500 likes | 1.12k Views
บทที่ 10 กฎหมายทะเล The Law of the Sea. กอบกุล รายะนาคร คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. วิวัฒนาการของกฎหมายทะเล. ก่อนศตวรรษที่ 17 เป็นยุคทะเลปิด Hugo Grotius เสนอแนวคิดเรื่อง เสรีภาพในทะเล
E N D
บทที่ 10กฎหมายทะเลThe Law of the Sea กอบกุล รายะนาคร คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
วิวัฒนาการของกฎหมายทะเลวิวัฒนาการของกฎหมายทะเล • ก่อนศตวรรษที่ 17 เป็นยุคทะเลปิด • Hugo Grotius เสนอแนวคิดเรื่อง เสรีภาพในทะเล • ศตวรรษที่ 18 มีการยอมรับหลักเสรีภาพในทะเลหลวง ซึ่งกลายเป็นหลักการพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศมาจนทุกวันนี้
การประชุมกฎหมายทะเลครั้งที่ 1United Nations Conference on the Law of the Sea (UNCLOS I) ค.ศ. 1958 • อนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขตและเขตต่อเนื่อง ค.ศ. 1958 • อนุสัญญาว่าด้วยเขตไหล่ทวีป ค.ศ. 1958 • อนุสัญญาว่าด้วยทะเลหลวง ค.ศ. 1958 • อนุสัญญาว่าด้วยการอนุรักษ์ทรัพยากรในทะเลหลวง ค.ศ. 1958
การประชุมกฎหมายทะเลครั้งที่ 2UNCLOS IIค.ศ. 1960 เจรจาเรื่องความกว้างของทะเลอาณาเขต แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ข้อเสนอ Six plus Six Formula ซึ่งกำหนดให้รัฐชายฝั่งได้ทะเลอาณาเขต 6 ไมล์ทะเล และเขตประมง 6 ไมล์ทะเล ขาดคะแนนเสียงรับรองสามในสี่ไปเพียง 1 คะแนนเสียง
การประชุมกฎหมายทะเลครั้งที่ 3UNCLOS III ค.ศ. 1973-1982 เนื่องจากกฎหมายทะเลพัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปมาก และเกิดความห่วงใยเกี่ยวกับทรัพยากรในพื้นทะเลลึกและพื้นสมุทร ครอบคลุมหัวข้อของกฎหมายทะเลอย่างกว้างขวาง ประสบความสำเร็จในการจัดทำอนุสัญญากฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 หลังการเจรจากว่า 9 ปี
อนุสัญญากฎหมายทะเล ค.ศ. 1982UN Convention on the Law of the Sea
320 มาตรา 9 ภาคผนวก เป็นกฎหมายแม่บทของกฎหมายทะเลที่มีเนื้อหาครอบคลุมทุกเรื่อง รวมทั้งเรื่องสิ่งแวดล้อมในทะเล มีผลบังคับใช้เมื่อ 16 พฤศจิกายน ค.ศ. 1994 หลังจากที่มีการจัดทำความตกลงแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรในพื้นทะเลลึกและพื้นสมุทรจนเป็นที่พอใจแก่ประเทศพัฒนาแล้ว
น่านน้ำภายใน (Internal Waters) • น่านน้ำภายใต้อธิปไตยที่อยู่ระหว่างชายฝั่งกับเส้นฐานปรกติตามแนวน้ำลด หรือกับเส้นฐานตรง • เส้นฐานตรงจะต้องไม่หักเหจากแนวชายฝั่งโดยทั่วไปจนเกินสมควร • น่านน้ำที่ถูกจัดเป็นน่านน้ำภายในต้องมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับผืนแผ่นดิน • หากการลากเส้นฐานตรงมีผลทำให้น่านน้ำภายในที่เคยเป็นทะเลอาณาเขตกลายเป็นน่านน้ำภายใน ให้คงสิทธิผ่านโดยสุจริตในน่านน้ำนั้น
ทะเลอาณาเขต (Territorial Sea) • อยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐชายฝั่ง • เรือต่างชาติมีสิทธิผ่านโดยสุจริต (Right of Innocent Passage) • รัฐชายฝั่งมีทะเลอาณาเขตกว้าง 12 ไมล์ทะเล • เรือและอากาศยานต่างชาติมีสิทธิผ่านช่องแคบ (right of transit passage) ที่เป็นทะเลอาณาเขตได้
สิทธิการผ่านโดยสุจริตRight of Innocent Passage • สิทธิของเรือต่างชาติในการผ่านเข้าไปในทะเลอาณาเขตของรัฐชายฝั่งโดยไม่ต้องขออนุญาต • เป็นการผ่านทะเลอาณาเขตโดยไม่เข้าไปในน่านน้ำภายใน หรือเพื่อเดินเรือผ่านเข้าไปหรือออกมาจากน่านน้ำภายใน • อาจหยุดชั่วคราวได้ หากว่าเป็นความจำเป็นในการเดินเรือตามปรกติ หรือเหตุสุดวิสัยหรือทุกขภัย
เงื่อนไขการใช้สิทธิผ่านโดยสุจริตเงื่อนไขการใช้สิทธิผ่านโดยสุจริต • การผ่านจะถือว่า “ไม่สุจริต” หากว่าเสื่อมเสียต่อสันติภาพ ความสงบเรียบร้อย หรือความมั่นคง (peace, good order, or security) ของรัฐชายฝั่ง • รัฐชายฝั่งอาจห้ามการผ่านโดยสุจริตเป็นการชั่วคราวได้ หากมีความจำเป็นเพื่อความมั่นคง • เรือดำน้ำจะต้องโผล่ขึ้นเหนือน้ำ และแสดงธงของตน
การผ่านที่ถือว่า “ไม่สุจริต” ภายใต้อนุสัญญาฯ 1982 • การคุกคามและการใช้กำลังต่อรัฐชายฝั่ง • การซ้อมอาวุธ • การสอดแนมสืบความลับ • การโฆษณาชวนเชื่อ • การกระทำผิดข้อบังคับการศุลกากร การเงิน การเข้าเมือง และการสาธารณสุข
การผ่านที่ถือว่า “ไม่สุจริต” (2) การทำการประมง การก่อมลพิษอย่างร้ายแรง การวิจัย และการสำรวจ การรบกวนการสื่อสารของรัฐชายฝั่ง กิจกรรมใดๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับการผ่านโดยตรง
การผ่านของเรือรบ • เรือรบมีสิทธิการผ่านโดยสุจริตหรือไม่? • เรือรบต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้าหรือได้รับอนุญาตก่อนเข้ามาในทะเลอาณาเขตหรือไม่ • รัฐมีการปฎิบัติที่แตกต่างกัน
สิทธิในการผ่านช่องแคบสิทธิในการผ่านช่องแคบ
Corfu Channel Case (1949) ICJ (U.K. v. Albania) เรือต่างชาติมีสิทธิผ่านโดยสุจริตในช่องแคบที่ใช้ในการเดินเรือระหว่างประเทศ ให้พิจารณาว่าเป็นช่องแคบที่ใช้ในการเดินเรือระหว่างประเทศ โดยดูจากลักษณะทางภูมิศาสตร์ว่าเป็นช่องแคบที่เชื่อมระหว่างส่วนหนึ่งของทะเลหลวง กับอีกส่วนหนึ่งของทะเลหลวงเป็นสำคัญ
สิทธิการผ่านโดยสุจริตในช่องแคบตามอนุสัญญาฯ 1982 การห้ามชั่วคราวซึ่งสิทธิผ่านโดยสุจริตของเรือต่างชาติที่ผ่านช่องแคบซึ่งใช้ในการเดินเรือระหว่างประเทศจากส่วนหนึ่งของทะเลหลวง กับอีกส่วนหนึ่งของทะเลหลวง หรือทะเลอาณาเขตของรัฐต่างประเทศจะกระทำมิได้ (รัฐชายฝั่งยังคงมีสิทธิในการห้ามการผ่านที่ถือว่า “ไม่สุจริต”)
สิทธิการผ่านช่องแคบ (Right of Transit Passage) • กำหนดขึ้นเป็นครั้งแรกตามอนุสัญญาฯ ค.ศ. 1982 • เป็นสิทธิในการเดินเรือและบินผ่านของเรือหรืออากาศยานต่างชาติ เพื่อการผ่านอย่างต่อเนื่องและโดยไม่ชักช้า (continuous and expeditious transit) ในช่องแคบที่เชื่อมระหว่างทะเลหลวง หรือ EEZ กับทะเลหลวง หรือ EEZ
Right of Transit Passage (2) • รัฐชายฝั่งต้องไม่ขัดขวาง หรือห้ามชั่วคราว การใช้สิทธิการผ่านช่องแคบ • เรือและอากาศยานต่างชาติ มีหน้าที่ • เดินเรือ หรือบินผ่านโดยมิชักช้า • งดเว้นการกระทำใดๆที่เป็นการคุกคาม และ/หรือการใช้กำลังต่ออธิปไตย บูรณาภาพแห่งอาณาเขต และเอกราชทางการเมืองของรัฐชายฝั่ง • งดเว้นการกระทำใดๆที่มิใช่ลักษณะปรกติ (normal modes) ของการผ่านอย่างต่อเนื่องและไม่ชักช้า
ช่องแคบที่ไม่มี Right of Transit Passage • ช่องแคบที่อยู่ระหว่างเกาะ และผืนแผ่นดินของรัฐชายฝั่ง หากมีเส้นทางเดินเรืออยู่อีกด้านหนึ่งที่ให้ความสะดวกเท่าเทียมกัน • ช่องแคบที่เชื่อมระหว่างทะเลหลวง หรือ EEZ กับทะเลอาณาเขตของรัฐต่างประเทศ • แต่เรือต่างชาติยังคงมีสิทธิการผ่านโดยสุจริตในช่องแคบทั้งสองประเภทนี้
เขตต่อเนื่อง(The Contiguous Zone) • เป็นเขตทะเลที่ต่อเนื่องออกมาจากทะเลอาณาเขต ซึ่งรัฐชายฝั่งประกาศเพื่อวัตถุประสงค์ในการบังคับใช้กฎหมายต่างๆ เช่น กฎหมายศุลกากร กฎหมายคนเข้าเมือง กฎหมายสาธารณสุข • อนุสัญญาฯ ค.ศ. 1982 กำหนดให้เขตต่อเนื่องมีความกว้าง 24 ไมล์ทะเลจากเส้นฐานที่ใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขต
เขตไหล่ทวีป The Continental Shelf
วิวัฒนาการของเขตไหล่ทวีปวิวัฒนาการของเขตไหล่ทวีป • 1945 คำประกาศทรูแมน (Truman Proclamation) อ้างสิทธิในทรัพยากรที่อยู่ในพื้นทะเลในบริเวณที่อยู่ประชิดชายฝั่งของสหรัฐอเมริกา • 1958 อนุสัญญาว่าด้วยเขตไหล่ทวีป • เขตไหล่ทวีปได้แก่พื้นทะเลและดินใต้พื้นทะเลที่อยู่ประชิดกับรัฐชายฝั่งไปจนถึงความลึก 200 เมตร หรือไปจนถึงบริเวณที่ความลึกของน้ำทะเลเปิดให้แสวงประโยชน์ได้
เขตไหล่ทวีปตามอนุสัญญาฯ ค.ศ. 1982 เขตไหล่ทวีปของรัฐชายฝั่งประกอบด้วยพื้นทะเล และดินใต้พื้นทะเลที่ขยายออกไปจากทะเลอาณาเขตไปจนตลอดส่วนทอดยาวตามธรรมชาติ (natural prolongation)จากแผ่นดินไปจนถึงริมนอกของขอบทวีป (continental margin)หรือไปจนถึงระยะ 200ไมล์ทะเลจากเส้นฐานที่ใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขตในกรณีที่ริมนอกของขอบทวีปขยายไปไม่ถึง 200ไมล์ทะเล
กรณีเขตไหล่ทวีปยาวกว่า 200 ไมล์ทะเล จะต้องกำหนดริมนอกของขอบทวีป ดังนี้ • ณ จุดที่ความหนาอย่างน้อยที่สุดของหินตะกอนเท่ากับร้อยละ 1 ของระยะทางที่สั้นที่สุดจากจุดนั้นไปยังเชิงลาดทวีป • ณ จุดที่ห่างไม่เกิน 60 ไมล์ทะเล โดยวัดจากเชิงลาดทวีป
กรณีเขตไหล่ทวีปยาวกว่า 200 ไมล์ทะเล (ต่อ) ไม่ว่าจะกำหนดโดยใช้วิธี (1) หรือ (2) ขอบเขตนอกสุดของไหล่ทวีป จะต้องไม่เกิน 350 ไมล์ทะเล วัดจากเส้นฐาน หรือไม่เกิน 100 ไมล์ทะเลโดยวัดจากจุดที่น้ำทะเลมีความลึก 2,500 เมตร
สิทธิของรัฐชายฝั่งในเขตไหล่ทวีปสิทธิของรัฐชายฝั่งในเขตไหล่ทวีป • รัฐชายฝั่งมีสิทธิอธิปไตย (sovereign right) ในการสำรวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในเขตไหล่ทวีป ได้แก่ ทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่มีชีวิต และอินทรีย์ภาพที่มีชีวิตประเภทติดอยู่กับที่ หรือไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ เว้นแต่จะสัมผัสทางกายภาพกับพื้นทะเลตลอดเวลา • สิทธินี้ไม่ขึ้นอยู่กับการครอบครองหรือการกล่าวอ้าง หรือการออกประกาศใดๆ
สิทธิของรัฐชายฝั่งในเขตไหล่ทวีป (2) • ในกรณีที่เขตไหล่ทวีปขยายออกไปเกิน 200 ไมล์ทะเล ต้องแบ่งผลประโยชน์ที่ได้จากไหล่ทวีปส่วนส่วนทิ่ยู่เกิน 200 ไมล์ทะเลให้แก่องค์การพื้นทะเลระหว่างประเทศ (International Seabed Authority หรือ the Authority) โดยให้เริ่มจ่ายหลังจากปีที่ 5 ไปจนถึงปีที่ 12 • ผลประโยชน์ที่ได้ให้นำมาแบ่งให้รัฐอื่นโดยให้คำนึงถึงประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะประเทศที่ยากจนและรัฐไร้ชายฝั่ง
สิทธิของรัฐอื่นในเขตไหล่ทวีปสิทธิของรัฐอื่นในเขตไหล่ทวีป • สิทธิของรัฐชายฝั่งในเขตไหล่ทวีปไม่กระทบถึงน่านน้ำที่อยู่เหนือในฐานะที่เป็นทะเลหลวง และไม่กระทบถึงสถานะของห้วงอากาศที่อยู่เหนือน่านน้ำ • รัฐชายฝั่งไม่อาจขัดขวางการวางและบำรุงรักษาสายและท่อใต้น้ำ • การแสวงประโยชน์ของรัฐชายฝั่งจะต้องไม่กระทบกระเทือนโดยปราศจากเหตุผลอันสมควรต่อการเดินเรือ การประมง และการอนุรักษ์ทรัพยากรที่มีชีวิตในทะเล
การแบ่งเขตไหล่ทวีป North Sea Continental Shelf Cases (1969) • หลักระยะห่างเท่ากัน (Equidistance) ไม่ใช่หลักกฎหมายระหว่างประเทศ ที่จะใช้ในการแบ่งเขตไหล่ทวีปในทุกกรณี • หลักในการแบ่งเขตไหล่ทวีปตามกฎหมายระหว่างประเทศคือ “การแบ่งเขตจะต้องเป็นไปตามข้อตกลง โดยยึดหลักความยุติธรรม และโดยคำนึงถึงสถานการณ์ต่างๆที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้แต่ละรัฐได้รับไหล่ทวีปที่ทอดยาวออกไปตามธรรมชาติจากแผ่นดินของตนให้มากที่สุดเท่าที่จะกระทำได้ โดยไม่ล้ำเข้าไปในส่วนที่ทอดออกไปตามธรรมชาติของรัฐอื่น”
การแบ่งเขตไหล่ทวีปตามอนุสัญญาฯ ค.ศ. 1982 Article 83 • การแบ่งเขตไหล่ทวีปจะกระทำโดยข้อตกลงระหว่างกันบนพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อที่จะได้การแก้ไขปัญหาที่ยุติธรรมที่สุด Article 74 • ให้นำเอาหลักตาม Article 83 มาใช้บังคับกับการแบ่งเขตเศรษฐกิจจำเพาะโดยอนุโลม
เขตเศรษฐกิจจำเพาะ Exclusive Economic Zone (EEZ)
วิวัฒนาการมาจากเขตประมงในช่วงปลายทศวรรษ 60 และทศวรรษ 70 อนุสัญญาฯ ค.ศ. 1982 รับรองเขต EEZ เป็นระยะกว้าง 200 ไมล์ทะเลวัดจากเส้นฐานที่ใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขต
สิทธิของรัฐชายฝั่งใน EEZ รัฐชายฝั่งมีสิทธิอธิปไตย (sovereign rights) เพื่อการสำรวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตที่อยู่ในน่านน้ำ พื้นทะเล และดินใต้พื้นทะเล และการแสวงประโยชน์ทางเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น การผลิตพลังงานจากน้ำ กระแสน้ำ และลม
สิทธิของรัฐชายฝั่งใน EEZ (2) • รัฐชายฝั่งมีอำนาจทางกฎหมาย (jurisdiction) เหนือสิ่งก่อสร้าง การใช้เกาะเทียม สิ่งติดตั้งและโครงสร้างต่างๆ การวิจัยค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ และการคุ้มครอง และการสงวนรักษาสิ่งแวดล้อมในทะเล • รัฐอื่นๆยังคงมีเสรีภาพในการเดินเรือ บินผ่าน การวางสายเคเบิลและท่อใต้ทะเล
หน้าที่ของรัฐชายฝั่งใน EEZ • ต้องจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำมิให้มีการแสวงประโยชน์เกินสมรรถภาพของการผลิต โดยจะต้องกำหนดปริมาณสัตว์น้ำที่จะอนุญาตให้จับได้ (allowable catch) • ต้องยอมให้รัฐอื่นที่อยู่ในภูมิภาคเดียวกันเข้ามาแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่มีชีวิตที่เป็นส่วนเกิน (surplus) โดยให้คำนึงถึงรัฐไร้ฝั่งทะเล (land-locked states) และรัฐที่เสียเปรียบทางภูมิศาสตร์เป็นพิเศษ ทั้งนี้ให้ขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างทั้งสองฝ่าย
ข้อสังเกตเกี่ยวกับ EEZ • การประกาศ EEZ ของประเทศเพื่อนบ้านทำให้ไทยสูญเสียพื้นที่ทำการประมง • EEZ ให้ทั้งสิทธิและหน้าที่แก่รัฐชายฝั่ง • หากรัฐชายฝั่งรับแต่สิทธิ แต่ไม่ทำหน้าที่ เช่น ไม่จัดการทรัพยากรสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน หรือไม่สงวนรักษาสิ่งแวดล้อมใน EEZ ของตน ก็ย่อมก่อให้เกิดผลกระทบต่อรัฐอื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ทะเลหลวง (High Seas) • ทะเลทั้งหมดที่ไม่จัดอยู่ในน่านน้ำภายใน ทะเลอาณาเขต EEZ หรือน่านน้ำหมู่เกาะของรัฐหมู่เกาะ • รัฐต่างๆย่อมมีสิทธิเท่าเทียมกันในการใช้ทะเลหลวง
เสรีภาพในทะเลหลวง • การเดินเรือ และบินผ่าน • การทำประมง • การวางสายเคเบิลและท่อใต้ทะเล • เสรีภาพในการสร้างเกาะเทียมและสิ่งติดตั้งอื่นๆ • การค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์ รัฐต้องคำนึงถึงประโยชน์ของรัฐอื่นที่จะใช้เสรีภาพดังกล่าวด้วย
การใช้ทะเลหลวงเพื่อทดสอบอาวุธการใช้ทะเลหลวงเพื่อทดสอบอาวุธ Nuclear Tests Case(1974) ICJ • ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ฝรั่งเศสยุติการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ เนื่องจากเป็นการใช้ทะเลหลวงโดยมิชอบและเป็นการละเมิดอำนาจอธิปไตยของทั้งสองประเทศ • ICJ มิได้วินิจฉัยประเด็นดังกล่าว ด้วยเหตุผลว่าฝรั่งเศสได้ประกาศว่าจะไม่ทำการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ในชั้นบรรยากาศอีกต่อไป
การจัดการทรัพยากรในพื้นทะเลลึกการจัดการทรัพยากรในพื้นทะเลลึก และพื้นสมุทร และดินที่อยู่ใต้ (Deep Seabed and Ocean Floor and Subsoil Thereof) ตามอนุสัญญาฯ ค.ศ. 1982
มีก้อนแมงกานีส (manganese nodules) ที่สามารถนำมาถลุงเอาแร่แมงกานีส นิกเกิล ทองแดง และโคบอลท์ อนุสัญญาฯ ค.ศ. 1982 กำหนดให้ทรัพยากรในพื้นทะเลลึกและพื้นสมุทรที่อยู่นอกเขตอำนาจรัฐ (the Area) เป็นมรดกร่วมกันของมนุษยชาติ (common heritage of mankind) มีองค์การพื้นทะเลระหว่างประเทศ หรือ the Authority เป็นองค์กรที่ควบคุมการแสวงประโยชน์จาก the Area
การแสวงประโยชน์ในพื้นทะเลลึกและพื้นสมุทรการแสวงประโยชน์ในพื้นทะเลลึกและพื้นสมุทร • ต้องได้รับอนุญาตจาก the Authority • The Authority มีองค์กรที่เรียกว่า the Enterprise ซึ่งสามารถร่วมแสวงประโยชน์ • ผลประโยชน์ที่ได้จาก the Area ให้นำมาแบ่งให้แก่รัฐอื่นอย่างยุติธรรมโดยคำนึงถึงประเทศกำลังพัฒนา • มีการจัดทำ New York Agreement ค.ศ. 1994 เพื่อแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติในส่วนนี้ และเพื่อให้ลดการคัดค้านจากประเทศพัฒนาแล้ว