1 / 76

การศึกษา ในฐานะเป็นปัจจัย กำลังอำนาจแห่งชาติ

การศึกษา ในฐานะเป็นปัจจัย กำลังอำนาจแห่งชาติ. โดย ดร.จรวยพร ธรณินทร์ กรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม ( อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และ วปอ. 43 ) หลักสูตร วปอ. 2552 วันอังคารที่ 5 มกราคม 2553

briar
Download Presentation

การศึกษา ในฐานะเป็นปัจจัย กำลังอำนาจแห่งชาติ

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. การศึกษา ในฐานะเป็นปัจจัย กำลังอำนาจแห่งชาติ โดย ดร.จรวยพร ธรณินทร์ กรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม(อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และ วปอ.43) หลักสูตร วปอ.2552วันอังคารที่ 5 มกราคม 2553 เวลา 09.00-10.20 น. ณ ห้องเรียนรวมวปอ.

  2. ประเด็นที่ 1 • การศึกษาคืออะไรกันแน่ • มีกี่ประเภท กี่ระดับ • มีปัจจัยเกี่ยวข้อง ครอบคลุมเรื่องใดบ้าง 2

  3. การศึกษาการศึกษาคืออะไรการศึกษาการศึกษาคืออะไร - “การศึกษาคือชีวิตและความเจริญงอกงาม" (John Dewey)- “การศึกษาคือ การฝึกอบรมด้านจริยธรรมและการเสริมสร้างสติปัญญาให้แก่มนุษย์ “ (Aristotle)- "การศึกษาที่ไร้ความคิดก็เป็นการเสียแรงเปล่า“(ขงจื้อ)- “กระบวนการช่วยคนวางรากฐานพัฒนาการของชีวิต ศักยภาพที่จะดำรงชีวิตและประกอบอาชีพ รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง”(สภาการศึกษา) - สรุป การศึกษา เป็นเครื่องมือพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และเป็นเครื่องชี้นำสังคม ผู้ที่ได้รับการศึกษาเป็นบุคคลที่มีคุณภาพและเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ 3

  4. ประเภทของการศึกษา • 3วิธีจัด:การศึกษาในระบบ,การศึกษานอกระบบ, และการศึกษาตามอัธยาศัย • 3วิธีให้บริการ:การศึกษาภาคบังคับ, การศึกษาขั้นพื้นฐาน, และ การอุดมศึกษา 4

  5. เป้าหมายปลายทางการศึกษาเพื่อชีวิตและตลอดชีวิตเป้าหมายปลายทางการศึกษาเพื่อชีวิตและตลอดชีวิต การศึกษาตลอดชีวิต การศึกษา ในระบบ การศึกษา นอกระบบ การศึกษา ตามอัธยาศัย ผลทำให้เกิดการเรียนรู้ เพิ่มพูนสมรรถนะ 5

  6. กระบวนการจัดการศึกษา • 1. ผู้เรียน • 2. หลักสูตรและเนื้อหาวิชา • 3. อาจารย์ผู้สอน • 4.สื่ออุปกรณ์เอกสารการเรียน การสอน • 5.การประเมินผลการสอน 6

  7. ธรรมชาติของรายวิชาที่จัดการเรียนการสอนธรรมชาติของรายวิชาที่จัดการเรียนการสอน • ภาษาฟัง พูด อ่าน เขียน สื่อสารผู้อื่น • สังคม สร้างเจตคติ ฝึกทักษะกลุ่ม • ศิลปะ ดนตรีลงมือทำ อารมณ์สุนทรียะ คิดสร้างสรรค์ • กีฬา ลงมือฝึกให้ร่างกายเคลื่อนไหว ในสถานการณ์แข่งขัน • วิทยาศาสตร์คิดเป็นกระบวนการ ทดลอง ค้นหาความจริง • ฝึกอาชีพ ลงมือฝึก รับผิดชอบ สร้างเอกลักษณ์วิชาชีพ • ปรัชญา/ศาสนา รู้เข้ม สร้างศรัทธา ให้เข้าใจชีวิตและตนเอง • เทคโนโลยี ซื้อมาใช้ เลียนแบบ ดัดแปลง สร้างเอง • คณิตศาสตร์ ทำแบบฝึกหัด ตีโจทย์ให้แตก หาเหตุผล 7

  8. กฎหมายการศึกษา • รัฐธรรมนูญพ.ศ.2550มาตรา ๔๙สิทธิการศึกษา12 ปี ที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย • สิทธิของผู้ยากไร้ ผู้พิการ • การคุ้มครองและส่งเสริมการจัดการศึกษาอบรมขององค์กรวิชาชีพหรือเอกชน การศึกษาทางเลือกของประชาชน การเรียนรู้ด้วยตนเอง และการเรียนรู้ตลอดชีวิต • กฎหมายที่เกี่ยวข้อง80 ฉบับ 8

  9. จำนวนสถานศึกษาครู/อาจารย์นักเรียน/นักศึกษาในปี 2551ภาพรวมทั้งประเทศ 9

  10. จำนวนสถานศึกษาครู/อาจารย์นักเรียน นักศึกษาในปี 2551 แยกตามสังกัดเฉพาะศธ. 10

  11. งบรายจ่ายศธ.ปี2552จำนวน 330,069ล้านบาท โครงสร้างกระทรวงศึกษาธิการ งบประมาณจำนวน (ล้านบาท) 1. สำนักงานปลัดกระทรวง 26,806 2. สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา 238 3. สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน209,167 4. สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา 6,644 5. สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา 16,869 6. หน่วยงานในกำกับฯ/องค์การมหาชน2,421 ปี2553งบศธ.345,665 ล้านบาทคิดเป็นสัดส่วน20.3ของงบทั้งประเทศเพิ่มจากปี2552 อีก54,835 ล้านบาท(1.4%) 11

  12. ขอบข่ายงานจัดการศึกษาขอบข่ายงานจัดการศึกษา 1.ครอบคลุมคนจำนวนมาก นักเรียนนักศึกษา 16 ล้านคน ผู้ปกครอง 32 ล้านคน รวม48ล้านคน 4ใน5ของประชากร 2.หลายระดับอนุบาลถึงปริญญาเอกแต่ละระดับมีวิธีจัดเฉพาะ 3.หลายหน่วยงานโครงสร้างขนาดใหญ่สถานศึกษาทุกประเภท 40,000แห่งทั้งส่วนกลางและทุกตำบล บุคลากร 720,000 คน 4.เห็นผลผลิตช้าและเป็นนามธรรมโดยใช้งบประมาณสูง 5.กระบวนการซับซ้อน มีตั้งแต่ตัวป้อน การผลิต ผลผลิต และปัญหาหลายส่วน ไม่รู้จะเน้น ป้องกัน แก้ไข เยียวยา จะทำอะไรก่อนหลัง 6.จุดอ่อนที่สุดของการศึกษาไทยอยู่ที่ 2จุด 1)คิดและทำไม่เป็น และ 2)ไม่เรียนรู้ตลอดชีวิต 12

  13. ประเด็นที่ 2 ทำไมการศึกษา คือปัจจัยกำลังอำนาจ แห่งชาติ 13

  14. การศึกษาคือปัจจัยอำนาจ เพราะ การศึกษาเป็นเครื่องมือของการพัฒนาคุณภาพคน รู้พออ่านออกเขียนได้ รู้พอทำมาหากินได้ รู้เอาตัวรอดทันผู้คนในสังคม ต้องจัดการความรู้ในองค์กร สร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ รู้ดีมากแข่งขันได้ในเวทีโลก 14

  15. การศึกษาคือปัจจัยอำนาจ เพราะ(2)เป็นเครื่องมือสร้างสังคมฐานเศรษฐกิจความรู้(Post Knowledge Based Society) 1. เอาตัวรอดอยู่อย่างยั่งยืน 2. ข้อมูลแบ่งปันอย่างเป็นธรรมเป็นธรรมในทุกเรื่อง 3. ลงทุนให้ครอบครองตลาดตอบแทนคืนกำไรสู่สังคม 4. เข้าใจและรับผิดชอบห่วงและแบ่งปัน 5. ให้มากเข้าไว้ให้จิตใจดีงาม 6. หลักใกล้ชิดอุดช่องว่างหลักเปิดกว้าง 7.ลงทุนภาคเอกชน ร่วมกันสะสมร่วมทุน 8.สิทธิทรัพย์สินทางปัญญาสังคมอุดมปัญญา 9. แลกเปลี่ยนหมุนเวียนผลัดเปลี่ยน 15

  16. 7 สิ่งที่เร่งประเทศไทยให้ต้องเป็นสังคมฐานเศรษฐกิจความรู้ : เพราะต้องแข่งขันในเวทีเศรษฐกิจโลก 1. ไทยต้องอิงเศรษฐกิจโลกจึงต้องทันโลก โดยลด หนี้สิน และสร้างการลงทุนเพื่ออนาคต 2. เร่งพัฒนาขีดความสามารถแข่งขันโดยใช้เทคโนโลยี /บุคคล /การบริหารจัดการ และโครงสร้างพื้นฐาน 3. ไทยถูกกลุ่มศักยภาพสูงกว่ากด และถูกดันโดยกลุ่มต้น ทุนต่ำ 16

  17. 7 สิ่งท้าทายประเทศไทย ( ต่อ) 4. ไทยผูกพันกับอาเซียนมากที่สุด แต่กลุ่มนี้ไม่มี อำนาจต่อรอง 5. สังคมไทยบริโภคและวัตถุนิยม เป็นผู้ซื้อมากกว่า เป็นผู้ผลิตและผู้พัฒนา 6. ธุรกิจขนาดใหญ่อยู่ในมือชาวต่างชาติ เงินไหลออก 7. สถานการณ์การเมืองไทยไม่เอื้อต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ 17

  18. การศึกษาปัจจัยอำนาจ เพราะ(3)เป็นการลงทุนสร้างกำลังคนให้ตรงความต้องการของชาติทั้งในปัจจุบันและอนาคต 1. ต้องการกำลังคนในสายอาชีวศึกษา 2. ต้องการการผลิตสายวิชาชีพที่มีทักษะทำงานได้ มากกว่าความรู้ในห้อง 3. ต้องการคนรอบรู้เรียนรู้ตลอดชีวิต 4. ต้องการคนที่รักวัฒนธรรม ศิลปะ ดนตรี สุนทรียะไทย 5. ต้องการมาตรฐานการศึกษาทัดเทียมทั้งในเมืองและชนบท 6. ต้องการให้ครอบครัวมีส่วนร่วมสนับสนุน 18

  19. การศึกษาปัจจัยอำนาจ เพราะ(4)เป็นการสร้างประชาธิปไตยและสันติภาพ นักเรียนนักศึกษาอายุ18ปีขึ้นไป ครู ผู้ปกครอง มีสิทธิในการเลือกตั้งผู้แทน ความสุขมวลรวมของประชาชนมาจากสังคมคุณภาพชีวิตดีมีสัมมาชีพ ซึ่งเป็นผลผลิตจากการศึกษาที่ดี การศึกษาสอนสิทธิหน้าที่และการเป็นพลเมืองดี 19

  20. ประเด็นที่ 3 เคยมีปรากฏการณ์ในความพยายามสร้างปัจจัยอำนาจทางการศึกษามาแล้วอย่างไร 20

  21. ความพยายามสร้างปัจจัยอำนาจทางการศึกษา : สิ่งที่ได้เกิดแล้ว (1)ได้ปฏิรูปการศึกษามาแล้ว 2 ครั้งใหญ่ สมัยแรกในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 และสมัยที่สองในปี 2542 (2)สิ่งเปลี่ยนไปที่เห็นชัดคือโครงสร้างและระบบบริหารราชการใหม่ที่กระทรวงศึกษาธิการประกาศใช้เมื่อประเทศไทยได้ปฏิรูประบบราชการครั้งใหญ่ในปี2546 (3)การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ก้าวหน้ามากในภาคเอกชน และกลายเป็นตัวเร่งภาครัฐ ให้ต้องปรับตัวตาม โดยใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือ 21

  22. ความพยายามสร้างปัจจัยอำนาจทางการศึกษา:สิ่งที่ได้เกิดแล้วความพยายามสร้างปัจจัยอำนาจทางการศึกษา:สิ่งที่ได้เกิดแล้ว (4) มีการนำเครื่องมือและแนวคิดใหม่ของการจัดการธุรกิจ มาใช้พัฒนาการจัดการศึกษา และ ทรัพยากรมนุษย์ เช่น Road Map Strategic Planning, Balanced Score Card, Best Practices, Bench Marking, Key Performance Indicators, Corporate Social Response, หลักเศรษฐกิจพอเพียง 22

  23. ความพยายามสร้างปัจจัยอำนาจทางการศึกษา:สิ่งที่ได้เกิดแล้วความพยายามสร้างปัจจัยอำนาจทางการศึกษา:สิ่งที่ได้เกิดแล้ว (5) ยังคงต้องอิงกฎหมาย หลายฉบับ ซึ่งกลับเป็น ตัวสร้างประเด็นปัญหา เช่น มหาวิทยาลัยออกนอกระบบ ขอแยกมัธยมออกจากประถมในระบบการศึกษาขั้นพื้นฐาน (6) การเรียนรู้ด้วยตนเองที่หวังจะได้จากปรับการเรียน เปลี่ยนการสอน/ความสนใจฝึกอาชีพ ยังไม่เห็นผลจริงจัง 23

  24. ประเด็นที่ 4 เมื่อประเมินปัจจัยอำนาจของการศึกษาของไทยแล้ว ผลเป็นอย่างไร 24

  25. 1.ใช้ดัชนีIMD จัดอันดับความสามารถการแข่งขัน ของประเทศไทยใน ปี 2547-2552 ปัจจัยหลัก 2547 2548 2549 2550 2551 2552 1.สมรรถนะเศรษฐกิจ 9 7 19 15 12 14 2.ประสิทธิภาพภาครัฐ 20 14 20 27 22 17 3.ประสิทธิภาพภาคธุรกิจ 21 25 25 34 25 25 4.โครงสร้างพื้นฐาน 42 39 42 48 39 42 อันดับโดยรวม 26 25 29 33 27 26 จำนวนประเทศ 51 51 53 55 55 52 สมรรถนะการศึกษา 48 46 48 4643 47 *สมรรถนะการศึกษา รวมอยู่ในปัจจัยที่4.โครงสร้างพื้นฐาน พบว่าปรับตัวล่าช้าและยังอยู่กลุ่มครึ่งหลังและรั้งท้าย 25

  26. 2. วัดจากคะแนน"คณิต-วิทย์"TIMSS ปีล่าสุด 2550พบเด็กไทยเรียนหนักมากเป็นที่2ของโลก แต่อ่อน"คณิต-วิทย์" ได้ต่ำกว่าคะแนนเฉลี่ยนานาชาติ(มติชน 10 ธ.ค.51) ผลวิจัย Trends in International Mathematics and Science Study2007, TIMSS - 2007)โดยสมาคมการประเมินผลนานาชาติ (The International Association forEvaluation of Educational Achievement) ได้ประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ม.2 ในช่วงปี 2547-2551จำนวน59ประเทศ และประเมินทุก 4 ปี คณิตศาสตร์ไทยอยู่ในลำดับ 29 ส่วนวิชาวิทยาศาสตร์ไทยลำดับ 21 26

  27. ปิรามิดหัวกลับ(สหรัฐอเมริกา)ปิรามิดหัวกลับ(สหรัฐอเมริกา) รูปเพชรเอเชียตะวันออก ปัจจุบัน รูปปิรามิด(ประเทศส่วนใหญ่, circa 1960) ฐานแคบลง เอเชียตะวันออก 1980s) งบอุดมศึกษามากกว่ามัธยม(ไทย) 3.World Bankวัดจากลักษณะการกระจายงบประมาณพบไทยไปทุ่มงบอุดมศึกษามากกว่ามัธยม • ประเทศส่วนใหญ่จะจัดสรรงบการศึกษาขั้นพื้นฐานมากกว่าระดับอื่นๆ อุดมศึกษา มัธยม ประถม ที่มา: World bank 2003 27

  28. 4. ธนาคารแห่งประเทศไทยประเมินประเทศไทย ในปี2549 พบว่า: การศึกษาคือจุดอ่อนของประเทศไทย ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ) สรุปงานสัมมนาประจำปี 2549 ของธปท.ในหัวข้อ “ประเทศไทยกับการก้าวสู่เศรษฐกิจเอเชียยุคใหม่ ” (จากข้อมูลร่วมกับธนาคารโลก) **จุดอ่อนที่สุดของประเทศไทยคือด้านการศึกษา ส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันและการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศไทย 28

  29. 5.ศ.วิจิตร ศรีสะอ้าน ในฐานะประธานคณะปฏิรูปฯ สรุปผลสำเร็จ10ปีปฏิรูปการศึกษาไทยปี2542 ถึง2550 1.มีหลักประกันด้านเจตจำนงของรัฐให้การศึกษาขั้นพื้นฐาน บรรจุในรัฐธรรมนูญและพ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติพ.ศ.2542 2.ทุกพรรคการเมืองมีนโยบายส่งเสริมการศึกษาให้เกิดความหวังปัจจัยเกื้อกูล 3.ประชาชนมีส่วนร่วมเรียกร้องให้จัดมีประสิทธิภาพเช่นการสอบ O-Net ให้ครอบคลุม 8 กลุ่มสาระ 4.ด้านภาวะผู้นำของผู้บริหารและครูออกมาขับเคลื่อนการทำงานให้เป็นวาระแห่งชาติ 5.ปัจจัยการบริหาร ได้รับงบอันดับ 1 ของประเทศติดต่อมาทุกปี 29

  30. 5.รมว.ศธ.วิจิตรสรุปผลสำเร็จ10ปีของการปฏิรูปการศึกษา ปี2550 (ต่อ) 6. ความก้าวหน้าของการปฏิรูปการศึกษาที่ชัดเจนมากที่สุดคือ มีระบบการประเมินคุณภาพการศึกษาทั้งภายในและภายนอก ใช้อ้างอิง ตอบสนองต่อสภาพปัญหาทางการศึกษา และเป็นเครื่องมือกำหนดนโยบาย เน้นการปฏิรูปการเรียนรู้และการกระจายอำนาจ ซึ่งยึดสถานศึกษาเป็นฐาน และไม่ต้องการให้ สมศ. มองข้ามสถานศึกษา เพราะผลของสถานศึกษาเกิดที่สถานศึกษา ศธ.และหน่วยงานที่ทำหน้าที่สนับสนุนเล็กลง 30

  31. 6.งานวิจัยสภาการศึกษา ชี้สภาวะการศึกษาไทยล่าสุด ปี2550- 2551 มีปัญหาทั้ง”คุณภาพ-ปริมาณ”(มติชน 1 กันยายน 2551) มอบวิทยากร เชียงกุล วิจัย เรื่อง "สภาวะการศึกษาไทย ปี 2550/2551ปัญหาความเสมอภาค และคุณภาพของการศึกษาไทย" สรุปภาพรวมการศึกษาไทย ยังมีปัญหาทั้งปริมาณ และคุณภาพ 1. พบว่าประชากรในวัยเรียน 3-17 ปี มีโอกาสได้รับการศึกษาเป็นสัดส่วนต่อประชากรสูงขึ้นจาก 85.31% ในปีการศึกษา 2549 เป็น 88.77% ในปี 2551 31

  32. 6. ชี้สภาวะการศึกษาไทยปี 2550-2551 (วิทยากร เชียงกูล) 2. จำนวนประชากรวัย 3-17 ปี ที่หายไปไม่ได้เรียนในปี 2551 สูงถึง 11.23%หรือ 1.6 ล้านคน ของประชากรวัยเดียวกัน ทั้งที่กฎหมายกำหนดให้รัฐบาลจัดการศึกษาภาคบังคับ9 ปี แสดงว่ามีเด็กไม่ได้เข้าเรียน และออกกลางคัน ไม่ได้เรียนต่อในช่วงชั้นต่างๆ มาก ข้อมูลออกกลางคันปี 2550 ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) พบว่า มีนักเรียนออกกลางคันในทุกระดับชั้นรวม 1.19 แสนคน หรือ 1.4% 32

  33. 6. ชี้สภาวะการศึกษาไทยปี 2550-51(วิทยากร เชียงกูล) 3.จำนวนนักศึกษาปริญญาตรีในปี2549-2550 มีประมาณ 2.4 ล้านคน ปริญญาโท 1.8 แสนคน และปริญญาเอก 16,305 คน จบปริญญาตรี ปีละ 2.7 แสนคน ว่างงานปีละ 1 แสนคน จุดนี้ทำให้ผู้เรียนระดับต่ำกว่าปริญญาตรีในปี2550ลดลง เพราะสถาบันการศึกษาส่วนใหญ่ขยายการเรียนระดับปริญญาตรี และสูงกว่ามากขึ้น เนื่องจากนิยมเรียนให้ได้ปริญญา 33

  34. 6.ชี้สภาวะการศึกษาไทยปี 2550-2551(วิทยากร เชียงกูล) 4. การพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษา จากการจัดอันดับความสามารถทางการแข่งขันกับประเทศ อันดับของไทยมีแนวโน้มต่ำลงมาตลอด(IMD) ปัจจัยที่เป็นตัวฉุดคือ ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐานทางด้านการศึกษา และการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ จากการประเมินของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) ที่ผ่านมา มีปัญหาเรื่องมาตรฐานครู ด้านความสามารถในการจัดการเรียนการสอนอย่างมีประสิทธิภาพ และการเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ พบว่า สถานศึกษามีคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 34.2 หรืออยู่ในเกณฑ์ต้องปรับปรุง 34

  35. 6. ชี้สภาวะการศึกษาไทยปี 2550-2551(วิทยากร เชียงกูล) ข้อเสนอแนะการพัฒนาการศึกษาไทย 1. ต้องจัดการศึกษาให้ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ ให้เรียนรู้ใหม่ปรับตัวใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข และสร้างสรรค์ จำนวนประชากรไทยจะเพิ่มในอนาคต โครงสร้างอายุจะเปลี่ยนไป คือ มีผู้สูงอายุเกิน 60 ปี เป็นสัดส่วนสูงขึ้น สัดส่วนคนวัยทำงาน และวัยเด็กลดลง เศรษฐกิจ และสภาพแวดล้อมโลกมีปัญหามากขึ้น ต้องจัดการศึกษา แบบเน้นคุณภาพ เข้าใจปัญหา และรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้ดียิ่งขึ้น 35

  36. 6.ข้อเสนอแนะสภาวะการศึกษาไทยปี 2550-51(วิทยากร เชียงกูล) 2. ควรลดขนาดโครงสร้างการบริหารการศึกษา 3. ลดบทบาทของการบริหารแบบรวมศูนย์อยู่ที่รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และส่วนกลาง 4. กระจายอำนาจ ให้มีการบริหารแบบใช้ปัญญารวมหมู่ 5. ปฏิรูปการจัดสรร และการใช้งบประมาณให้เป็นธรรม 36

  37. 6.ข้อเสนอแนะสภาวะการศึกษาไทยปี2550-2551(วิทยากร เชียงกูล) 6. ปฏิรูปด้านคุณภาพประสิทธิภาพ และคุณธรรม ของครูอาจารย์ 7. เปลี่ยนแปลงวิธีวัดผลสอบแข่งขัน และการคัดเลือกคนเข้าเรียนมหาวิทยาลัยรัฐ 8. ปฏิวัติการศึกษา โดยสร้างความเสมอภาค โดยเฉพาะต้องทุ่มงบฯพัฒนาเด็กปฐมวัย ไม่ใช่ทุ่มงบฯ กับโครงการเมกะโปรเจ็คต์ 37

  38. 7. สวนดุสิตโพลล์ สำรวจปัญหาอุปสรรค ของการศึกษาขั้นพื้นฐาน(8 กันยายน 2551) ระดับชั้นอนุบาล 1.สื่อวัสดุอุปกรณ์การเรียนการสอนไม่เพียงพอ 2. เด็กยังเล็กไม่สามารถดูแลตัวเองได้ 3. ครูมีน้อยไม่สามารถดูแลเด็กได้อย่างเต็มที่ 4. ศักยภาพของครูผู้สอนและการเตรียมพร้อมใน การสอนของครู 5. การเรียนรู้พัฒนาการของเด็กแต่ละคนแตกต่างกัน 38

  39. 7. สวนดุสิตโพลล์ สำรวจปัญหาอุปสรรคของการศึกษาขั้นพื้นฐาน (8 กันยายน 2551) ระดับชั้นประถมศึกษา 1.ศักยภาพของแต่ละโรงเรียนแตกต่างกัน และขาดความพร้อมด้านเครื่องมืออุปกรณ์ และเทคโนโลยีที่ทันสมัย 2. เด็กขาดความกระตือรือร้น ไม่ให้ความสำคัญในการเรียน ปัญหาเรื่องเด็กขาดทักษะ คิดไม่เป็น และไม่รู้จักเรียนรู้ด้วยตนเอง 3. ครูไม่มีเวลาดูแลเด็กได้เต็มที่ และภาระงานมีมาก 4. วุฒิการศึกษาและความรู้ความสามารถของครูผู้สอนไม่ตรงกับวิชาที่สอน 39

  40. 7. สวนดุสิตโพลล์ระดับชั้นมัธยมศึกษา(8กันยายน2551) 1.เด็กไม่ตั้งใจเรียน ขาดความสนใจ และสมาธิในการเรียนมีน้อย 2.หลักสูตรการเรียนการสอนไม่เหมาะสม กับวัยของเด็ก 3.สื่อ อุปกรณ์การเรียนการสอนไม่เพียงพอ 4. สภาพสังคม และสื่อต่างๆ ที่มอมเมาเยาวชนจากสิ่งแวดล้อมรอบข้าง 5. เด็กสนใจกิจกรรมมากเกินไปจนไม่มีเวลาทบทวนบทเรียน 40

  41. 7. สวนดุสิตโพล เรื่องเร่งด่วนที่ควรแก้ไข (8 กันยายน 2551) อันดับ1 ควรปรับปรุงหลักสูตรการเรียน การสอนให้เหมาะสมกับวัยของเด็ก 2. ต้องเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ และเปิดโอกาสให้เด็กมีส่วนร่วมและแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ 3. ควรมีสื่อการเรียนการสอนเพียงพอเหมาะสมกับวิชาที่เรียน 4. สร้างพื้นฐานคุณธรรม เริ่มต้นจากครอบครัว ปลูกฝังให้เด็กรักการเรียนการอ่านตั้งแต่วัยเยาว์ และสอดแทรกคุณธรรม จริยธรรม ให้มากขึ้น 41

  42. 8. เวทีอภิปราย“อุดมศึกษา : ทางรอดแห่งวิกฤติของสังคมไทย”จัดโดยที่ประชุมประธานสภาอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย(คมชัดลึก8 กย.51) 1. จำนวนสถาบันอุดมศึกษาไทยมีมากถึง260 สถาบัน ทำให้แย่งนักศึกษาเข้าเรียน ส่งผลต่อคุณภาพลดลง 2. ตัวชี้วัดหนึ่งที่สะท้อนถึงคุณภาพอุดมศึกษาไทยคือ ไม่ติดอันดับ1ใน500ของโลก(ปี2552 จุฬาติดลำดับ138) ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ สกอ.ควบคุมคุณภาพไม่ได้ แต่ละมหาวิทยาลัยมีพ.ร.บ.ของตนเอง กระบวนการได้มาซึ่งผู้บริหารมหาวิทยาลัย เป็นระบบของอาจารย์เลือกคณบดี คณบดีเลือกอธิการบดี และอธิการบดีเลือกสภามหาวิทยาลัย จึงอนุมัติได้ง่าย 42

  43. 8. เวที“อุดมศึกษา : ทางรอดแห่งวิกฤติของสังคมไทย”(ต่อ) 3. อาชีวศึกษาจะเปิดสอนระดับปริญญาตรีอีกกว่า 480 แห่ง 4. น่าห่วงถึงวิกฤติอุดมศึกษาไทย ดูจากโฆษณาว่า “จ่ายครบ จบแน่” รวมถึงการเปิดศูนย์การศึกษามากมาย 5. การประเมินของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา(สมศ.)รอบ 3 ในอีก 5 ปีข้างหน้า ควรจัดลำดับสถาบันไหนคุณภาพดี เพื่อเชื่อมโยงกับการจัดสรรงบประมาณ 43

  44. 8. เวที“อุดมศึกษา : ทางรอดแห่งวิกฤติของสังคมไทย” 6. แต่ละคณะจัดการเรียนการสอนแต่สิ่งที่เคยสอนในอดีต ไม่คำนึงถึงการปรับเปลี่ยนเข้าสู่สภาพความเป็นจริงของโลกปัจจุบัน 7. รอยต่อระหว่างสถานศึกษาขั้นพื้นฐานกับอุดมศึกษาไม่เชื่อมโยงกัน ส่งผลต่อคุณภาพบัณฑิต 8. ต้องสร้างนักศึกษาให้มีภูมิต้านทานความคิด เวลานี้นักศึกษาถูกชี้นำไปในทางที่ไม่รู้จักคิดอย่างมีเหตุและผล 44

  45. 9.อาการป่วย10อย่างที่ต้องผ่าตัดใหญ่การศึกษาไทย(โดย ภาวิช ทองโรจน์อดีตเลขาธิการสกอ.มติชน13พ.ย.2551) 1.คุณภาพการศึกษาพื้นฐานตกต่ำ: ต้องปฏิรูปการเรียนรู้ -สมศ.หรือผลการทดสอบการศึกษาระดับชาติ (NT) ต่างพบนักเรียนไทยส่วนใหญ่มีความรู้ต่ำกว่ามาตรฐาน 2.ปัญหาของการปฏิรูปโครงสร้าง -มีปลัดกระทรวงถึง 5 คน -โรงเรียนถูกถ่ายโอนจากโครงสร้างรูปแบบกรมแบบเดิม ไปสังกัดเขตพื้นที่ 45

  46. 9. อาการป่วย10อย่างที่ต้องผ่าตัดใหญ่การศึกษาไทย(โดย ภาวิช ทองโรจน์มติชน13พ.ย.2551) 3.ปัญหาของครู -วิชาชีพครู ตกต่ำ ผลิตครูมากถึงปีละ12,000 คน ในขณะที่อัตราบรรจุครูใหม่ในแต่ละปีมีเพียง 3,000-4,000 คน - ขาดแคลนครูในสาขา วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และภาษา -ครูเป็นหนี้ เพราะโครงสร้างเงินเดือนในระบบราชการที่โบราณ 4.ขาดแคลนบัณฑิต แต่บัณฑิตที่มีอยู่ก็ยังตกงาน - ขาดแคลนกำลังคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอุตสาหกรรม 46

  47. 9. อาการป่วย10อย่างที่ทำให้ต้องผ่าตัดใหญ่การศึกษาไทย(โดย ภาวิช ทองโรจน์มติชน13พ.ย.2551) 5.ปัญหาของอาชีวศึกษา - ความนิยมที่ตกต่ำ ปัญหาด้านคุณภาพ วัฒนธรรมแปลกที่ไม่พบในที่ใดในโลก คือ ยกพวกตีกัน - กำลังจะมี "สถาบันอาชีวศึกษา" ในสถานภาพของอุดมศึกษาเต็มรูปแบบเกิดขึ้นอีก ทั้งที่ประเทศไทยมีอุปทานด้านอุดมศึกษามากกว่าอุปสงค์ 47

  48. 9. อาการป่วย10อย่างที่ทำให้ต้องผ่าตัดใหญ่การศึกษาไทย(โดย ภาวิช ทองโรจน์มติชน13พ.ย.2551) 6.วิทยาลัยชุมชน - เดิมจะผนวกอาชีวศึกษาชั้นต้นให้เป็นส่วนของการศึกษาขั้นพื้นฐาน และให้อาชีวะชั้นสูงรวมเป็นส่วนของอุดมศึกษา คือไม่ต้องมีแท่งอาชีวะ จึงคิดสร้างวิทยาลัยชุมชน - แต่แล้วอาชีวศึกษายังคงอยู่ จัดโครงสร้างเป็นองค์กรหลัก แยกออกจากการศึกษาขั้นพื้นฐานและอุดมศึกษา วิทยาลัยชุมชนที่ได้เกิดขึ้นมาแล้ว รวม 20 แห่ง - ความไม่ชัดเจนของสถานภาพ และพันธกิจที่มีบางส่วนซ้ำซ้อนกับอาชีวศึกษา ยังมีความคาดหวังของชุมชนที่คิดว่ามีอุดมศึกษาอยู่ในพื้นที่ และอาจมีโอกาสพัฒนาขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยในที่สุด 48

  49. 9. อาการป่วย10อย่างที่ต้องผ่าตัดใหญ่การศึกษาไทย(โดย ภาวิช ทองโรจน์มติชน13พ.ย.2551) • 7.ปริญญาเฟ้อ "ไร้ทิศทาง ซ้ำซ้อน ขาดคุณภาพ ขาดประสิทธิภาพ" -20ปีที่ผ่านมา คนไทยเข้าสู่ระบบอุดมศึกษาต่ำเพียง 14% ของจำนวนประชากรวัยอุดมศึกษา ปัจจุบันมีสถาบันอุดมศึกษา255 แห่ง โอกาสเข้าสู่อุดมศึกษาจึงเปลี่ยนไป เป็นใกล้ 50% • 8.การขาดวิจัยและพัฒนา ขาดนวัตกรรม และปัญหาความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรม“ -ปี 2548 อาจารย์50,000 คน ตีพิมพ์ผลงานวิจัยเพียง 2,000 ฉบับ ในจำนวนนี้ 90% เกิดมาจากมหาวิทยาลัยเพียง 8 แห่ง เฉลี่ยตีพิมพ์เพียงคนละ 0.12 บทความ • ถ้าเปรียบเทียบประเทศอื่น อาจารย์จะตีพิมพ์คนละไม่ต่ำกว่า 2 ฉบับต่อปี มากกว่าที่ดีที่สุดของไทย ถึง 20 เท่า 49

  50. 9. อาการป่วย10อย่างที่ต้องผ่าตัดใหญ่การศึกษาไทย(โดย ภาวิช ทองโรจน์มติชน13พ.ย.2551) 9.การปฏิรูปการเงินเพื่อการอุดมศึกษา -ข้อจำกัดของการจัดสรรทรัพยากรที่ไม่เหมาะสม และไม่เป็นธรรม -มหาวิทยาลัยที่ได้งบประมาณน้อยที่สุดได้50 ล้านบาท ในขณะที่มหาวิทยาลัยที่ได้มากที่สุด ได้เกิน 5,000 ล้านบาท -ความต่างกันมากระหว่างมหาวิทยาลัยของรัฐ และของเอกชน 10.เทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา -สารสนเทศที่ใช้ในการศึกษาไทยใช้คอมพิวเตอร์เพียง43เครื่องต่อประชากร1,000 คน ญี่ปุ่นใช้ 477 เครื่อง เกาหลีใต้ 324 เครื่อง ไต้หวัน 314 เครื่อง และมาเลเซีย 137 เครื่อง -ขาดแคลนแหล่งเรียนรู้โดยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ แบบอีเลิร์นนิ่ง (e-learning) 50

More Related