310 likes | 328 Views
การจัดการน้ำในระบบเกษตร. อ.ธีระพงษ์ ควรคำนวน สาขาวิชาวิศวกรรมชลประทานและการจัดการน้ำ ภาควิชาวิศวกรรมเกษตร มทร.ธัญบุรี. การหมุนเวียนของน้ำ. การวัดปริมาณน้ำฝน. -หน่วยวัดปริมาณน้ำฝนนิยมใช้เป็นความลึกในหน่วย มิลลิเมตร
E N D
การจัดการน้ำในระบบเกษตรการจัดการน้ำในระบบเกษตร อ.ธีระพงษ์ ควรคำนวน สาขาวิชาวิศวกรรมชลประทานและการจัดการน้ำ ภาควิชาวิศวกรรมเกษตร มทร.ธัญบุรี
การวัดปริมาณน้ำฝน -หน่วยวัดปริมาณน้ำฝนนิยมใช้เป็นความลึกในหน่วยมิลลิเมตร -หากต้องการคำนวณปริมาตรน้ำให้แปลงความลึกเป็นหน่วยเมตร แล้วคูณด้วยพื้นที่ในหน่วยตารางเมตร ได้ปริมาตรในหน่วยลูกบาศก์เมตร ตัวอย่าง ฝนตกจำนวน 100 มิลลิเมตร ในพื้นที่ 1 ไร่ จะได้ปริมาตรน้ำฝนเท่าไร (1 ไร่ = 1,600 ตารางเมตร) ปริมาตรน้ำฝน = x1600 =160 ลูกบาศก์เมตร
การวัดปริมาณน้ำฝน - ปริมาณน้ำฝนวัดโดย หน่วยงาน กรมอุตุนิยมวิทยา กรมชลประทาน - ข้อมูลเป็นรายวัน รายเดือน และรายปี - สถิติข้อมูลน้ำฝนรวบรวมไว้เป็นระยะเวลานานเพื่อคำนวณปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยเพื่อกำหนดแนวโน้มของปริมาณฝน และวางแผนในการบริหารจัดการน้ำ - ข้อมูลน้ำฝนที่สามารถนำไปใช้งานได้ - กรมอุตุนิยมวิทยา www.ubonmet.tmd.go.th - กรมชลประทาน http://hydro-4.rid.go.th
ปริมาณน้ำฝนในพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ
ความต้องการใช้น้ำ ประกอบด้วย 1 ความต้องการน้ำในนาข้าว น้ำที่ใช้เพื่อการปลูกข้าว โดยเฉลี่ยตั้งแต่ระยะไถคราด เตรียมแปลง แล้วปล่อยน้ำขังในนาตอนเริ่มปักดำ ถึงระยะเก็บเกี่ยว จะต้องการรวมทั้งหมด เป็นความลึกประมาณ 1,300 มิลลิเมตร ในพื้นที่เกษตรกรรมน้ำฝนใช้น้ำขั้นต่ำ 900 มิลลิเมตร 2 ความต้องการน้ำสำหรับ พืชไร่ ผัก และต้นไม้ผล ระยะแรกปลูก พืชมีความต้องการน้ำน้อย และจะต้องการเพิ่มมากขึ้น จนต้องการน้ำมากที่สุด ในระยะที่พืชออกดอก และมีผล จนกระทั่งผลเริ่มแก่เต็มที่ จึงต้องการน้ำน้อยมาก เช่น ผักที่ปลูกในประเทศไทย โดยเฉลี่ยจะต้องการน้ำ รวมตลอดอายุของผัก เป็นความลึกประมาณ 400-500 มิลลิเมตร ส่วนพืชไร่ เช่น ข้าวโพด จะต้องการน้ำรวมตลอดอายุที่ปลูกประมาณ 350-400 มิลลิเมตร ฯลฯ
ความต้องการใช้น้ำ ประกอบด้วย 3 ความต้องการน้ำเพื่อการเลี้ยงสัตว์ วัวและควายต้องการน้ำตัวละประมาณ 50 ลิตรต่อวัน หมูตัวละประมาณ 20 ลิตรต่อวัน และไก่ตัวละประมาณ 0.15 ลิตรต่อวัน เป็นต้น 4 ความต้องการน้ำของราษฎรในหมู่บ้าน โดยทั่วไปราษฎรในชนบทที่ขาดแคลนน้ำ จะต้องการน้ำประมาณวันละ 60 ลิตร ต่อคน
ปริมาณการใช้น้ำของพืช(Consumptive Use or Evapotranspiration) ปริมาณการใช้น้ำของพืช หมายถึง ปริมาณน้ำทั้งหมดที่สูญเสียจากพื้นที่เพาะปลูกสู่บรรยากาศในรูปของไอน้ำประกอบด้วย 2 ส่วนคือ • การคายน้ำ (Transpiration: T) เป็นปริมาณน้ำที่พืชดูดไปจากดิน เพื่อนำไปใช้สร้างเซลล์และเนื้อเยื่อ แล้วคายออกทางใบสู่บรรยากาศ • การระเหย (Evaporation:E) เป็นปริมาณน้ำที่ระเหยจากผิวดินบริเวณรอบๆต้นพืช • ค่าทั้งสองรวมเรียกว่า“ค่าการคายระเหย (Evapotranspiration,ET)”
ค่าการคายระเหย(Evapotranspiration )หรือET จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปัจจัยที่สำคัญได้แก่ • สภาพภูมิอากาศรอบๆ ต้นพืช ซึ่งได้แก่ พลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์ หรือรังสีอาทิตย์ อุณหภูมิ ความชื้นของอากาศ และความเร็วลม • พืชซึ่งได้แก่ ชนิดและอายุของพืช พืชแต่ละชนิดมีความต้องการน้ำที่แตกต่างกันสำหรับพืชชนิดเดียวกัน การใช้น้ำจะน้อยเมื่อเริ่มปลูกและจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนมากที่สุดเมื่อถึงช่วงเจริญเติบโตเต็มที่ (ออกดอก-ออกผล) จากนั้นจะค่อยๆลดลงเมื่อถึงช่วงเก็บเกี่ยว (ช่วงผลสุก-ผลแก่) • ดิน ได้แก่ ความชื้นของดิน ลักษณะเนื้อดิน ความสามารถในการอุ้มน้ำของดิน • องค์ประกอบอื่นๆ เช่น วิธีการให้น้ำแก่พืชและความลึกที่ให้แต่ละครั้ง ฤดูการเพาะปลูก การไถพรวนดิน การคลุมดิน เป็นต้น
การคำนวณหาค่าปริมาณการใช้น้ำของพืช ( ETc) ค่าการใช้น้ำของพืชอ้างอิง ETpและค่าสัมประสิทธิ์การใช้น้ำของพืช(ที่ต้องการเพาะปลูก) Kcนำไปสู่ การคำนวณหาค่า ETcดังสมการ ETc = ETp x Kc ETc = ปริมาณการใช้น้ำของพืชที่ต้องการทราบ (มม./วัน) ETp= ปริมาณการใช้น้ำของพืชอ้างอิง (มม./วัน) Kc = สัมประสิทธิ์การใช้น้ำของพืช
สถานีตรวจอากาศเกษตร กรมอุตุนิยมวิทยา
การคำนวณหาค่าปริมาณการใช้น้ำของพืชอ้างอิง ( ETp) การใช้น้ำของพืชอ้างอิงโดยใช้ถาดวัดการระเหย
การคำนวณหาค่าปริมาณการใช้น้ำของพืชอ้างอิง ( ETp) ใช้ข้อมูลการระเหยจากถาดวัดการระเหย (Epan) จากสถานีตรวจอากาศเกษตร สำหรับกรมอุตุนิยมวิทยาใช้ถาดวัดแบบ Class A ใช้ค่า ความชื้นสัมพัทธ์เฉลี่ย (RH), ความเร็วลมเฉลี่ยที่ระดับความสูง 2 เมตร(กม./วัน) และการปลูกพืชโดยรอบถาดวัดการระเหย เพื่อทำการหาค่า สัมประสิทธิ์ของถาดวัดการระเหย(Kp) คำนวณค่า ETp ตามสมการดังนี้ ETp= Epan x Kp ETp= ปริมาณการใช้น้ำของพืช (มม./วัน) Epan = ปริมาณการระเหยน้ำจาก Class A Pan (มม./วัน) Kp = สัมประสิทธิ์ของถาดวัดการระเหย
ปริมาณการใช้น้ำของพืชอ้างอิงของ จ.ศรีสะเกษ (มม./วัน)
ปริมาณการใช้น้ำของพืชอ้างอิงของ จ.ศรีสะเกษ (มม./วัน)
สัมประสิทธิ์การใช้น้ำของพืช (Kc) สำหรับสัมประสิทธิ์การใช้น้ำของพืชมีค่าเปลี่ยนไปตามชนิดและอายุได้มีผู้ทดลองไว้มากมาย สามารถนำไปใช้โดยไม่ต้องคำนึงถึงสถานที่ที่ทำการเพาะปลูกนอกจากนี้ยังมีผู้ศึกษาค่าสัมประสิทธิ์ของถาดวัดการระเหยแบบเบ็ดเสร็จ ซึ่งเป็นผลคูณระหว่าง Kp และ Kc เพื่อให้สะดวกในการใช้งาน
การจัดทำปฏิทินการเพาะปลูกการจัดทำปฏิทินการเพาะปลูก
การจัดทำปฏิทินการเพาะปลูกการจัดทำปฏิทินการเพาะปลูก องค์ประกอบของปฏิทินการเพาะปลูก 1. ชนิดของพืชที่ทำการเพาะปลูก 2. จำนวนพื้นที่ที่ทำการเพาะปลูก 3. วันที่เริ่มเพาะปลูก ประโยชน์ของจัดทำปฏิทินการเพาะปลูก 1. ใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด 2. การใช้น้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
การจัดทำปฏิทินการเพาะปลูกโดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์การจัดทำปฏิทินการเพาะปลูกโดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์
การจัดทำปฏิทินการเพาะปลูกโดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์การจัดทำปฏิทินการเพาะปลูกโดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ข้อมูลที่ต้องใช้ 1. ชนิดของพืชที่ทำการเพาะปลูก 2. จำนวนพื้นที่ที่ทำการเพาะปลูก 3. วันที่เริ่มเพาะปลูก 4. ข้อเกี่ยวกับลักษณะดิน 5. ข้อมูลภูมิอากาศ ผลการคำนวณ 1. ปริมาณความต้องการน้ำชลประทาน 2. ปริมาณความชื้นในดิน
ระบบการเกษตรตามแนว โคกหนองนาโมเดล โคก-หนอง-นา โมเดลคือ การจัดการพื้นที่ซึ่งเหมาะกับพื้นที่การเกษตร ซึ่งเป็นผสมผสานเกษตรทฤษฎีใหม่ เข้ากับภูมิปัญญาพื้นบ้านที่อยู่อย่างสอดคล้องกับธรรมชาติในพื้นที่นั้นๆ โคก-หนอง-นา โมเดล เป็นการที่ให้ธรรมชาติจัดการตัวมันเองโดยมี มนุษย์เป็นส่วนส่งเสริมให้มันสำเร็จเร็วขึ้น อย่างเป็นระบบ
ระบบการเกษตรตามแนว โคกหนองนาโมเดล 1. โคก-ดินที่ขุดทำหนองน้ำนั้นให้นำมาทำโคก บนโคกปลูก "ป่า 3อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง” ตามแนวทางพระราชดำริ-ปลูกพืช ผัก สวนครัว เลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา ทำให้พออยู่ พอกิน พอใช้ พอร่มเย็น เป็นเศรษฐกิจพอเพียงขั้นพื้นฐาน ก่อนเข้าสู่ขั้นก้าวหน้า คือ ทำบุญ ทำทาน เก็บรักษา ค้าขาย และเชื่อมโยงเป็นเครือข่าย-ปลูกที่อยู่อาศัยให้สอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศ และภูมิอากาศ -ปลูกไม้ที่มีความลึกรากขนาดต่างๆ
ระบบการเกษตรตามแนว โคกหนองนาโมเดล 2. หนอง-ขุดหนองเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ยามหน้าแล้งหรือจำเป็น และเป็นที่รับน้ำยามน้ำท่วม (หลุมขนมครก)-ขุด "คลองไส้ไก่” หรือคลองระบายน้ำรอบพื้นที่ตามภูมิปัญญาชาวบ้าน โดยขุดให้คดเคี้ยวไปตามพื้นที่เพื่อให้น้ำกระจายเต็มพื้นที่เพิ่มความชุ่มชื้น ลดพลังงานในการรดน้ำต้นไม้-ทำ ฝายทดน้ำ เพื่อเก็บน้ำเข้าไว้ในพื้นที่ให้มากที่สุด โดยเฉพาะเมื่อพื้นที่โดยรอบไม่มีการกักเก็บน้ำ น้ำจะหลากลงมายังหนองน้ำ และคลองไส้ไก่ ให้ทำฝายทดน้ำเก็บไว้ใช้ยามหน้าแล้ง-พัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ ทั้งการขุดลอก หนอง คู คลอง เพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ยามหน้าแล้ง และเพิ่มการระบายน้ำยามน้ำหลาก
ระบบการเกษตรตามแนว โคกหนองนาโมเดล 3. นา-พื้นที่นานั้นให้ปลูกข้าวอินทรีย์พื้นบ้าน โดยเริ่มจากการฟื้นฟูดิน ด้วยการทำเกษตรอินทรีย์ยั่งยืน คืนชีวิตเล็กๆ หรือจุลินทรีย์กลับคืนแผ่นดินใช้การควบคุมปริมาณน้ำในนาเพื่อคุมหญ้า ทำให้ปลอดสารเคมีได้ ปลอดภัยทั้งคนปลูก คนกิน-ยกคันนาให้มีความสูงและกว้าง เพื่อใช้เป็นที่รับน้ำยามน้ำท่วม ปลูกพืชอาหารตามคันนา