1 / 10

2.4 การย้ายถิ่น (ส่วนเพิ่ม) ทฤษฎีเลวิส เฟ และรานิส ด้วยกราฟและสมการ

2.4 การย้ายถิ่น (ส่วนเพิ่ม) ทฤษฎีเลวิส เฟ และรานิส ด้วยกราฟและสมการ ข้อสมมุติที่ใช้ในแบบจำลองคือ 1) การผลิตมีเพียง 2 ภาค คือ ภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรม 2) ผลกำไรในภาคอุตสาหกรรมจะถูกนำกลับไปลงทุนในภาคอุตสาหกรรมเท่านั้น สมมุติให้สมการการผลิต ( production function) ในภาคการเกษตร คือ

tuvya
Download Presentation

2.4 การย้ายถิ่น (ส่วนเพิ่ม) ทฤษฎีเลวิส เฟ และรานิส ด้วยกราฟและสมการ

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. 2.4 การย้ายถิ่น (ส่วนเพิ่ม) • ทฤษฎีเลวิส เฟ และรานิส ด้วยกราฟและสมการ • ข้อสมมุติที่ใช้ในแบบจำลองคือ • 1) การผลิตมีเพียง 2 ภาค คือ ภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรม • 2) ผลกำไรในภาคอุตสาหกรรมจะถูกนำกลับไปลงทุนในภาคอุตสาหกรรมเท่านั้น • สมมุติให้สมการการผลิต (production function) ในภาคการเกษตร คือ • TPA = f (KA,NA) • โดยที่ TPAคือ ผลผลิตรวมในภาคเกษตรกรรม • KAคือ ทรัพยากรจำกัดจำนวนหนึ่งในภาคเกษตรกรรม • NAคือ แรงงานในภาคการเกษตร

  2. โดยปกตินักเศรษฐศาสตร์จะสมมุติว่าอัตราค่าจ้างของแรงงานเท่ากับมูลค่าของผลผลิตส่วนเพิ่มของแรงงาน แต่ในภาคการเกษตรนั้น การจ้างงานมิได้เป็นไปตามแบบแผนการจ้างงานในตลาดแรงงานทั่ว ๆ ไป แต่ผู้ผลิตมักเป็นผู้บริโภคผลผลิตเองส่วนหนึ่ง ดังนั้นแบบจำลองจึงสมมุติว่าอัตราค่าจ้างในภาคการเกษตรถูกกำหนดด้วย WA = W*A = PA * f (KA,N) / N ถ้า VMPA < W*A WA = VMPAถ้า VMPA > = W*A VMPAคือ มูลค่าของแรงงานส่วนเพิ่ม (Value of Marginal Product) ในภาคเกษตรกรรม W*Aคือ อัตราค่าจ้างที่ระดับพอยังชีพ (subsistent wage rate) อัตราค่าจ้างในที่นี้วัดด้วยปริมาณผลผลิตในภาคเกษตร (ในแบบจำลองนี้สมมุติว่าไม่มีการใช้เงิน แต่สินค้าเกษตรถูกนำมาใช้เป็น numeraire)

  3. หากแรงงานทั้งหมด N ถูกใช้ในการผลิตสินค้าเกษตรเท่านั้นผลผลิตรวมที่ได้คือ f (KA,N) ผลผลิตรวมดังกล่าวเมื่อหารด้วย N จะได้ผลผลิตเฉลี่ย ผลผลิตเฉลี่ยใช้เป็นคำจำกัดความของอัตราค่าจ้างระดับพอยังชีพ ตราบใดที่มูลค่าของผลผลิตส่วนเพิ่มของแรงงานอยู่ต่ำกว่าระดับอัตราค่าจ้างพอยังชีพนี้ อัตราค่าจ้างในภาคการเกษตรจะเท่ากับที่ระดับพอยังชีพ แต่ถ้ามูลค่าของผลผลิตส่วนเพิ่มของแรงงานอยู่สูงกว่าระดับพอยังชีพ อัตราค่าจ้างแรงงานในภาคการเกษตรจะเท่ากับมูลค่าของผลผลิตส่วนเพิ่ม ลูวิส เฟ และรานิส ได้แบ่งขั้นตอนการเคลื่อนย้ายแรงงานจากภาคเกษตรสู่ภาคอุตสาหกรรม เป็น 3 ช่วงตามภาพดังต่อไปนี้

  4. ผลผลิตในภาคการเกษตรทั้งหมดผลผลิตในภาคการเกษตรทั้งหมด เส้น TPA OA แรงงานภาคเกษตร

  5. เส้น MPA แรงงานส่วนเพิ่มภาคการเกษตร MPL > W*a W*A MPL < W*a MPL = 0 O OA A1 A2 แรงงานภาคเกษตร

  6. อัตราค่าจ้างในภาคอุตสาหกรรมอัตราค่าจ้างในภาคอุตสาหกรรม อุปทานแรงงานในภาคอุตสาหกรรม E VMPM (K¹M) D W 'M W*A VMPM (KM ) OM A ¹1 A '2 แรงงานอุตสาหกรรม

  7. ภาพที่ 2แสดงผลผลิตส่วนเพิ่มของแรงงานในภาคการเกษตรโดยวัดจำนวนแรงงานในภาคการเกษตรจากขวาไปซ้าย ภาคที่ 3แสดงเส้นอุปสงค์และเส้นอุปทานของแรงงานในภาคอุตสาหกรรมโดยจำนวนแรงงานนี้จะวัดจากซ้ายไปขวาตามปกติ ช่วงแรก เป็นช่วงซึ่งแรงงานภาคการเกษตรมีมากกว่า OA1 ดังนั้นมูลค่าของผลผลิตส่วนเพิ่มของแรงงานในภาคการเกษตรในช่วงนี้จึงเท่ากับศูนย์ การย้ายแรงงานบางส่วนออกจากภาคการเกษตรจะไม่มีผลต่อผลผลิตในภาคการเกษตร เส้นอุปทานแรงงานในภาคอุตสาหกรรมจะเป็นเส้นที่มีความยืดหยุ่นสมบูรณ์ (perfectly elastic ) ที่ระดับอัตราค่าจ้างที่แท้จริงเท่ากับ W*A ดังนั้นการจ้างงานจะถูกกำหนดด้วยอุปสงค์ของแรงงานในภาคอุตสาหกรรมเท่านั้น ตราบใดที่ภาคอุตสาหกรรมสามารถจ่ายอัตราค่าจ้างที่ระดับพอยังชีพ ภาคอุตสาหกรรมก็สามารถดึงคนจากภาคการเกษตรได้ การดึงแรงงานดังกล่าวจะก่อให้เกิดกระแสการย้ายถิ่นจากชนบทสูเมือง

  8. ช่วงที่สอง เป็นช่วงที่ผลผลิตส่วนเพิ่มของแรงงานในภาคการเกษตรเป็นบวก แต่ยังต่ำกว่า W*A ในช่วงนี้การดึงแรงงานจากภาคการเกษตรจะมีผลทำให้ผลผลิตของเกษตรลดลง แต่ภาคอุตสาหกรรมต้องบริโภคสินค้าจากภาคการเกษตร ดังนั้น เมื่อผลผลิตในภาคการเกษตรลดลง มูลค่าเปรียบเทียบของสินค้าเกษตรต่อสินค้าอุตสาหกรรมจะสูงขึ้น ซึ่งหมายความว่าภาคอุตสาหกรรมต้องจ่ายอัตราค่าจ้างเพิ่มขึ้นจึงจะสามารถดึงแรงงานจากภาคการเกษตรมาทำงานในภาคอุตสาหกรรมได้ ดังนั้นในช่วงนี้เส้นอุปทานของแรงงานจะมีความชัดของเส้นเป็นบวก ช่วงที่สาม ผลผลิตส่วนเพิ่มของแรงงานในภาคการเกษตรสูงกว่าอัตราค่าจ้างที่ระดับพอยังชีพ การดึงแรงงานแต่ละคนจากภาคการเกษตรจะมีผลทำให้ผลผลิตภาคการเกษตรลดลงมากกว่าในช่วงที่สอง ดังนั้น มูลค่าเปรียบเทียบระหว่างสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมจะเพิ่มเร็วขึ้น เพราะฉะนั้น อัตราค่าจ้างในภาคอุตสาหกรรมจำเป็นต้องเพิ่มเร็วขึ้นจึงจะสามารถดึงดูดคนมาทำงานในภาคอุตสาหกรรมได้ ทั้งนี้เพราะนอกจากต้องเพิ่มอัตราค่าจ้างไม่ให้ต่ำกว่าอัตราค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นในภาคการเกษตรแล้ว ยังต้องให้เพิ่มเพื่อชดเชยราคาสินค้าเกษตรที่สูงขึ้นด้วย

  9. ดังนั้น เส้นอุปทานของแรงงานในภาคอุตสาหกรรมในช่วงที่สามนี้จะชันกว่าในช่วงที่สอง หรืออุปทานของแรงงานในภาคอุตสาหกรรมจะมีความยืดหยุ่นน้อยลงนั่นเอง อุปสงค์ของแรงงานในภาคนี้จะถูกกำหนดจากมูลค่าผลผลิตส่วนเพิ่มของแรงงานซึ่งถูกกำหนดด้วยระดับการสมสมทุนในภาคอุตสาหกรรม สมมุติว่า ในช่วงแรก ทุนในภาคอุตสาหกรรมคือ KM ซึ่งจะกำหนดเส้นผลผลิตส่วนเพิ่มที่ VMPM(KM) ระดับการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมจะเท่ากับ OMA'1และอัตราค่าจ้างเท่ากับ W 'M ผลผลิตทั้งหมดในภาคอุตสาหกรรมคือพื้นที่ OMEDA'1 ส่วนที่เป็นกำไรคือ EDW 'M ตามข้อสมมุติของทฤษฎี กำไรทั้งหมดนี้จะถูกนำไปลงทุนในภาคอุตสาหกรรม ดังนั้น เส้นอุปสงค์ของแรงงานเส้นใหม่ คือ MPM(K'M) ผลจากการลงทุนเพิ่มนี้จะทำให้ความต้องการแรงงานในภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นและอัตราค่าจ้างในภาคอุตสาหกรรมจะเพิ่มขึ้นด้วย

  10. ตามทฤษฎีนี้ ช่วงที่หนึ่งและช่วงที่สองจะเกิดการจ้างงานต่ำระดับ (underemployment) ในภาคเกษตร ซึ่งหมายความว่าแรงงานในภาคการเกษตรมีผลผลิตส่วนเพิ่มต่ำกว่าอัตราค่าจ้างพอยังชีพ การลงทุนในภาคอุตสาหกรรมด้วยผลกำไรที่เกิดขึ้นในภาคนั้นจะทำให้อุตสาหกรรมขยายตัวอย่างรวดเร็ว ความต้องการแรงงานในภาคอุตสาหกรรมจะค่อย ๆ ดูดซับแรงงานส่วนเกินจากภาคการเกษตร ในกระบวนการดูดซับแรงงานดังกล่าวจะก่อให้เกิดกระแสการย้ายถิ่นจากภาคการเกษตรในชนบทสู่ภาคอุตสาหกรรมในเมือง การเคลื่อนย้ายแรงงานระหว่างภาคการผลิตทั้งสองจะหมดไปก็ต่อเมื่ออัตราค่าจ้างที่แท้จริงของภาคการผลิตทั้งสองเท่ากัน ซึ่งถือว่าเป็นดุลยภาพในระยะสั้น เมื่อมีการลงทุนเพิ่มในภาคอุตสาหกรรมก็จะมีคลื่นของกระแสการย้ายถิ่นลุกใหม่เกิดขึ้น ตามแนวคิดนี้ หากอัตราเพิ่มของประชากรสูงเพียงใด ภาระการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมเพื่อดูดซับแรงงานส่วนเกินในภาคการเกษตรย่อมสูงขึ้นเพียงนั้น

More Related