1 / 38

บทที่ 12 : เงิน นโยบายการเงิน VS การคลังสาธารณะ

บทที่ 12 : เงิน นโยบายการเงิน VS การคลังสาธารณะ. เงิน (Money) และนโยบายการเงิน (Monetary Policy). เงิน (money): เป็นสิ่งที่ยอมรับกันทั่วไปว่าเป็นสื่อกลางในการ แลกเปลี่ยน และถือว่าเป็นทรัพย์สินที่มีสภาพคล่อง (Liquidity) สูงสุด ทำไมเราจึงใช้เงิน????.

teness
Download Presentation

บทที่ 12 : เงิน นโยบายการเงิน VS การคลังสาธารณะ

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. บทที่ 12: เงิน นโยบายการเงินVS การคลังสาธารณะ

  2. เงิน (Money) และนโยบายการเงิน (Monetary Policy) เงิน (money):เป็นสิ่งที่ยอมรับกันทั่วไปว่าเป็นสื่อกลางในการ แลกเปลี่ยน และถือว่าเป็นทรัพย์สินที่มีสภาพคล่อง(Liquidity)สูงสุด ทำไมเราจึงใช้เงิน????

  3. เงิน และนโยบายการเงิน (ต่อ) หน้าที่การเงิน - เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน (A Medium of Exchange) - เป็นมาตรฐานในการวัดค่า (A Standard for the Measurement of Value) - เป็นเครื่องสะสมค่า (A Store of Value) - เป็นมาตรฐานในการชำระหนี้ (A Standard of Deferred Payment)

  4. เงิน และนโยบายการเงิน (ต่อ) เงินสามารถแบ่งได้เป็น 3 ชนิดหลัก: 1. ธนบัตร (Paper Currency) หน่วยงานที่รับผิดชอบในการผลิตคือ ธนาคารแห่งประเทศไทย 2. เหรียญกษาปณ์ (Coin) หน่วยงานที่รับผิดชอบในการผลิตคือ กรมธนารักษ์ , กระทรวงการคลัง 3. เงินฝากเผื่อเรียก (Demand Deposit) หน่วยงานที่รับผิดชอบในการดูและเงินฝากเผื่อเรียกคือ ธนาคารพาณิชย์

  5. เงิน และนโยบายการเงิน (ต่อ) ปริมาณเงิน หรือ อุปทานของเงิน (Money Supply: Ms) ปริมาณเงินที่หมุนเวียนอยู่ในมือของประชาชนในขณะใดขณะหนึ่ง ประกอบด้วยสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงสุด

  6. เงิน และนโยบายการเงิน (ต่อ) ธนาคารแห่งประเทศไทยแบ่งปริมาณเงินออกเป็น 3 ชนิด: 1. ปริมาณเงินตามความหมายแบบแคบ(Narrow Money: M1) M1 = ธนบัตร + เหรียญกษาปณ์ + เงินฝากเผื่อเรียก 2. ปริมาณเงินตามความหมายแบบกว้าง(Broad Money: M2) M2 = ปริมาณเงินแบบแคบ + เงินฝากออมทรัพย์ + เงินฝากประจำ M2A = M2 + ตั๋วสัญญาใช้เงิน 3. ปริมาณเงินตามความหมายแบบกว้างที่สุด(Broad Money: M3) M3 = M2 + เงินฝากทุกประเทศที่ประชาชนฝากไว้กับสถาบันการเงิน + ตั๋วสัญญาใช้เงิน

  7. เงิน และนโยบายการเงิน (ต่อ) นโยบายการเงิน (การควบคุมปริมาณเงินหรืออุปทานเงิน:Ms) ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้ใช้นโยบายการเงินในการเพิ่มปริมาณเงิน (ทำให้ เศรษฐกิจขยายตัว) หรือลดปริมาณเงิน (ทำให้เศรษฐกิจหดตัว) มี 3 มาตรการหลัก ในการดำเนินการ: 1. การซื้อขายหลักทรัพย์ (เช่น พันธบัตรรัฐบาล, ตั๋วเงินคลัง) 2. การเปลี่ยนแปลงอัตราเงินสดสำรองตามกฎหมาย (Legal reserve) 3. การเปลี่ยนแปลงอัตรารับช่วงซื้อลดตั๋วแลกเงิน (Rediscount rate)

  8. เงิน และนโยบายการเงิน (ต่อ) Ex. การซื้อขายหลักทรัพย์รัฐบาล เช่น การซื้อขายพันธบัตรรัฐบาล • รัฐบาลซื้อคืนพันธบัตร เป็นการเพิ่มอุปทานเงิน (เพิ่ม Ms) เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ • รัฐบาลขายพันธบัตร เป็นการลดอุปทานเงิน (เพิ่ม Ms) ถ้ารัฐฯต้องการระดมเงินเพื่อใช้จ่าย หรือเพื่อลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจ

  9. เงิน และนโยบายการเงิน (ต่อ) Ex. การเปลี่ยนแปลงอัตราเงินสดสำรองตามกฎหมาย ธ.ชาติใช้ควบคุมธนาคารพาณิชย์ในการปล่อยสินเชื่อ • ลดอัตราเงินสดสำรองฯ เป็นการเพิ่มอุปทานเงิน (เพิ่ม Ms) เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ • เพิ่มอัตราเงินสดสำรองฯ เป็นการลดอุปทานเงิน (เพิ่ม Ms) เพื่อลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจ

  10. เงิน และนโยบายการเงิน (ต่อ) Ex. การเปลี่ยนแปลงอัตรารับช่วงซื้อลดตั๋วแลกเงิน แบ็งค์ชาติใช้ควบคุมธนาคารพาณิชย์ในการปล่อยสินเชื่อ ขบวนการรับช่วงซื้อลดตั๋วแลกเงิน ประกอบด้วย 2 ส่วน: 1. อัตรารับช่วงซื้อลด (Rediscount rate): อัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยคิดกับ ธนาคารพาณิชย์ เมื่อธนาคารพาณิชย์นำตั๋วสัญญาใช้เงินมาขายลดที่ธนาคาร 2. อัตราหักลด (Discount Rate): อัตราที่ธนาคารพาณิชย์คิดกับลูกค้าที่นำตั๋วสัญญาใช้เงินมาขายให้ธนาคารพาณิชย์ ธ.แห่งประเทศไทย ธ.พานิชย์ ผู้ขายตั๋วสัญญาใช้เงิน Rediscount rate 5% Discount rate 10%

  11. เงิน และนโยบายการเงิน (ต่อ) Ex. การเปลี่ยนแปลงอัตรารับช่วงซื้อลดตั๋วแลกเงิน(ต่อ) • ลดอัตรารับช่วงซื้อลดฯ เป็นการเพิ่มอุปทานเงิน (เพิ่ม Ms) เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ • เพิ่มอัตรารับช่วงซื้อลดฯ เป็นการลดอุปทานเงิน (เพิ่ม Ms) เพื่อลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจ

  12. เงิน และนโยบายการเงิน (ต่อ) ตัวอย่าง ณ.วันที่ 1 ธ.ค. 50 นายสมชายส่งออกข้าวไปขายบริษัทUSA ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา มูลค่าคิดเป็นเงินบาท = 100,000 บาท โดยมีกำหนดรับชำระเงินใน 3 เดือนข้างหน้า(1 มี.ค. 51) บริษัท USA ได้จ่ายชำระค่าสินค้าโดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (Promissory Note : P/N) ให้กับนายสมชาย ลงวันที่ 1 มี.ค. 51 จำนวน 100,000 บาท ถ้านาย สมชาย ต้องการได้เงินก่อนตั๋วครบกำหนด นาย สมชาย จะนำตั๋วไปขายลดที่ธนาคารพาณิชย์ โดยธนาคารจะคิดดอกเบี้ย (อัตราหักลด)จากนาย สมชาย 10 % ถ้าธนาคารพาณิชย์ต้องการได้เงินก่อนตั๋วครบกำหนด ธนาคารพาณิชย์จะนำตั๋วไปขายลดที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) โดย BOT จะคิดอัตราดอกเบี้ย (อัตรารับช่วงซื้อลด) จากธนาคารพาณิชย์ในอัตรา 5%

  13. เงิน และนโยบายการเงิน (ต่อ) การควบคุมปริมาณเงิน (Ms) อัตราดอกเบี้ย (i %) MS MS’ 0 อุปทานเงิน (Ms)

  14. เงิน และนโยบายการเงิน (ต่อ) อุปสงค์ของเงิน (Money Demand: Md) ปริมาณเงินทั้งหมดที่ประชาชนในระบบเศรษฐกิจหนึ่งๆต้องการถือไว้ เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ ทฤษฎีที่นิยมใช้ในการศึกษาอุปสงค์ของเงิน ได้แก่ ทฤษฎีของเคนส์

  15. เงิน และนโยบายการเงิน (ต่อ) ทฤษฎีของเงินตามทรรศนะของเคนส์ เงินทำหน้าที่อื่นด้วยนอกเหนือจากการแลกเปลี่ยน เคนส์กล่าวว่าบุคคลต้องการ ถือเงินด้วยเหตุผล 3 ประการคือ 1. ถือเงินเพื่อการใช้จ่ายประจำวัน 2. ถือเงินเพื่อสำรองใช้จ่ายเมื่อยามฉุกเฉิน 3. ถือเงินเพื่อเก็งกำไร

  16. เงิน และนโยบายการเงิน (ต่อ) ความสัมพันธ์ของการถือเงินกับรายได้และดอกเบี้ย • การถือเงินเพื่อการใช้จ่ายประจำวันและการถือเงินเพื่อสำรองใช้จ่ายยามฉุกเฉิน จะมีความสัมพันธ์ขึ้นกับรายได้ (Y) ในทิศทางเดียวกัน • การถือเงินเพื่อเก็งกำไร จะมีความสัมพันธ์กับอัตราดอกเบี้ย (i) ในทิศทาง ตรงข้าม ดังนั้น อุปสงค์ต่อการถือเงินจึงมีความสัมพันธ์กับรายได้(Y) และอัตราดอกเบี้ย(i)

  17. เงิน และนโยบายการเงิน (ต่อ) ดังนั้น อุปสงค์เงิน (Md) จึงเป็นฟังค์ชันของรายได้ (Y) และอัตราดอกเบี้ย (i) Md = f (Y, i) อัตราดอกเบี้ย (i) Md = f (Y,i) 0 อุปสงค์เงิน (Md)

  18. เงิน และนโยบายการเงิน (ต่อ) การกำหนดอัตราดอกเบี้ยดุลยภาพ อุปสงค์เงิน (Md) และอุปทานเงิน (Ms) จึงเป็นตัวกำหนดอัตราดอกเบี้ยใน ระบบเศรษฐกิจ โดยอัตราดอกเบี้ยที่ทำให้อุปสงค์เงินมีค่าเท่ากับอุปทานเงิน เรียกว่าอัตราดอกเบี้ยดุลยภาพ (ie) อัตราดอกเบี้ย (i) Ms ie Md 0 ปริมาณเงิน Md = Ms

  19. การคลังสาธารณะ (Public Finance) สิ่งที่เกี่ยวข้องกับรายรับและรายจ่ายของรัฐบาล งบประมาณแผ่นดิน: แผนเกี่ยวกับการใช้จ่าย และแผนเกี่ยวกับการจัดหา รายรับให้เพียงพอในรอบระยะเวลาหนึ่ง ปีงบประมาณ:จะเริ่มต้นตั้งแต่ 1 ตุลาคม - 30 กันยายน เช่น งบประมาณปี 2552 จะเริ่มต้นตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2551 - 30 กันยายน 2552 หน่วยงานที่รับผิดชอบ: ในการจัดทำงบประมาณแผ่นดินคือ สำนักงาน งบประมาณ

  20. การคลังสาธารณะ (ต่อ) ประเภทของงบประมาณแผ่นดิน • งบประมาณสมดุล ( Balanced Budget ) : งบประมาณที่รายได้ของรัฐบาล เท่ากับ รายจ่ายของรัฐบาล • งบประมาณไม่สมดุล ( Unbalanced Budget ) : -งบประมาณเกินดุล รายได้ > รายจ่าย -งบประมาณขาดดุล รายได้ < รายจ่าย

  21. การคลังสาธารณะ : รายรับ ประมาณการรายรับ รายรับของรัฐบาลแบ่งเป็น 3 ประเภทหลัก คือ รายได้ , เงินกู้ และเงินคงคลัง 1. รายได้ของรัฐบาล - รายได้จากภาษีอากร รายได้จากการขายสินค้า - รายได้จากรัฐพาณิชย์ รายได้อื่นๆ ค่าธรรมเนียม ค่าปรับ 2. เงินกู้ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ (หนี้สาธารณะ) 3. เงินคงคลัง : เงินที่เหลือจากการใช้จ่ายในปีก่อนๆซึ่งรัฐบาลสะสมไว้

  22. การคลังสาธารณะ : รายรับ (ต่อ) รายได้ของรัฐบาล

  23. การคลังสาธารณะ : รายรับ (ต่อ) ฐานะการคลังของรัฐบาลปี 2545-2549

  24. การคลังสาธารณะ : รายรับ (ต่อ) ฐานะการคลังของรัฐบาลปี มกราคม –กรกฎาคม 2551

  25. การคลังสาธารณะ : รายรับ (ต่อ) ประเภทของภาษีอากร 1. ภาษีทางตรง ( Direct Tax )ภาษีที่ผู้เสียภาษีจะต้องรับภาระภาษีที่เสียไว้เอง ผลักให้ผู้อี่นได้ยาก เช่น ภาษีเงินได้ ภาษีที่ดิน ภาษีมรดก 2. ภาษีทางอ้อม ( Indirect Tax )ภาษีที่ผู้เสียสามารถผลักภาระภาษีไปให้ผู้อื่นได้โดยง่าย เช่น ภาษีสินค้าเข้า ภาษีสินค้าออก ภาษีมูลค่าเพิ่ม

  26. การคลังสาธารณะ : รายรับ (ต่อ) อัตราภาษีแบ่งได้ 3 ประเภท 1. อัตราภาษีคงที่ ( flat rate ): อัตราภาษีที่จัดเก็บในอัตราที่เท่ากันโดยไม่คำนึงถึงขนาดของฐานภาษี 2. อัตราก้าวหน้า ( progressive rate ) : อัตราภาษีที่เก็บหลายอัตรโดยอัตราภาษีจะสูงขึ้นเมื่อฐานภาษีสูงขึ้น 3. อัตราถ้อยหลัง ( regressive rate ) : อัตราภาษีที่จัดเก็บหลายอัตราโดยอัตราภาษีจะต่ำลงเมื่อฐานสูงขึ้น

  27. การคลังสาธารณะ : รายรับ (ต่อ) วัตถุประสงค์ของการเก็บภาษีอากร • เพื่อจัดหารายได้ • เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อการใช้ทรัพยากรของประเทศ • เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ • เพื่อเร่งรัดความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ

  28. การคลังสาธารณะ : รายรับ (ต่อ) หลักในการจัดเก็บภาษีอากร • หลักความยุติธรรม • หลักความมีประสิทธิภาพ • หลักความแน่นอน • หลักประหยัด

  29. การคลังสาธารณะ : รายจ่าย ประมาณการรายจ่าย จำแนกรายจ่ายเป็นประเภทต่างๆ เช่น • จำแนกตามลักษณะงาน เป็นการจำแนกเป็นหมวดหมู่ตามหน้าที่งานที่รัฐบาลจะดำเนินการ เช่น การบริหาร การป้องกันประเทศ เป็นต้น • จำแนกตามลักษณะเศรษฐกิจ (เงินเดือน ดอกเบี้ย เป็นต้น) • จำแนกตามส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ • จำแนกตามแผนงาน 12 ด้าน เช่น ด้านเกษตร ด้านอุตสาหกรรม ด้านคมนาคมการวิทยาศาสตร์ การศึกษา การสาธารณสุข เป็นต้น)

  30. การคลังสาธารณะ : รายจ่าย (ต่อ) รายจ่ายของรัฐบาล

  31. การคลังสาธารณะ : รายจ่าย (ต่อ) หนี้ของรัฐบาล

  32. นโยบายการคลัง (Fiscal Policy) นโยบายของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับการจัดหารายได้ ได้แก่ การจัดเก็บ ภาษีอากร และนโยบายที่เกี่ยวกับการใช้จ่าย การก่อหนี้ และการ บริหารหนี้สาธารณะ ตัวอย่าง มาตรการของนโยบายการคลังเพื่อรักษาเสถียรภาพทาง เศรษฐกิจ เช่น การจัดเก็บภาษีในอัตราก้าวหน้า , เงินประกันสังคม , โครงการพยุงราคาสินค้าเกษตรกรรม ฯลฯ

  33. นโยบายการคลัง (ต่อ) รัฐบาลสามารถใช้นโยบายการคลังเพื่อให้มีผลกระทบต่ออุปสงค์รวม (AD) ระดับรายได้ประชาชาติ และระดับการจ้างงาน เพื่อรักษา เสถียรภาพทางเศรษฐกิจภายในและภายนอกประเทศ

  34. แบบขยายตัว แบบหดตัว นโยบายการคลัง (ต่อ) นโยบายการคลัง

  35. นโยบายการคลัง (ต่อ) นโยบายการคลังแบบขยายตัว (Expansionary fiscal policy) • ใช้ในกรณีเศรษฐกิจตกต่ำ • เครื่องมือ : เพิ่มรายจ่ายและลดอัตราภาษี • งบประมาณรายได้ < งบประมาณรายจ่าย • การใช้งบประมาณขาดดุล

  36. นโยบายการคลัง (ต่อ) นโยบายการคลังแบบหดตัว (Contractionary fiscal policy) • ใช้ในกรณีเศรษฐกิจมีการขยายตัวมากเกินไป • เครื่องมือ : ลดรายจ่ายและ เพิ่มอัตราภาษี • งบประมาณรายได้ > งบประมาณรายจ่าย • การใช้งบประมาณเกินดุล

  37. นโยบายการคลัง (ต่อ) สรุปการใช้นโยบายการคลัง

More Related