1 / 20

การเชื่อมต่อเครือข่าย ( Line Configuration) คืออะไร

การเชื่อมต่อเครือข่าย ( Line Configuration) คืออะไร.

ruby
Download Presentation

การเชื่อมต่อเครือข่าย ( Line Configuration) คืออะไร

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. การเชื่อมต่อเครือข่าย (Line Configuration) คืออะไร การเชื่อมต่อเครือข่ายในปัจจุบันเครื่องคอมพิวเตอร์ได้มีการเชื่อมต่อเครือข่ายในลักษณะรูปแบบของการแบ่งพื้นที่ได้ 3 แบบ ได้แก่ LAN(Local Area Network),WAN(Wide Area Network), Internet . และได้มีการพัฒนาสถาปัตยกรรมซอฟต์แวร์ Client/Server โดยได้รับการออกแบบแบ่งเป็น 2 ส่วน คือส่วนที่ให้บริการ (Server) และส่วนที่ผู้ใช้บริการ (Client.) โดยผู้ใช้ข้อมูลจะมีซอฟต์แวร์ในการติดต่อไปยังผู้ให้บริการ Server ก็จะตอบสนองโดยการดูความต้องการของผู้ใช้ว่าต้องการอะไรเมื่อดำเนินการประมวลผลดังรูป

  2. ระบบ Client/Server ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบสนองแนวคิดการ Downsizing เป็นการลดค่าใช้จ่ายระบบ Time Sharing ของเครื่อง Mainframe ซึ่งระบบ Client/Server เป็นระบบประมวลแบบกระจาย (Distributed Processing) โดยจะแบ่งการประมวลผลระหว่าง Client และ Server โปรแกรมประยุกต์ (Application Program) จะประมวลผลบางส่วนที่ Client .และบางส่วนก็ประมวลที่server ที่มา: http://dit.dru.ac.th/home/023/network/connect.html

  3. รูปแบบการเชื่อมต่อเครือข่าย (Topologies) คืออะไร • เราสามารถแบ่งรูปแบบการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ออกได้เป็น 4 รูปแบบ หลักๆ ได้แก่ • แบบ BUS • แบบ Ring • แบบ Star • แบบ Hybrid โดยมีรายละเอียดการเชื่อมต่อในแบบต่างๆดังนี้

  4. แบบ BUS • •จะมีสายสัญญาณหลัก 1 เส้น • •เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องทั้งที่เป็นแม่ข่ายและลูกข่ายจะต้องเชื่อมต่อกับสายเคเบิ้ลหลักเส้นนี้ โดยเครื่องคอมพิวเตอร์จะถูกมองเป็น Node เมื่อเครื่องลูกข่ายเครื่องที่หนึ่ง (Node A) ต้องการส่งข้อมูลให้กับเครื่องลูกข่ายเครื่องที่สอง (Node C) จะต้องส่งข้อมูล และแอดเดรสของ Node C ลงไปบนบัสสายเคเบิ้ลนี้ เมื่อเครื่องลูกข่ายเครื่องที่สอง (Node C) ได้รับข้อมูลแล้วจะนำข้อมูลไปใช้งานต่อตามต้องการ

  5. แบบ Ring • การเชื่อมต่อแบบวงแหวน • เป็นการเชื่อมต่อจากเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่งวนจนครบเป็นวงจร • ในการส่งข้อมูลจะส่งออกที่สายสัญญาณวงแหวน โดยจะเป็นการส่งผ่านจากเครื่องหนึ่งไปอีกเครื่องหนึ่งจนกว่าจะถึงเครื่องปลายทาง • ปัญหาของโครงสร้างแบบนี้คือ ถ้าหากมีสายขาดในส่วนใดจะทำ ให้ไม่สามารถส่งข้อมูลได้ • ระบบ Ring มีการใช้งานบนเครื่องตระกูล IBM กันมาก • เป็นเครื่องข่ายแบบ Token Ring ซึ่งจะใช้รับส่งข้อมูลระหว่างเครื่องมินิ หรือเมนเฟรมของ IBM กับเครื่องลูกข่ายบนระบบ

  6. แบบ Star • การเชื่อมต่อแบบสตาร์นี้จะใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า Hub เป็นศูนย์กลางในการเชื่อมต่อ • เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะต้องเชื่อมต่อผ่าน Hub • สายเคเบิ้ลที่ใช้ส่วนมากจะเป้น UTP และ Fiber Optic • ในการส่งข้อมูล Hub จะเป็นเสมือนตัวทวนสัญญาณ (Repeater) • ปัจจุบันมักใช้ Switch เป็นอุปกรณ์ในการเชื่อมต่อแทน Hub เนื่องจากมีประสิทธิภาพการทำงานที่สูงกว่า

  7. แบบ Hybrid • เป็นการเชื่อมต่อที่ผสมผสานเครือข่ายย่อยๆ หลายส่วนมารวมเข้าด้วยกัน เช่น นำเอาเครือข่ายระบบ Bus, ระบบ Ring และ ระบบ Star มาเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน • เหมาะสำหรับบางหน่วยงานที่มีเครือข่ายเก่าและใหม่ให้สามารถทำงานร่วมกันได้ • ระบบ Hybrid Network นี้จะมีโครงสร้างแบบ Hierarchical หรือ Tree ที่มีลำดับชั้นในการทำงาน ที่มา : http://www.thaiipcamera.com/network/50-info/552-lantopology.html

  8. ส่วนประกอบของเครือข่ายท้องถิ่น (LAN Components) ประกอบด้วยอะไรบ้าง • 1. Server เป็น PC ที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูลทุก ๆ User โปรแกรมที่ใช้ในการทำงาน รวมทั้งโปรแกรมที่ใช้ในการควบคุมระบบ LAN ด้วย (Operating System นั้นมีหลายชนิด แต่ถ้านำเอา PC ทั่วไปมาใช้เป็น File Server จะเรียกว่า File Server User จะใช้ Server ในงานปกติ แบบ PC ทั่วไปไม่ได้ • 2. Workstation เป็น PC ที่มีไว้ให้ User ทำงานโดย Workstation จะเรียกใช้ข้อมูลและโปรแกรมจาก Server โดยผ่านทางสาย Cable ที่ใช้ต่อ ในระบบ LAN Workstation และ Diskless Workstation • 3. Network Communication System หรือ ระบบการรับส่งข้อมูลภายในระบบ Network นั้นเอง มีหลายแบบ เช่น แบบเส้นตรง (Bus) แบบดาวกระจาย (Star) แบบวงกลม (RING) ในปัจจุบันมีการพัฒนารูปแบบใหม่ ๆ ออกมาด้วย เช่น ATM และ FDDI เป็นต้น

  9. 4. Network Operating System หรือโปรแกรมที่ใช้ในการควบคุมการทำงานของระบบ LAN (Operating System) ที่นิยมใช้กันก็คือ Netware ซึ่งปัจจุบันมีทั้งรุ่น 3,12 และ 4,1 1แต่ละรุ่นมีให้เลือกหลายแบบตามจำนวน User ที่ใช้งานในระบบ จากส่วนประกอบข้างต้น สามารถแบ่งออกเป็นองค์ประกอบย่อย ๆ ที่สำคัญสำหรับระบบ เครือข่ายท้องถิ่น LAN เป็นส่วน ๆ ได้ดังนี้ • 1. ฮาร์ดแวร์ • 2. สายสื่อสาร • 3. LAN ซอฟแวร์ • 4. รูปแบบการเชื่อมโยงเครือข่าย หรือโทโปโลยี (Topology) • 5. เทคนิคการส่งสัญญาณ • 6.LAN Protocol ที่มา: http://images.kittal.multiply.multiplycontent.com/attachment/0/RqazuQoKCnIAACFihGE1/%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%A7% E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87% E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%82% E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B9%89% E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%96%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99.doc?nmid=51066657

  10. อุปกรณ์สำหรับเชื่อมต่อเครือข่ายประกอบด้วยอะไรบ้างอุปกรณ์สำหรับเชื่อมต่อเครือข่ายประกอบด้วยอะไรบ้าง • เครื่องทวนซ้ำสัญญาณ (Repeater) เป็นอุปกรณ์ที่ทำงานอยู่ในระดับ Physical Layer ใน OSI Model มีหน้าที่เป็นอุปกรณ์เชื่อมต่อสำหรับขยายสัญญาณให้กับเครือข่าย และไม่รู้จักลักษณะของข้อมูลที่แฝงมากับสัญญาณเลย

  11. บริดจ์ (Bridge) ใช้ในการเชื่อมต่อ วงแลน (LAN Segments)เข้าด้วยกัน ทำให้สามารถขยายขอบเขตของ LAN ออกไปได้เรื่อย ๆ โดยที่ประสิทธิภาพรวมของระบบไม่ลดลงมากนัก เนื่องจากการติดต่อของเครื่องที่อยู่ในเซกเมนต์เดียวกัน จะไม่ถูกส่งผ่านบริดจ์ไปรบกวนการจราจรของเซกเมนต์อื่น และเนื่องจากบริดจ์เป็นอุปกรณ์ที่ทำงานอยู่ระดับ Data Link Layer ใน OSI Modelทำให้สามารถใช้ในการเชื่อมต่อเครือข่ายที่แตกต่างกันระดับ Physical และ Data Link ได้ เช่น ระหว่าง Ethernet กับ Token Rink เป็นต้น ซึ่งอาจเชื่อมต่อระหว่าง LAN ที่อยู่บริเวณเดียวกันหรือเชื่อม LAN ที่อยู่ ห่างกันผ่านทางสื่อสาธารณะ เช่น สายโทรศัพท์ด้วย บริดจ์ระยะไกล (Remote Bridge)โดยบริดจ์อาจเป็นได้ทั้งฮาร์ดแวร์เฉพาะ หรือซอฟต์แวร์บนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่กำหนดให้เป็นบริดจ์ก็ได้

  12. สวิตซ์ (Switch) หรือที่นิยมเรียกว่า อีเธอร์เนตสวิตซ์ (Ethernet Switch) จะเป็น บริดจ์แบบหลายช่องทาง (multiport bridge) ที่นิยมใช้ในระบบเครือข่ายแลนแบบ Ethernetเพื่อใช้เชื่อมต่อเครือข่ายหลาย ๆ เครือข่าย (segment) เข้าด้วยกัน สวิตซ์จะช่วยละการจราจรระหว่างเครือข่ายที่ไม่จำเป็น (ตามคุณสมบัติของบริดจ์) และเนื่องจากการเชื่อมต่อแต่ละช่องทางการะทำอยู่ภายในตัวสวิตซ์เอง ทำให้สามารถทำการแลกเปลี่ยนข้อมูลในแต่ละเครือข่าย (Switching) ได้อย่างรวดเร็วกว่าการใช้บริดจ์จำนวนหลาย ๆ ตัวเชื่อมต่อกัน นอกจากนี้ สวิตซ์ยังสามารถใช้เชื่อมเครื่องคอมพวิเตอร์เพียงเครื่องเดียวเข้ากับสวิตซ์ ซึ่งจะทำให้เครื่อง ๆ นั้น สามารถติดต่อกับเซิร์ฟเวอร์ด้วยความเร็วเต็มความสามารถของช่องทางการสื่อสาร เช่น 10 Mbps ในกรณีเป็น 10BaseT เป็นต้น เนื่องจากไม่ต้องทำการแบ่งช่องทางการสื่อสารข้อมูลกับเครื่องอื่น ๆ เลย

  13. เราท์เตอร์ (Router) เป็นอุปกรณ์ที่ทำงานอยู่ในระดับที่อยู่สูงกว่าบริดจ์ นั่นคือในระดับ Network Layer ใน OSI Model ทำให้สามารถใช้ในการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายที่ใช้โปรโตคอลเครือข่ายต่างกันและสามารถทำการ กรอง (filter) เลือกเฉพาะชนิดของข้อมูลที่ระบุไว้ว่าให้ผ่านไปได้ ทำให้ช่วยลดปัญหาการจราจรที่คับคั่งของข้อมูล และเพิ่มระดับความปลอดภัยของเครือข่าย นอกจากนี้เราท์เตอร์ยังสามารถหาเส้นทางการส่งข้อมูลที่เหมาะสมให้โดยอัตโนมัติด้วย (ในกรณที่สามารถส่งได้หลายเส้นทาง ) เราท์เตอร์จะเป็นอุปกรณืที่ขึ้นอยู่กับโปรโตคอล นั่นคือในการใช้งานจะต้องเลือกซื้อเราท์เตอร์ที่สนับสนุนโปรโตคอลของเครือข่ายที่ต้องการจะเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน

  14. เกทเวย์ (Gateway) เป็นอุปกรณ์ที่ทำงานอยู่ในระดับ Transport Layer จนถึง Application Layer ของ OSI Model มีหน้าที่ในการเชื่อมต่อและแปลงข้อมูลระหว่างเครือข่ายที่แตกต่างกันทั้งในส่วนของโปรโตคอลและสถาปัตยกรรมของเครือข่าย LAN และระบบ Mainframeหรือเชื่อมระหว่างเครือข่าย SNAของ IBM กับ DECNet ของ DEC เป็นต้น โดยปกติ Gateway มักจะเป็น Software Packageที่ใช้ในงานบนเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่ง (ซึ่งทำให้เครื่องนั้นมีสถานะเป็น Gateway)และมักใช้สำหรับเชื่อม Workstation เข้าสู่เครื่องที่เป็นเครื่องหลัก ทำให้เครื่องที่เป็น Workstationสามารถทำงานติดต่อกับเครื่องหลักได้โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับข้อแตกต่างของระบบเลย ที่มา: http://cptd.chandra.ac.th/selfstud/it4life/sub%20net5.htm

  15. เทคโนโลยีเครือข่ายท้องถิ่น (Local Area Network Technology) คืออะไร ประกอบด้วยอะไรบ้าง ระบบเครือข่ายแบบ LAN หรือระบบเครือข่ายเฉพาะบริเวณ โดยปกติแล้วจะเป็นระบบเครือข่ายส่วนตัว (Private Network) นั่นคือองค์กรที่ต้องการใช้งานเครือข่าย ทำการสร้าง เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกันเป็นระบบเครือข่ายในระยะใกล้ ๆ ซึ่งจะช่วยให้เกิดประโยชน์แก่องค์กรและธุรกิจต่างๆ มากมาย เช่น • - สามารถแบ่งเบาการประมวลผลไปยังเครื่องต่างๆ เฉลี่ยกันไป • - สามารถแบ่งกันใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่องพิมพ์ ซีดีรอมไดร์ฟ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง เป็นต้น • - สามารถแบ่งกันใช้งานซอฟต์แวร์และข้อมูลหรือสารสนเทศต่างๆ รวมทั้งทำให้สามารถจัดเก็บข้อมูลเหล่านั้นไว้เพียงที่เดียว • - สามารถวางแผนหรือทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มได้ แม้จะไม่ได้อยู่ใกล้กันก็ตาม เป็นต้น

  16. เทคโนโลยีเครือข่ายระดับเมือง (Metropolitan Are Network Technology) คืออะไร ประกอบด้วยอะไรบ้าง เครือข่ายระดับเมือง (MAN) ระบบเครือข่ายในเขตเมือง (Metropolitan Area Network) หมายถึง ระบบเครือข่ายที่มีขนาดใหญ่กว่าเครือข่ายท้องถิ่น แต่อาจเชื่อมต่อกันด้วยระบบการสื่อสารสำหรับสาขาหลาย ๆ แห่งที่อยู่ภายในเขตเมืองเดียวกันหรือหลายเขตเมืองที่อยู่ใกล้กัน ระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตร เช่นการให้บริการทั้งของรัฐและเอกชน อาจเป็นบริการภายใน หน่วยงานหรือเป็นบริการสาธารณะก็ได้ รวมถึงการให้บริการระบบโทรทัศน์ทางสาย (Cable television) เช่น บริษัท UBC ซึ่งเป็นระบบที่มีสายเคเบิลเพียงหนึ่งหรือสองเส้นโดยไม่มีอุปกรณ์สลับช่องสื่อสาร (switching element) ทำหน้าที่เก็บกักสัญญาณหรือปล่อยสัญญาณออกไปสู่ระบบอื่น มาตรฐานของระบบ MAN คือ IEEE 802.6 หรือเรียกว่า DQDB (Distributed Queue Dual Bus)

  17. ชนิดการเชื่อมต่อของเครือข่าย LAN การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายเฉพาะบริเวณ (LAN) นั้น จุดประสงค์ หลักอย่างหนึ่งก็คือการแบ่งกันใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ โดยทรัพยากรเหล่านั้นอาจเป็น หน่วยประมวลผลกลาง (CPU) ความเร็วสูง ฮาร์ดดิสก์ เครื่องพิมพ์ หรือแม้แต่อุปกรณ์ สื่อสารต่างๆ ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้จะเชื่อมอยู่กับคอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่ง วิธีการเชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เพื่อจัดสรรการใช้งานทรัพยากรในระบบ เครือข่ายสามารถจำแนกได้เป็น 3 รูปแบบ คือ เครือข่ายแบบ Peer-to-Peer เครือข่ายแบบ Server-based เครือข่ายแบบ Client/Server ที่มา:http://www3.ipst.ac.th/research/assets/web/mahidol/computer(10)/network/net_lan1.htm

  18. เทคโนโลยีเครือข่ายระดับประเทศ (Wide Are Network Technology) คืออะไร ประกอบด้วยอะไรบ้าง เครือข่ายระยะไกล หรือเครือข่ายระดับประเทศ (WAN) เครือข่ายระยะไกล (Wide Area Network) เป็นระบบที่มีขอบเขตการใช้งานกว้างกว่า ไกลกว่าระบบแลน ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นระบบที่ไร้ขอบเขตแล้ว เช่น ระบบการสื่อสารข้อมูลผ่านดาวเทียมของสถานีโทรทัศน์ต่าง ๆ แต่การที่จะเชื่อมต่อเครือข่ายที่มีระยะห่างกันมาก ๆ ให้เป็นเครือข่ายเดียวกันทั้งหมดนั้นจำเป็นต้องอาศัยเครือข่ายสาธารณะ (Public Networks) ที่ให้บริการการสื่อสาร โดยเชื่อมต่อผ่านโมเด็ม ผ่าน เครือข่ายโทรศัพท์สาธารณะ (Public Switching Telephone Network ; PSTN) ซึ่งมีทั้งลักษณะต่อโมเด็มแบบที่ต้องมีการติดต่อก่อน (Dial-up) หรือต่อตายตัวแบบสายเช่า (Lease Line) ที่มา http://regelearning.payap.ac.th/docu/mk380/f2.4.6.htm

  19. ตัวอย่างการใช้งานจริง เช่น ภายในมหาวิทยาลัยหรือในสถานศึกษาจะมีระบบแมนเพื่อเชื่อมต่อระบบแลนของแต่ละคณะวิชาเข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายเดียวกันในวงกว้าง เทคโนโลยีที่ใช้ในเครือข่ายแมนได้แก่ ATM, FDDI และ SMDS ระบบเครือข่ายแมนที่จะเกิดในอนาคตอันใกล้ คือระบบที่จะเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ภายในเมืองเข้าด้วยกันโดยผ่านเทคโนโลยี Wi-Max ที่มา: http://www.it.coj.go.th/man.html

  20. Switching คืออะไร Switch (สวิตซ์) คือ อุปกรณ์เครือข่ายที่ทำหน้าที่ในเลเยอร์ที่ 2 Switch บางทีก็เรียกว่า Switching Hub (สวิตชิ่งฮับ) ซึ่งในช่วงแรกนั้นจะเรียกว่า Bridge (บริดจ์) เหตุผลที่เรียกว่าบริดจ์ในช่วงแรกนั้น เพราะส่วนใหญ่บริดจ์จะมีแค่สองพอร์ต และใช้สำหรับแยกคอลลิชันโดเมน ปัจจุบันที่เรียกว่า Switch เพราะหมายถึง บริดจ์ที่มีมากกว่าสองพอร์ตนั่นเอง Switch จะฉลาดกว่า Hub คือ Switch สามารถส่งข้อมูลที่ได้รับมาจากพอร์ตหนึ่งไปยังเฉพาะพอร์ตที่เป็นปลายทางเท่านั้น ทำให้คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับพอร์ตที่เหลือสามารถส่งข้อมูลถึงกัน และกันได้ในเวลาเดียวกัน การทำเช่นนี้ทำให้อัตราการส่งข้อมูล หรือแบนด์วิธไม่ขึ้นอยู่กับจำนวนคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อเข้ากับ Switch คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะมีแบนด์วิธเท่ากับแบนด์วิธของ Switch ด้วยข้อดีนี้เครือข่ายที่ติดตั้งใหม่ในปัจจุบันส่วนใหญ่จะนิยมใช้ Switch มากกว่า Hub เพราะจะไม่มีปัญหาเกี่ยวกับการชนกันของข้อมูลในเครือข่าย

More Related