงินเป็นสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองชนิดหนึ่งที่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษในเรื่อง หลักฐานการกู้ยืม ดอกเบี้ย และการชำระหนี้ ดูเจตนาคู่กรณีว่าตั้งใจกู้ยืมกันหรือไม่ เช่น ผู้กู้ฝากเงินผู้ค้ำไปใช้เจ้าหนี้แต่ผู้ค้ำขอเงินจำนวนดังกล่าวใช้ก่อนและดอกเบี้ยตนจะชำระเจ้าหนี้เอง ถือเป็นสัญญากู้ยืม(581/2501) 2.กรณีที่ไม่ใช่สัญญากู้ยืม 2.1ยืมเงินทดรองของหน่วยงานราชการ 2.2สัญญาเล่นแชร์เปียหวย
2.3ตัวแทนเรียกเงินทดรองจ่ายจากตัวการ 2.4มอบเงินลงหุ้นเพื่อดำเนินการกิจการร่วมกัน 2.5เบิกเงินเกินบัญชี ไม่ใช่กู้ยืมเงินไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ 2.6สัญญาบัตรเครดิต ไม่ใช่กู้ยืมเงิน ไม่ต้องห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปี 3. สาระสำคัญการกู้ยืมเงินต้องส่งมอบเงิน ตามมาตรา 650 อาจเป็นการส่งมอบในลักษณะการแปลงหนี้ก็ได้ เช่น โอนปืนให้บุตรไม่ได้จึงโอนให้บุตรเขยแต่ให้บุตรเขยทำสัญญากู้ยืมเงินบุตรไว้บังคับได้(ฏ.333/2495)
ก่อนโจทก์ทำสัญญาค้ำประกันการกู้เงินของจำเลย โจทก์ได้ให้จำเลยทำสัญญากู้ประกันความเสียหายหากธนาคารบังคับกับโจทก์แม้ขณะทำสัญญาหนี้เงินกู้ยังไม่เกิด แต่ก่อนฟ้องธนาคารได้หักเงินในบัญชีโจทก์ชำระหนี้เงินของจำเลย สัญญากู้ระหว่างโจทก์กับจำเลยบริบูรณ์จำเลยต้องรับผิดตามสัญญากู้ต่อโจทก์(ฎ.4684/36) แต่ฏ.3781/33 กรณีทำสัญญากู้และค้ำประกันกรณีเช่าโฉนดประกันตัวผู้ต้องหา ไม่บริบูรณ์ศาลให้เหตุผลว่าขณะทำสัญญายังไม่รู้ว่าศาลตีราคาประกันเท่าไหร่ เป็นหนี้ไม่แน่นอน (ความเห็นหากมีการนำไปประกันจริงก็บังคับได้)
-จำเลยฉุดคร่าน้องสาวโจทก์อายุ20 ปี ไป แล้วยอมชดใช้ค่าเสียหายโดยทำสัญญากู้ยืมเงินไว้กับโจทก์ ศาลฏีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ใช่ผู้ปกครองของน้องสาวไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลย โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้ตามสัญญากู้ไม่ได้(ฎ.1566/99) • สินสอดแปลงเป็นสัญญากู้ก็ได้(ฎ.2237/19)
4.หลักฐานแห่งสัญญากู้ -ต้องฟ้องตามสัญญากฎหมายถึงบังคับให้ต้องมีสัญญา ถ้าฟ้องให้ชำระหนี้ตามตั๋วเงินที่ออกเพื่อชำระหนี้เงินกู้ไม่จำต้องมีหลักฐานสัญญากู้(ฎ.4124/2542) หลักฐานที่กฎหมายบังคับตามมาตรา 653 ประกอบด้วย 1 ต้องมีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ แค่มีสาระสำคัญเข้าใจว่าเป็นการกู้ยืมเงิน ลงลายมือชื่อผู้กู้ก็บังคับได้ เช่น -บันทึกประจำวัน(ฎ.1567/99) -บันทึกคำเบิกความในศาล(ฎ.3498/46,2950/49)
-เคยกู้400,000บาทไม่ได้ทำสัญญาต่อมาจำเลยขอกู้อีก 4,000,000 บาท โจทก์ลงในสัญญา เป็น 4,500,000 บาทแม้สุดท้ายครั้งหลังจะไม่ได้กู้ยืมเงินกันจริง แต่สัญญาดังกล่าวก็บังคับกันได้จำนวน 500,000 บาท ถือว่าการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือแล้ว(2335/48)
-เช็คไม่ได้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืม เว้นแต่มีเอกสารอื่นประกอบด้วย เมื่อประมวลแล้วเข้าใจว่าเป็นสัญญากู้ ก็ถือเป็นหลักฐานการกู้ยืมได้(ฎ.2405/20) -มอบสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนให้ไว้มีข้อความว่า “ข้าพเจ้า ด.เจ้าของรถได้นำรถจำนองไว้กับ ช.เป็นเงิน 50,000 บาท”แล้วลงลายมือชื่อไว้ ไม่ถือเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงิน (ฎ.2051/2545)
2 ผู้กู้ต้องลงลายมือชื่อในหนังสือนั้น -คนอื่นลงแทนไม่ได้ -จดหมายมีข้อความว่าตนยืมเงินโจทก์แล้วลงชื่อไว้ด้วยเป็นหลักฐานลงลายมือชื่อผู้กู้แล้ว(3148/2530) -แม้ลายมือผู้ให้กู้ปลอม แต่ลายมือผู้กู้ได้ลงไว้จริงบังคับได้(6930/37) -มอบอำนาจให้ผู้อื่นทำการกู้แทนตนบังคับได้ และให้ถือสัญญาจำนองเป็นสัญญากู้ยืม สัญญากู้ยืมบังคับกันได้(3039/43,2900/50) -ลายพิมพ์นิ้วมือ แกงใด ตราประทับหรือเครื่องหมายอื่นทำนองเดียวกัน พยานรับรอง 2 คนบังคับได้เช่นลายมือชื่อ มาตรา 9 ว.2และไม่จำต้องบรรลุนิติภาวะ
3 หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือต้องมีเมื่อไหร่ -มีภายหลังก็ได้แต่ต้องมีก่อนฟ้อง ไม่ใช่แบบนิติกรรมที่ต้องมีขณะทำสัญญา(2161/42) -หากไม่มีหลักฐานฯจะฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้ เป็นแค่หลักฐานในการฟ้องร้อง ดังนั้นหากฟ้องบังคับจำนองสัญญากู้ที่ไม่มีการทำหลักฐานเป็นหนังสือ ย่อมบังคับกันได้(ฎ.1604/36) 4 การกู้ยืมเงินไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ จะฟ้องร้อง หรือต่อสู้คดีในศาลไม่ได้ -เมื่อไม่มีหลักฐานการกู้ยืมเงินเจ้าหนี้ก็จะอ้างสิทธิยึดโฉนดไว้ไม่ได้เช่นกัน
5.กรณีมีการแก้ไขจำนวนเงิน5.กรณีมีการแก้ไขจำนวนเงิน 5.1 แก้ไขจำนวนเงินในขณะทำสัญญากู้ บังคับได้ตามที่แก้(1154/11) 5.2 แก้ไขจำนวนเงินในสัญญากู้เดิมเมื่อมีการกู้ยืมเพิ่มครั้งใหม่ โดยลูกหนี้ยินยอมบังคับได้เฉพาะจำนวนเดิม จำนวนใหม่ถือว่าไม่มีหลักฐาน(326/07) 5.3 เจ้าหนี้แก้สัญญาเดิมเพิ่มจำนวนเงินโดยลูกหนี้ไม่ยินยอม จำนวนที่เพิ่มไม่ต้องรับผิด สัญญาเดิมถือว่ามีหลักฐาน(1860/2523,3028/27,407/42) 5.4 สัญญากู้ไม่กรอกจำนวนเงินผู้กู้ลงชื่ออย่างเดียว เจ้าหนี้ใส่จำนวนเงินสูงกว่าที่กู้ยืมกันจริง สัญญาปลอมบังคับไม่ได้เลยแม้ลูกหนี้รับว่ากู้ตามจำนวนที่เป็นจริงก็ตาม(1532/26,1539/48)
ผู้ค้ำประกันหนี้เงินกู้ตาม 5.4 เป็นหนี้ที่ไม่อาจแบ่งแยกได้ก็ไม่ต้องรับผิดแม้ผู้ค้ำไม่ฎีกาศาลฎีกาก็ยกขึ้นว่าได้ตาม ป.วิแพ่ง ม.245(1)ประกอบ 247(1539/48) แต่ถ้ากรอกตามความเป็นจริงก็สัญญากู้สมบูรณ์ 5.5 กรณีที่ทำสัญญากู้ 2 ฉบับ ฉบับแรก 7,000 บาทตามความจริง ฉบับ 2 ลง 14,000 บาท และตกลงกันว่าหากผิดนัดยอมให้เจ้าหนี้ฟ้องตามสัญญาฉบับที่ 2 สัญญาเป็นโมฆะเพราะวัตถุประสงค์ต้องห้าม เรียกผลประโยชน์เกินสมควร จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดเฉพาะ 7,000 บาท ส่วน ผู้ค้ำเงินกู้ฉบับ 2 ไม่ต้องรับผิด เพราะไม่ได้ค้ำประกันเงินกู้ฉบับที่ 1 (730/08)
6. ดอกเบี้ย ดอกเบี้ยในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติไว้ 2 มาตรา คือ มาตรา 7“ถ้าต้องเสียดอกเบี้ยแก่กัน และมิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรมหรือโดยบทกฎหมายอันชัดแจ้ง ให้ใช้อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี” มาตรา 224 วรรคหนึ่ง “หนี้เงินนั้นท่านให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ถ้าเจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้นโดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย ก็ให้คงส่งดอกเบี้ยไปตามนั้น”
ดอกเบี้ยต้องมีการตกลงกันจึงจะคิดได้ หากในสัญญาตกลงกันแต่ไม่ระบุอัตราดอกเบี้ยก็เรียกร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ถ้าผิดนัดเรียกได้ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีเช่นกัน ดอกเบี้ยปกติร้อยละสิบห้าต่อปีเมื่อผิดนัดก็เรียกร้อยละสิบห้าต่อปีระหว่างผิดนัดก็ได้
ดอกเบี้ยเกินอัตรา มาตรา 654“ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้าต่อปี ถ้าในสัญญากำหนดดอกเบี้ยเกินกว่านั้นก็ให้ลดลงมาเป็นร้อยละสิบห้าต่อปี” พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พงศ.2475 มาตรา 3“บุคคลใดให้บุคคลอื่นยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้มีความผิดฐานเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปีหรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” ดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดเป็นโมฆะทั้งหมด
กรณีที่มีการหักดอกเบี้ยล่วงหน้าในต้นเงิน ซึ่งดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด หนี้ประธานสมบูรณ์ส่วนดอกเบี้ยเป็นโมฆะ (1452/11..,4372/45) แต่ดอกเบี้ยผิดนัดนับแต่วันฟ้องเจ้าหนี้ยังคงมีสิทธิที่จะเรียกจากลูกหนี้ • มาตรา 173“ถ้าส่วนหนึ่งส่วนใดของนิติกรรมเป็นโมฆะ นิติกรรมนั้นย่อมตกเป็นโมฆะทั้งสิ้น เว้นแต่ จะพึงสันนิษฐานได้โดยพฤติการณ์แห่งกรณีว่า คู่กรณีเจตนาจะให้ส่วนที่ไม่เป็นโมฆะนั้นแยกออกจากส่วนที่เป็นโมฆะได้”
กรณีที่มีการชำระดอกเบี้ยเกินอัตราไปแล้ว จะเรียกคืนได้หรือไม่ -เจ้าหนี้ทั่วไป ถือว่าเป็นการชำระหนี้ตามอำเภอใจของลูกหนี้ม.407(1747/22) -สถาบันการเงิน ไม่ถือว่าเป็นการชำระหนี้ตามอำเภอใจของลูกหนี้(3037/47,2165/48)
ดอกทบต้น มาตรา 655 วรรคหนึ่ง “ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยในดอกเบี้ยที่ค้างชำระ แต่ทว่าเมื่อดอกเบี้ยค้างชำระไม่น้อยกว่าปีหนึ่งคู่สัญญากู้ยืมจะตกลงกันให้เอาดอกเบี้ยนั้นทบเข้ากับต้นเงินแล้วให้คิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ทบเข้ากันนั้นก็ได้ แต่การตกลงกันเช่นนั้นต้องทำเป็นหนังสือ ส่วนประเพณีการค้าขายที่คำนวณดอกเบี้ยทบต้นในบัญชีเดินสะพัดก็ดี ในการค้าขายอย่างอื่นทำนองเช่นว่านี้ก็ดีหาอยู่ในบังคับแห่งบทบัญญัติซึ่งกล่าวมาในวรรคก่อนนั้นไม่”
ข้อตกลงดังกล่าวต้องทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อทั้งสองฝ่าย แต่ ฏ.342/40 มาตรา 655 วรรคหนึ่งไม่ได้บังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อทั้งสองฝ่ายดังนั้น แค่ผู้กู้ลงลายมือชื่อฝ่ายเดียวก็บังคับได้ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย
การนำสืบการชำระหนี้เงินกู้การนำสืบการชำระหนี้เงินกู้ • มาตรา 653 วรรคสอง “ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น ท่านว่าจะนำสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว” 1.ต้องเป็นการกู้ยืมเงินที่มีหลักฐานเป็นหนังสือ 2.บังคับเฉพาะกรณีนำสืบการใช้เงิน 2.1 ต้องเป็นการชำระหนี้ด้วยเงินตรา 2.2 การชำระหนี้ด้วยของอื่น มาตรา 321
รับเงินจากลูกหนี้ของลูกหนี้ไม่ใช่การรับชำระหนี้ด้วยอย่างอื่น(ทางหลวง)(841/03)แต่ฎีกา 1452/11 มอบฉันทะให้เจ้าหนี้รับบำเหน็จแทนถือเป็นการชำระหนี้อย่างอื่น ต่างกันเพราะคดีหลังได้ให้การเป็นประเด็นไว้ • ออกเช็ค,มอบบัญชีธนาคารพร้อมใบมอบฉันทะให้ถอนเงินชำระหนี้,มอบatmให้เจ้าหนี้ถอน,ส่งเงินทางไปรษณีย์,ชำระหนี้โดยโอนเงินเข้าบัญชี ถือเป็นการชำระหนี้อย่างอื่น 2.3 ชำระดอกเบี้ยไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือมาแสดง
3.นำสืบได้เฉพาะมีหลักฐานอย่างหนึ่งอย่างใดดังนี้3.นำสืบได้เฉพาะมีหลักฐานอย่างหนึ่งอย่างใดดังนี้ • 3.1 มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใด ลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง • 3.2 เวนคืนเอกสารอันเป็นหลักฐานกู้ยืม • 3.3 แทงเพิกถอนลงในเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืม
กู้ยืมเงินแล้วรับทรัพย์สินอื่นแทนเงินกู้ยืมเงินแล้วรับทรัพย์สินอื่นแทนเงิน • มาตรา 656 “ถ้าได้ทำสัญญากู้ยืมเงินกัน และผู้กู้ยืมยอมรับเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นแทนจำนวนเงินนั้นไซร้ ท่านให้คิดเป็นหนี้เงินค้างชำระโดยจำนวนเท่ากับราคาท้องตลาดแห่งสิ่งของหรือทรัพย์สินนั้น ในเวลาและ ณ สถานที่ส่งมอบ...
วรรคสอง ถ้าทำสัญญากู้ยืมเงินกัน และผู้ให้กู้ยืมยอมรับเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นเป็นการชำระหนี้แทนเงินที่กู้ยืมไซร้หนี้อันระงับไปเพราะการชำระหนี้เช่นนั้น ท่านให้คิดเป็นจำนวนเท่ากับราคาท้องตลาดแห่งสิ่งของหรือทรัพย์สินนั้น ในเวลาและ ณ สถานที่ส่งมอบ วรรคสาม ความตกลงกันอย่างใดๆขัดกับข้อความดังกล่าวมานี้ท่านว่าเป็นโมฆะ”
ค้ำประกัน • มาตรา 680 “อันว่าค้ำประกันนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่งเรียกว่าผู้ค้ำประกันผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น อนึ่ง สัญญาค้ำประกันนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”
ลักษณะสำคัญของสัญญาค้ำประกันประกอบด้วยลักษณะสำคัญของสัญญาค้ำประกันประกอบด้วย • 1.ผู้ค้ำประกันต้องเป็นบุคคลภายนอก ค้ำประกันจะต้องเป็นการประกันด้วยตัวบุคคล ไม่ใช่ทรัพย์สิน เช่น สั่งจ่ายเช็คล่วงหน้าค้ำประกันเงินกู้ 2223/39 นำเงินฝากไปประกันหนี้บุคคลอื่นกับธนาคารไม่เป็นสัญญาค้ำฯ 762/19 สัญญาค้ำประกันไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากลูกหนี้ก่อน
2. ต้องมีหนี้ระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ อาจเป็นหนี้โดยสัญญาหรือละเมิดก็ได้ 4781/33 หนี้เช่าหลักทรัพย์ประกันตัวผู้ต้องหา ขณะทำสัญญาประกันยังไม่มีหนี้ จึงไม่มีหนี้ประธาน(แย้ง) แต่ ฎ.4684/36 โจทก์ค้ำประกันเงินกู้ของจำเลยที่ 1 ต่อธนาคาร โจทก์จึงให้จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้และให้จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกัน แม้ขณะทำสัญญาหนี้ประธานยังไม่เกิด แต่ก่อนฟ้อง ธนาคารได้หักเงินบัญชีของโจทก์แล้วถือว่ามีหนี้ประธานแล้ว -กรณีจำเลยตกลงในคดีอาญากับโจทก์ว่า ให้โจทก์ใช้หลักทรัพย์ประกันตัวผู้ต้องหา หากผู้ต้องหาผิดนัดกับพนักงานสอบสวนตนจะยอมรับผิด ไม่ถือเป็นค้ำประกัน การมาไม่มาตามนัดไม่ได้เป็นการชำระหนี้ ที่จำเลยต้องรับผิดเมื่อผู้ต้องหาไม่มาตามนัด ไม่ต้องมีหลักฐานฟ้องได้(333/32,1302/34)
- ผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ตามคำพิพากษา ป.วิแพ่ง มาตรา 274 ไม่ใช่การค้ำประกันตาม ม.680 ผู้ค้ำจะอ้างสิทธิตาม 688,690 ไม่ได้ แต่หากผู้ค้ำได้ชำระหนี้ดังกล่าวไปแล้วก็มีสิทธิรับช่วงสิทธิไล่เบี้ยได้ตาม 229(3) ไม่ใช่ไล่เบี้ยตามมาตรา 693 (4783/43) มาตรา 274“ถ้าบุคคลใดๆได้เข้าเป็นผู้ค้ำประกันในศาลโดยทำเป็นหนังสือประกันหรือโดยวิธีอื่นๆเพื่อการชำระหนี้ตามคำพิพากษาหรือคำสั่งหรือแต่ส่วนใดส่วนหนึ่งแห่งคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น คำพิพากษาหรือคำสั่งเช่นนั้นย่อมใช้บังคับแก่การประกันนั้นได้โดยไม่ต้องฟ้องผู้ค้ำประกันขึ้นใหม่” • -หนี้ที่เป็นการชำระโดยอาศัยคุณสมบัติของลูกหนี้ จะค้ำประกันไม่ได้ แต่ค้ำประกันความเสียหายได้ 3.ต้องผูกพันตนต่อเจ้าหนี้เพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น