260 likes | 412 Views
บทที่ 3. การกำหนดรายได้ประชาชาติในระบบเศรษฐกิจ. ทฤษฎีการกำหนดรายได้ประชาชาติ. อธิบาย ความสัมพันธ์ระหว่างระดับรายได้ประชาชาติดุลยภาพและความต้องการใช้จ่ายมวลรวม (Desired Aggregate Expenditure: DAE).
E N D
บทที่ 3 การกำหนดรายได้ประชาชาติในระบบเศรษฐกิจ
ทฤษฎีการกำหนดรายได้ประชาชาติทฤษฎีการกำหนดรายได้ประชาชาติ อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างระดับรายได้ประชาชาติดุลยภาพและความต้องการใช้จ่ายมวลรวม (Desired Aggregate Expenditure: DAE) ความต้องการใช้จ่ายมวลรวม(DAE) คือ ความต้องการจะใช้จ่ายของภาคเศรษฐกิจต่างๆ เช่น ครัวเรือน ธุรกิจ รัฐบาล ต่างประเทศ จ่ายซื้อสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายซึ่งผลิตขึ้นได้ในประเทศในระยะเวลาหนึ่ง
องค์ประกอบของความต้องการใช้จ่ายมวลรวมองค์ประกอบของความต้องการใช้จ่ายมวลรวม • ความต้องการใช้จ่ายเพื่อบริโภคของครัวเรือน (Desired Consumption Expenditure: C) • ความต้องการใช้จ่ายเพื่อลงทุนของหน่วยธุรกิจ (Desired Investment: I) • ความต้องการใช้จ่ายของภาครัฐบาล (Desired Government Expenditure: G) • ความต้องการส่งออกสุทธิ • (Desired Net Export: X-M)
ทฤษฎีการบริโภคของเคนส์ทฤษฎีการบริโภคของเคนส์ • Keynes ระบุว่า รายได้ที่ใช้จ่ายได้เป็นตัวกำหนดที่สำคัญที่สุดในรายจ่ายเพื่อการบริโภคและการออม ดังนั้น รายได้ที่ใช้จ่ายได้จึงเป็นตัวกำหนดโดยตรง (Direct determinants) ของการบริโภคและการออม ส่วนปัจจัยอื่นๆถือว่าเป็นตัวกำหนดโดยอ้อม (Indirect determinants) • สมมติว่าปัจจัยอื่นๆที่เป็นตัวกำหนดโดยอ้อมคงที่ ฟังก์ชันการบริโภคและฟังก์ชันการออมจะเป็นดังนี้
Consumption: C C Ca 0 Disposable Income: Yd ทฤษฎีการบริโภคของเคนส์ เส้นการบริโภคเป็นเส้นตรง และมีความชันเป็นบวก เมื่อมีรายได้ที่ใช้จ่ายได้เพิ่มสูงขึ้น การบริโภคจะเพิ่มสูงขึ้นด้วย C = Ca + bYd มีข้อสังเกตว่า แม้ว่าระดับรายได้จะมีค่าเท่ากับศูนย์ก็ยังคงมีการบริโภคอยู่ระดับหนึ่ง
ทฤษฎีการบริโภคของเคนส์ทฤษฎีการบริโภคของเคนส์ ความโน้มเอียงถัวเฉลี่ยในการบริโภค (Average Propensity to Consume: APC)หมายถึง อัตราส่วนระหว่างรายจ่ายเพื่อการบริโภคต่อรายได้ที่ใช้จ่ายได้ ซึ่งบอกให้ทราบถึงสัดส่วนของการบริโภค ณ แต่ละระดับรายได้ต่างๆ ความโน้มเอียงส่วนเพิ่มในการบริโภค (Marginal Propensity to Consume: MPC) หมายถึง อัตราส่วนระหว่างการเปลี่ยนแปลงในรายจ่ายเพื่อการบริโภคต่อการเปลี่ยนแปลงในรายได้ที่ใช้จ่ายได้ นั่นคือ เป็นการวัดค่าของการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของรายได้ 1 หน่วย
ทฤษฎีการบริโภคของเคนส์ทฤษฎีการบริโภคของเคนส์ ความโน้มเอียงถัวเฉลี่ยในการออม (Average Propensity to Save: APS)หมายถึง อัตราส่วนระหว่างจำนวนเงินออมต่อรายได้ที่ใช้จ่ายได้ ซึ่งบอกให้ทราบถึงสัดส่วนของการออม ณ แต่ละระดับรายได้ต่างๆ ความโน้มเอียงส่วนเพิ่มในการออม (Marginal Propensity to Save: MPS) หมายถึง อัตราส่วนระหว่างการเปลี่ยนแปลงในจำนวนเงินออมต่อการเปลี่ยนแปลงในรายได้ที่ใช้จ่ายได้ นั่นคือ เป็นการวัดค่าของการออมที่เปลี่ยนแปลงไปอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของรายได้ 1 หน่วย
ลักษณะสำคัญของทฤษฎีการบริโภคของ Keynes ทฤษฎีการบริโภคของเคนส์ • แม้บุคคลไม่มีรายได้ก็ยังจำเป็นต้องบริโภคเพื่อยังชีพ นั่นคือ Ca 0 • ค่า b เท่ากับค่าความชันของเส้นการบริโภค ซึ่งจะบอกให้ทราบว่า ถ้ารายได้ที่ใช้จ่ายได้เปลี่ยนแปลงไป 1 หน่วย การบริโภคจะเปลี่ยนแปลงไปเท่าไร ในทางเศรษฐศาสตร์เรียกว่า Marginal Propensity to Consume: MPC นั่นคือ b = MPC และ 0 b 1
ลักษณะสำคัญของทฤษฎีการบริโภคของ Keynes ทฤษฎีการบริโภคของเคนส์ • MPC ณ ระดับรายได้สูงจะมีค่าต่ำกว่า MPC ณ ระดับรายได้ต่ำ แสดงว่า MPC ของคนรวยจะต่ำกว่า MPC ของคนจน • MPC + MPS = 1 เสมอ เพราะรายได้ที่ใช้จ่ายได้ของบุคคลจะถูกแบ่งออกเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนหนึ่งและการออมอีกส่วนหนึ่ง ดังนั้น เมื่อรายได้เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งจะถูกใช้จ่ายเพื่อบริโภค อีกส่วนหนึ่งจะเป็นเงินออม
ลักษณะสำคัญของทฤษฎีการบริโภคของ Keynes ทฤษฎีการบริโภคของเคนส์ • APC + APS =1 ค่า APC คือ ค่าที่บอกให้ทราบว่า ณ ระดับรายได้ที่ใช้จ่ายได้ต่างๆกันนั้น ครัวเรือนจะบริโภคในสัดส่วนเท่าไร ซึ่งส่วนของรายได้ที่เหลือนั้น ครัวเรือนจะแบ่งไปเป็นส่วนของเงินออม • เมื่อ Yd เพิ่มขึ้น APS จะเพิ่มขึ้น ดังนั้น APC จะลดลงเรื่อยๆ เพราะตอนนั้นผู้บริโภคมีสิ่งของใช้เพียงพอแล้ว เมื่อรายได้เพิ่มขึ้นจึงแบ่งออมเพิ่มขึ้น • เมื่อ Yd เพิ่มขึ้น MPC APC
C การหาค่า MPC การหาค่า APC C C C2 C B C1 C A C Y Ca Ca Yd 0 0 Yd Y2 Y1 APC1 = C1Y1/oY1- - - slope oC1 APC2= C2Y2/oY2- - - slope oC2 MPC = slope = C/Yd MPC เท่ากันทุกระดับรายได้ APC1 APC2 การหาค่า MPC และ APC จากกราฟ
Aggregate Expenditure = Yd หรือ C = Yd Consumption Break-Even Point b C = Ca + bYd c a APC < 1 APC = 1 d APC 1 f Ca Yd Yd1 Yd3 Yd2 Saving S = - Ca + (1-b)Yd b’ APS 0 d’ a’ Yd c’ APS 0 Sa= -Ca APS = 0 f’ (dissaving)
การลงทุนมวลรวม (Desired Investment Expenditure: I)
การลงทุนมวลรวม หมายถึง รายจ่ายที่ธุรกิจตั้งใจหรือวางแผนไว้เพื่อซื้อสินค้าทุนรวมถึงการเปลี่ยนแปลงในสินค้าคงคลังในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง ในทางเศรษฐศาสตร์การลงทุนจะพิจารณาเฉพาะรายจ่ายที่ทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของสินค้าทุน
การลงทุนมวลรวม การลงทุนมวลรวม ประกอบด้วย • รายจ่ายในการซื้อเครื่องมือ เครื่องจักรใหม่ • รายจ่ายในการก่อสร้างอาคารต่างๆใหม่ • ส่วนเปลี่ยนแปลงในมูลค่าสินค้าคงเหลือ
I Ia 0 Y ความสัมพันธ์ระหว่างการลงทุนมวลรวมกับรายได้ประชาชาติ • การลงทุนโดยอัตโนมัติ (Autonomous Investment: Ia) • เป็นการลงทุนที่มีการวางแผนไว้ล่วงหน้าโดยไม่คำนึงว่า ระดับรายได้ประชาชาติจะเปลี่ยนแปลงไปเท่าไร
I Ii = iY Y 0 I Ii = iY Y 0 ความสัมพันธ์ระหว่างการลงทุนมวลรวมกับรายได้ประชาชาติ (2)การลงทุนแบบชักจูง (Induced Investment: Ii) เป็นการลงทุนที่ถูกจูงใจโดยรายได้ประชาชาติ ถ้ารายได้เพิ่มขึ้น การลงทุนจะเพิ่มขึ้น
รายจ่ายในการซื้อสินค้าและบริการของรัฐบาล(Government Expenditure)
รายจ่ายในการซื้อสินค้าและบริการของรัฐบาลรายจ่ายในการซื้อสินค้าและบริการของรัฐบาล • รายจ่ายในการซื้อสินค้าและบริการของรัฐบาล • รายจ่ายในการซื้อปัจจัยการผลิตต่างๆ • รายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าและบริการ • รายจ่ายเพื่อการลงทุนของภาครัฐบาล • (ก) การพัฒนาประเทศ และ (ข) การส่งเสริมการลงทุน • รายจ่ายเงินโอนของรัฐบาล
รายจ่ายในการซื้อสินค้าและบริการของรัฐบาลรายจ่ายในการซื้อสินค้าและบริการของรัฐบาล G G 1 G 0 G 2 0 Y • ปัจจัยกำหนดการใช้จ่ายของรัฐบาล • ความจำเป็นในการใช้จ่ายโดย พิจารณาจากรายรับของรัฐบาล • นโยบายการคลังของรัฐบาล
การส่งออกและการนำเข้า(Export and Import)
การส่งออก (Export) หมายถึง รายจ่ายที่ชาวต่างชาติต้องการจะซื้อสินค้าของประเทศ การส่งออกเป็นตัวแปรที่ไม่ขึ้นกับรายได้ประชาชาติของประเทศ ดังนั้น เส้นการส่งออกจะเป็นเส้นที่ขนานกับแกนนอน นั่นคือ ไม่ว่ารายได้จะเป็นเท่าใด การส่งออกจะมีมูลค่าคงที่เสมอ
X X1 X0 X2 0 Y การส่งออก (Export)
การนำเข้า (Import) หมายถึง รายจ่ายที่ภาคเศรษฐกิจต่างๆภายในประเทศต้องการซื้อสินค้าและบริการจากต่างประเทศ ความต้องการนำเข้าจะขึ้นอยู่กับระดับรายได้ประชาชาติของประเทศ
M M = Ma +mY M Y Ma 0 Y การนำเข้า (Import)
M, X M = Ma +mY Xn< 0 Xn = 0 X = Xa Xn 0 Y 0 Y0 การส่งออกสุทธิ (Net Exports) คือ ผลต่างระหว่างมูลค่าการส่งออกและมูลค่าการนำเข้า (X-M): Xn