440 likes | 879 Views
บทที่ 5. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง. ประชากร. ประชากร (Population) หมายถึงประชาชน พลเมือง แต่ในทางวิจัยมีความหมายกว้างกว่านั้น ประชากรในการวิจัย หมายถึง กลุ่มเป้าหมายที่เป็นแหล่งหรือผู้ให้ข้อมูลทั้งหมดของการวิจัย ซึ่งอาจเป็นคน สัตว์ สิ่งของที่มีลักษณะบางประการเหมือนกัน.
E N D
บทที่ 5 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประชากร • ประชากร (Population) หมายถึงประชาชน พลเมือง แต่ในทางวิจัยมีความหมายกว้างกว่านั้น ประชากรในการวิจัย หมายถึง กลุ่มเป้าหมายที่เป็นแหล่งหรือผู้ให้ข้อมูลทั้งหมดของการวิจัย ซึ่งอาจเป็นคน สัตว์ สิ่งของที่มีลักษณะบางประการเหมือนกัน
ประชากรแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ • 1. ประชากรที่นับได้ (Finite Population)หมายถึงประชากรที่มีจำนวนจำกัดหรือมีขนาดพอที่จะนับจำนวนแน่นอนได้ เช่น จำนวนนักเรียน จำนวนพนักงานของบริษัท
ประชากรแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ • 2. ประชากรที่นับไม่ได้ (Infinite Population) หมายถึง ประชากรที่มีจำนวนไม่สิ้นสุดหรือมีขนาดใหญ่จนมาสามารถนับจำนวนที่แน่นอนได้ เช่น จำนวนเมล็ดข้าวสารในกระสอบ จำนวนปลาในแม่น้ำ เป็นต้น
กลุ่มตัวอย่าง (Sample) • หมายถึง ตัวแทนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประชากรที่ผู้วิจัยเลือกมาศึกษา โดยเลือกให้มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับประชากรให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ กลุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนที่ดีควรมีลักษณะดังนี้
ลักษณะของกลุ่มตัวอย่างลักษณะของกลุ่มตัวอย่าง • 1. ขนาดของกลุ่มตัวอย่างพอเหมาะ มีขนาดใหญ่พอสมควร ทั้งนี้เพื่อให้ใกล้เคียงกับกลุ่มของประชากร และการทดสอบทางสถิติ • 2. วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างให้เหมาะสม ควรเลือกด้วยวิธีการที่เหมาะสมกับลักษณะของกลุ่มประชากร และเรื่องที่ทำการวิจัย
ลักษณะของกลุ่มตัวอย่างลักษณะของกลุ่มตัวอย่าง • 3. มีคุณลักษณะที่เป็นตัวแทนที่ดีของประชากร และมีโอกาสถูกเลือกเท่าๆ กัน โดยไม่มีความลำเอียงใดๆ • 4. มีลักษณะตรงกับจุดมุ่งหมายของการวิจัย กล่าวคือ มีคุณสมบัติตามข้อตกลงหรือตามที่ระบุไว้ในจุดมุ่งหมายของการวิจัยนั้นๆ
ลักษณะของกลุ่มตัวอย่างที่ดีลักษณะของกลุ่มตัวอย่างที่ดี • กลุ่มตัวอย่างที่ดีต้องเป็นตัวแทนจากทุกๆ ลักษณะที่แตกต่างกันของประชากร การเลือกกลุ่มตัวอย่างที่ดีต้องมีมาจากวิธีการสุ่มตัวอย่างที่ถูกต้อง ภายใต้แผนการสุ่มตัวอย่างที่เหมาะสม การวิจัยธุรกิจนั้นอาจมีข้อผิดพลาดจากการสุ่มกลุ่มตัวอย่าง
ประโยชน์ของการเลือกกลุ่มตัวอย่างประโยชน์ของการเลือกกลุ่มตัวอย่าง • 1. ประหยัดค่าใช้จ่ายในการศึกษาวิจัย การใช้กลุ่มตัวอย่างทำให้เสียงบประมาณหรือเงินน้อยลงเพราะจำนวนคนที่ศึกษามีน้อยกว่าประชากรทั้งหมด • 2. ประหยัดเวลา และแรงงาน การใช้กลุ่มตัวอย่างน้อยจะช่วยประหยัดเวลา และแรงงานในการเก็บรวบรวมข้อมูล ตลอดจนการประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูล
ประโยชน์ของการเลือกกลุ่มตัวอย่างประโยชน์ของการเลือกกลุ่มตัวอย่าง • 3. ยืดหยุ่นได้และสะดวกในการปฏิบัติ การศึกษาบางกรณีคุณภาพสินค้าจำเป็นต้องสุ่มตัวอย่างมาไม่สามารถตรวจสอบได้ทั้งหมด จำเป็นต้องใช้กลุ่มตัวอย่างเพียงส่วนใดส่วนหนึ่งแล้วทำลายวัตถุที่เป็นหน่วยศึกษาเพื่อตรวจสอบคุณสมบัติบางประการ • 4. ช่วยให้การเก็บรวบรวมข้อมูลสะดวกและรวดเร็ว การศึกษากับประชากรทั้งหมดจะทำให้เกิดความยุ่งยากในแง่ของการบริหารงาน
ประโยชน์ของการเลือกกลุ่มตัวอย่างประโยชน์ของการเลือกกลุ่มตัวอย่าง • 5. การใช้กลุ่มตัวอย่างน้อยทำให้มีเวลาพอที่จะตรวจสอบแก้ไขข้อผิดพลาดต่างๆ ได้ง่าย ซึ่งจะทำให้ผลการวิจัยถูกต้อง แม่นยำ และเชื่อถือได้สูงกว่า • 6. สามารถศึกษาข้อมูลได้กว้างและลึกซึ้งกว่า อย่างไรก็ตามการวิจัยที่ใช้กลุ่มตัวอย่างก็มีข้อจำกัด การที่จะให้กลุ่มตัวอย่างเป็นตัวแทนที่ดีของประชากรนั้น ต้องมีการพิจารณาและวางแผนในการสุ่มอย่างถูกต้อง และต้องดำเนินไปตามแผนที่วางเอาไว้
การกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่าง • 1. ประชากร ถ้าประชากรมีความแตกต่างระหว่างสมาชิกน้อย ก็สามารถใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวนน้อยๆ ได้ แต่ถ้าประชากรมีลักษณะที่แตกต่างกันมาก ควรใช้จำนวนกลุ่มตัวอย่างให้ มากขึ้น และให้กระจายไปตามลักษณะที่แตกต่างกันของประชากรนั้นๆ
การกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่าง • 2. จำนวนตัวแปรที่ศึกษา ถ้ามีการศึกษาตัวแปรหลายๆ ตัวและมีการเปรียบเทียบตัวแปรด้วยก็ยิ่งต้องใช้ขนาดของกลุ่มตัวอย่างมากๆ เพื่อให้กลุ่มตัวอย่างกระจายอยู่ทุกพวกให้มากพอสมควร เพื่อให้เกิดความเชื่อถือได้
การกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่าง • 3. ลักษณะของเรื่องที่วิจัยและวิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยบางประเภทไม่จำเป็นต้องใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวนมาก เช่น การวิจัยเชิงทดลอง ถ้าใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวนมากอาจทำให้เกิด ผลเสียเนื่องจากยุ่งยากต่อการควบคุมติดตามผลการทดลอง การสัมภาษณ์ หรือการสังเกตพฤติกรรม ควรใช้กลุ่มตัวอย่างน้อยกว่าการใช้แบบทดสอบหรือแบบสอบถาม
การกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่าง • 4. ค่าใช้จ่าย เวลา แรงงาน ถ้ามีจำนวนเงินมากพอก็สามารถใช้ได้กับกลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่ขึ้น ถ้ามีจำนวนเงินน้อยก็อาจกำหนดขอบเขตของประชากร และกลุ่มตัวอย่างให้น้อยลง • 5. ขนาดของประชากร ถ้าประชากรมีขนาดใหญ่ ควรใช้กลุ่มตัวอย่างมากขึ้น แต่ถ้าประชากรมีขนาดเล็กก็อาจใช้กลุ่มตัวอย่างให้น้อยลง
การกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่าง • 6. ขนาดของความเคลื่อนที่ยินยอมให้เกิดขึ้นจากการสุ่มตัวอย่าง ขึ้นอยู่กับความสำคัญของการวิจัย ถ้าปัญหานั้นมีความสำคัญมาก ต้องการความเชื่อมั่นสูงก็อาจกำหนดความคลาดเคลื่อนไว้น้อย ถ้าปัญหานั้นสำคัญน้อยกว่าก็อาจยินยอมให้เกิดความคลาดเคลื่อนให้มากขึ้น
การกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้เกณฑ์ • ประชากร จำนวนเป็นร้อย ใช้กลุ่มตัวอย่าง 15 – 30 % • ประชากร จำนวนเป็นพัน ใช้กลุ่มตัวอย่าง 10 – 15 % • ประชากร จำนวนเป็นหมื่น ใช้กลุ่มตัวอย่าง 5 – 10 % • ประชากร จำนวนเป็นแสน ใช้กลุ่มตัวอย่าง 1 – 5 %
การกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยการใช้สูตรการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยการใช้สูตร • เมื่อ nแทน จำนวนกลุ่มตัวอย่าง N แทน จำนวนประชากร e แทน ความคลาดเคลื่อนที่ยอมรับได้ในการสุ่มตัวอย่าง n = N 1 + Ne2
สูตรการคำนวณเมื่อผู้วิจัยเลือกวิธีสุ่มอย่างง่าย (Simple RandomSampling) = ขนาดของกลุ่มตัวอย่าง = ขนาดของประชากร = ความแปรปรวนของประชากร = ระดับความคลาดเคลื่อน =Z score ขึ้นอยู่กับระดับความเชื่อมั่น = ความน่าจะเป็นของประชากร =1 -
การกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางสำเร็จรูปการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางสำเร็จรูป • จำนวนประชากรและกลุ่มตัวอย่างของ 2 ตารางก็เหมือนๆ กัน จะใช้ตารางของใครก็ได้ จะเห็นได้ว่าถ้าประชากรน้อยขนาดของกลุ่มตัวอย่างก็จะเท่ากับหรือใกล้เคียงกับจำนวนประชากร แต่ถ้าจำนวนประชากรยิ่งมากขนาดกลุ่มตัวอย่างก็จะยิ่งน้อยลง การหาขนาดของกลุ่มตัวอย่างที่เหมาะสมในการวิจัยจากจำนวนประชากรที่มีขนาดต่าง ๆ กัน
วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างวิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่าง • วิธีที่ 1 การเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยใช้หลักความน่าจะเป็น (Probability Sampling) วิธีนี้เป็นการเลือกหน่วยตัวอย่างที่ให้แต่ละหน่วยมีโอกาสได้รับการเลือกเท่าๆกัน ทั้งนี้เพื่อเป็นหลักประกันว่า การเลือกนั้นเป็นการสุ่ม หรือเป็นไปตามโอกาสจริงๆ ข้อมูลที่ได้จากการเลือกตัวอย่างโดยวิธีนี้ สามารถจะนำไปสรุปอ้างอิงถึงประชากรได้ และผู้วิจัยสามารถประมาณค่าความคลาดเคลื่อนได้
การสุ่มอย่างง่าย (Simple RandomSampling) • เป็นการเลือกที่ทุกๆ หน่วยตัวอย่างในประชากรมีโอกาสถูกเลือกเท่าๆ กันและการเลือกมาแต่ละหน่วยเป็นอิสระแก่กันและกันด้วย การสุ่มแบบนี้เหมาะสำหรับประชากรที่มีจำนวนไม่มากนัก และลักษณะของประชากรแต่ละหน่วยไม่แตกต่างกันมาก
การสุ่มตัวอย่างอย่างมีระบบ (Systematic Random Sampling) • การสุ่มแบบนี้ใช้กับประชากรที่นับได้ และมีรายการที่จัดเรียงไว้หรือทำบัญชีไว้แล้วอย่างมีระบบ เช่น รายชื่อนักเรียน เรียงตามหมายเลขในบัตรประจำตัวประชาชน เรียงตามเลขบ้าน หรือ หมายเลขโทรศัพท์เป็นต้น
การสุ่มแบบแบ่งชั้นหรือสุ่มตามระดับชั้นภูมิ (Stratified Random Sampling) • การสุ่มแบบนี้ใช้กับประชากรที่มีความแตกต่างกันมาก ๆ เช่น ประชากรที่แบ่งเป็นกลุ่ม เป็นพวก หรือเป็นชั้น (Strata) และในแต่ละชั้นมีลักษณะเหมือนกันหรือคล้ายคลึงกัน เช่น นักเรียนตามระดับชั้น ประชาชนแยกตามอาชีพ รายได้ ศาสนา ระดับการศึกษา ระดับอายุ
การสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม หรือพื้นที่ ( Are or Cluster Random Sampling) • การใช้วิธีสุ่มอย่างง่ายและสุ่มแบบแบ่งชั้นอาจไม่สะดวกในการเก็บรวบรวมข้อมูล เพราะจะได้กลุ่มตัวอย่างที่อยู่ห่างไกล กระจัดกระจายกันออกไป นอกจากนี้ยังทำให้เสียเวลาและค่าใช้จ่ายสูงอีกด้วย ดังนั้นถ้าประชากรมีลักษณะเป็นกลุ่มหรือพวกอยู่ แต่ละกลุ่มมีลักษณะคล้ายคลึงกัน การเลือกศึกษาเพียงบางกลุ่ม แล้วสุ่มสมาชิกในกลุ่มนั้นอีกทีหนึ่ง
การสุ่มแบบหลายขั้นตอน (Multi Stage Random Sampling) ภาคเหนือตอนล่าง มี 9 จังหวัด หน่วยการสุ่มหน่วยแรก ครั้งที่ 1 สุ่มมาอย่างง่ายได้มา 5 จังหวัด สุ่มมา 5 จังหวัด ครั้งที่ 2 สุ่มมาอย่างง่ายได้ 15 อำเภอ แต่ละจังหวัดสุ่มมา 3 อำเภอ แต่ละอำเภอสุ่มมา 3 ตำบล ครั้งที่ 3 สุ่มอย่างง่ายได้มา 45 ตำบล แต่ละตำบลสุ่มมา 3 หมู่บ้าน ครั้งที่ 4 สุ่มอย่างง่ายได้ 135 หมู่บ้าน แต่ละหมู่บ้านสุ่มมา 40 ครัวเรือน ครั้งที่ 5 สุ่มอย่างมีระบบได้ 5,400 ครัวเรือน
วิธีที่ 2 การเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยไม่ใช้หลักความน่าจะเป็น (Non-Probability Sampling) • เป็นการเลือกที่ไม่เปิดโอกาสให้หน่วยของประชากร ได้รับเลือกเป็นกลุ่มตัวอย่างอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งทำให้ไม่สามารถใช้สถิติอ้างอิงไปสู่ประชากรได้อย่างเที่ยงตรง การสุ่มกลุ่มตัวอย่างโดยไม่ใช้หลักความน่าจะเป็นแบ่งออกเป็น 4 แบบคือ
การเลือกแบบบังเอิญ(Accidental Sampling) • เป็นการเลือกตัวอย่างโดยไม่มีกฎเกณฑ์ กลุ่มตัวอย่างจะเป็นใครก็ได้ที่สามารถให้ข้อมูลที่ต้องการ เช่น ต้องการสัมภาษณ์ประชาชนเพื่อทราบความคิดเห็นเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ก็อาจใช้วิธีสัมภาษณ์ประชาชนตามท้องถนน ป้ายรถเมล์ ตามสถานที่ทำงาน สถานที่ราชการทั่วไป
การเลือกโดยกำหนดสัดส่วนหรือโควต้า (Quota Sampling) • เป็นการเลือกตัวอย่างโดยแบ่งประชากรออกเป็นกลุ่มย่อยแล้วกำหนดสัดส่วนของจำนวนตัวอย่างแต่ละกลุ่มย่อย โดยใช้องค์ประกอบของประชากรมาเป็นเครื่องพิจารณาด้วย เช่น แบ่งประชากรออกเป็นอาชีพแล้วกำหนดว่าจะเลือกอาชีพละกี่คน จากนั้นจึงทำการเลือกตัวอย่างแต่ละประเภทโดยวิธีสุ่มแบบบังเอิญจนกว่าจะครบตามจำนวนที่ต้องการ
การเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) • เป็นการเลือกตัวอย่างซึ่งผู้วิจัยจะพิจารณาตัดสินใจเลือก โดยใช้หลักเหตุผลและวิจารณญาณว่าสมาชิกกลุ่มใดน่าจะเป็นตัวแทนที่ดี เหมาะสมกับปัญหาที่วิจัย แล้วก็เลือกเอาจากสมาชิกกลุ่มนั้น เช่น การศึกษาความต้องการในการใช้ครีมแก้สิวของลูกค้า โดยเลือกศึกษาผู้ที่อยู่ในวัยรุ่นที่มีอายุระหว่าง 15 – 20 ปี
การเลือกแบบสะดวก(Convenience Sampling) • เป็นการเลือกตัวอย่างโดยพิจารณา ในแง่ของความสะดวกรวดเร็วในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นสำคัญ เช่น ถ้าประประชากรเป็นพนักงานธนาคาร ก็เลือกเอาเฉพาะธนาคารที่ตนทำงานอยู่ หรือถ้าประชากรเป็นประชาชน ก็เลือกเอาหมู่บ้าน หรือครอบครัวที่ตนรู้จักมักคุ้น การเดินทางไปมาสะดวก