E N D
โรคเบาหวานเกิดจากอะไร?โรคเบาหวานเกิดจากอะไร? เกิดจากตับอ่อนสร้าง "ฮอร์โมนอินซูลิน" ได้น้อย หรือไม่ได้เลย ฮอร์โมนชนิดนี้มีหน้าที่คอยช่วยให้ร่างกายเผาผลาญน้ำตาลมาใช้เป็นพลังงาน เมื่ออินซูลินในร่างกายไม่พอ น้ำตาลก็ไม่ถูกนำไปใช้ ทำให้เกิดการคั่งของน้ำตาลในเลือดและอวัยวะต่าง ๆ เมื่อน้ำตาลคั่งในเลือดมากๆ ก็จะถูกไตกรองออกมาในปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะหวานหรือมีมดขึ้นได้ จึงเรียกว่า "โรคเบาหวาน" นั่นเอง
สาเหตุที่ทำให้เป็นโรคเบาหวาน?สาเหตุที่ทำให้เป็นโรคเบาหวาน? โรคเรื้อรังที่ไม่หายขาดและเป็นโรคทางพันธุกรรม โดยพ่อแม่ที่เป็นโรคเบาหวาน มีโอกาสถ่ายทอดไปยังลูกหลานได้ นอกจากนี้ยังมาจากสิ่งแวดล้อมวิธีการดำเนินชีวิตการรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย ก็มีส่วนสำคัญต่อการเกิดด้วย เช่น อ้วนเกินไป , กินหวานมากๆ ,มีลูกดก หรือเกิดจากการใช้ยา เช่น สเตอรอยด์ ยาขับปัสสาวะ, ยาเม็ดคุมกำเนิด หรืออาจพบร่วมกับโรคอื่นๆ เช่น ตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง, มะเร็งของตับอ่อน, ตับแข็งระยะสุดท้าย เป็นต้น
อาการทั่วไปของผู้ป่วยโรคเบาหวานอาการทั่วไปของผู้ป่วยโรคเบาหวาน มีอาการปัสสาวะบ่อยและมากกว่าปกติเนื่องจากน้ำตาลที่ออกมาทางไตจะดึงเอาน้ำจากเลือดออกมาด้วย รู้สึกกระหายน้ำ ต้องคอยดื่มน้ำบ่อยๆ ร่างกายผ่ายผอม ด้วยความที่ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ไม่สามารถนำน้ำตาลมาเผาผลาญเป็นพลังงาน จึงหันมาเผาผลาญกล้ามเนื้อและไขมันแทน ทำให้ไม่มีไขมัน กล้ามเนื้อฝ่อลีบ เพลียแรง
ประเภทของโรคเบาหวาน สามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ ๆ • โรคเบาหวานชนิดพึ่งอินซูลิน พบได้น้อย แต่รุนแรงและอันตรายสูง มักพบในเด็กและคนอายุต่ำกว่า 25 ปี อาจพบในผู้สูงอายุ ตับอ่อนของผู้ป่วยจะสร้างอินซูลินไม่ได้เลยหรือได้น้อยมาก เชื่อว่าร่างกายมีการสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นต่อต้านตับอ่อนของตัวเอง จนไม่สามารถสร้างอินซูลินได้ ดังที่เรียกว่า "โรคภูมิแพ้ต่อตัวเอง" ทั้งนี้ เป็นผลมาจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ร่วมกับการติดเชื้อหรือการได้รับสารพิษจากภายนอก
ดังนั้น ผู้ป่วยจึงจำเป็นต้องพึ่งพาการฉีดอินซูลินเข้าทดแทนในร่างกายทุกวัน จึงจะสามารถเผาผลาญน้ำตาลได้เป็นปกติ มิเช่นนั้น ร่างกายจะเผาผลาญไขมันจนทำให้ผ่ายผอมอย่างรวดเร็ว และถ้าเป็นรุนแรง จะมีการคั่งของสารคีโตนของเสียที่เกิดจากการเผาผลาญไขมัน ซึ่งสารนี้จะเป็นพิษต่อระบบประสาท ทำให้ผู้ป่วย โรคเบาหวาน หมดสติและทำให้เสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว เรียกว่า "ภาวะคั่งสารคีโตน"
2. โรคเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน พบเห็นกันเป็นส่วนใหญ่ มีความรุนแรงน้อย มักพบในคนอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป แต่ก็อาจพบในเด็กหรือวัยหนุ่มสาวได้บ้าง โดยตับอ่อนของผู้ป่วยสามารถสร้างอินซูลินได้ แต่ไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย จึงทำให้มีน้ำตาลที่เหลือใช้กลายเป็น โรคเบาหวาน ได้ บางครั้งถ้าระดับน้ำตาลสูงมากๆ ก็อาจต้องใช้อินซูลินฉีดเป็นครั้งคราว แต่ไม่ต้องใช้อินซูลินตลอดไป
อาการแทรกซ้อนของ โรคเบาหวาน มักจะเกิดเมื่อเป็น เบาหวาน อย่างน้อย 5 ปีแล้วไม่ได้รักษาอย่างจริงจัง 1. ภาวะแทรกซ้อนทางสายตา ทำให้การมองเห็นของผู้ป่วยแย่ลง ตาหรือจอตาเสื่อม หรือมองเห็นจุดดำลอยไปมา และอาจจะทำให้ตาบอดได้ในที่สุด 2. เป็นโรคติดเชื้อได้ง่าย เนื่องจากผู้ป่วยโรคเบาหวานจะมีภูมิต้านทานโรคต่ำ เช่น วัณโรคปอด, กระเพาะปัสสาวะอักเสบ, กรวยไตอักเสบ, ช่องคลอดอักเสบ, เป็นฝีพุพองบ่อย, เท้าเป็นแผลซึ่งอาจลุกลามจนเท้าเน่า (อาจต้องตัดนิ้วหรือตัดขา) เป็นต้น
3. ระบบประสาท อาจเป็นปลายประสาทอักเสบ มีอาการชาหรือปวดร้อนตามปลายมือปลายเท้า ซึ่งอาจทำให้มีแผลเกิดขึ้นที่เท้าได้ง่าย บางคนอาจมีอาการวิงเวียนเนื่องจากมีภาวะความดันตกในท่ายืน บางคนอาจไม่มีความรู้สึกทางเพศ ท้องเดินตอนกลางคืนบ่อย หรือกระเพาะปัสสาวะไม่ทำงาน (กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรือไม่มีแรงเบ่งปัสสาวะ) 4. ไตมักจะเสื่อม จนเกิดภาวะไตวาย มีอาการ บวม ซีด ความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นสาเหตุการตายของผู้ป่วย โรคเบาหวาน ที่พบได้ค่อนข้างบ่อย
5. ผนังหลอดเลือดแดงแข็ง ทำให้เป็น โรคความดันโลหิตสูง, อัมพาต, โรคหัวใจขาดเลือด ถ้าหลอดเลือดที่เท้าตีบแข็ง เลือดไปเลี้ยงเท้าไม่พอ อาจทำให้เท้าเย็นเป็นตะคริว หรือปวดขณะเดินมาก ๆ หรืออาจทำให้เป็นแผลหายยาก หรือเท้าเน่า (ซึ่งอาจเกิดร่วมกับการติดเชื้อ)
6. ภาวะคีโตซิสพบเฉพาะในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานชนิดพึ่งอินซูลิน ที่ขาดการฉีดอินซูลินนานๆ ร่างกายจะมีการคั่งของสารคีโตน ซึ่งเกิดจากการเผาผลาญไขมัน จะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน กระหายน้ำอย่างมาก หายใจหอบลึก และลมหายใจมีกลิ่นหอม มีไข้ กระวนกระวาย มีภาวะขาดน้ำรุนแรง อาจมีอาการปวดท้อง ท้องเดิน ผู้ป่วย โรคเบาหวานจะซึมลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งหมดสติ หากรักษาไม่ทันอาจตายได้
ดูแลตัวเองของเมื่อเป็นโรคเบาหวานดูแลตัวเองของเมื่อเป็นโรคเบาหวาน 1. โรคเบาหวาน เป็นโรคเรื้อรังที่ต้องรักษาติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือตลอดชีวิต ซึ่งหากได้รับการรักษาอย่างจริงจัง อาจมีชีวิตเหมือนคนปกติได้ แต่ถ้ารักษาไม่จริงจังก็อาจมีอันตรายจากโรคแทรกซ้อนได้มาก
2. ควบคุมอาหารการลดน้ำหนัก (ถ้าอ้วน) และการออกกำลังกาย มีความสำคัญมาก ในรายที่เป็น โรคเบาหวาน ไม่มาก ถ้าปฎิบัติในเรื่องเหล่านี้ได้ดี อาจหายจาก โรคเบาหวาน ได้โดยไม่ต้องพึ่งยา ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรเลือกอาหาร ดังต่อไปนี้... 2.1 บริโภคอาหารให้ครบ 5หมู่ 2.4 ทานอาหารที่มีกากใยมากเพื่อช่วยในการขับถ่าย 2.2 หลีกเลี่ยงการรับประทานจุกจิกและไม่ตรงเวลา 2.5 หากมีอาการเกี่ยวกับโรคไตหรือความดันโลหิตสูง ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็ม 2.3 แม้ระดับน้ำตาลในเลือดจะปกติดีแล้วก็ควรจะต้องควบคุมอาหารตลอดไป
อาหารที่ห้ามรับประทานเมื่อเป็นเบาหวานอาหารที่ห้ามรับประทานเมื่อเป็นเบาหวาน • น้ำตาลทุกชนิด น้ำผึ้ง •ผลไม้กวนประเภทต่างๆ •ขนมเชื่อม ขนมหวานต่างๆ •ผลไม้ที่มีรสหวานมากๆ •น้ำหวานประเภทต่างๆ •ขนมทอดกรอบหรือชุบแป้งทอด • เครื่องดื่มที่มีน้ำตาล เช่น ชา กาแฟ • ผลไม้ที่มีรสหวานจัด เช่น ทุเรียน องุ่น
อาหารที่ผู้ป่วยเบาหวานควรรับประทาน • ข้าวกล้องมีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนผ่านการขัดสีน้อย • วุ้นเส้นทำจากถั่ว สามารถทานได้ประจำตามปริมาณที่กำหนดในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ก๋วยเตี๋ยววุ้นเส้น , แกงจืด • ไขมันไม่อิ่มตัวเช่น น้ำมันมะกอก ,น้ำมันรำข้าว • ผัก ผลไม้ผักให้หลากหลายทุกวันอย่างน้อย 2 มื้อ/วัน จะช่วยให้สุขภาพดีขึ้นแน่นอน
ผักที่แนะนำให้ผู้ป่วยเบาหวานรับประทานผักที่แนะนำให้ผู้ป่วยเบาหวานรับประทาน • มะระขี้นกหั่นชิ้นเล็กแล้วตากแดดให้แห้ง นำมาชงกับน้ำเหมือนชงชา • ฟักทอง ใช้เมล็ดฟักทองต้มน้ำดื่ม ครั้งละ 300 เมล็ด จะช่วยให้อาการเบาหวานดีขึ้น นอกจากนี้ผลฟักทองและน้ำฟักทอง ก็ช่วยลดอาหารเบาหวานได้ • แตงกวา การคั้นน้ำแตงกวาพร้อมเมล็ดจะดีต่อสุขภาพเมื่อดื่มขณะท้องว่าง
ประเภทน้ำนม • ควรเลือกดื่มชนิดจืดไม่เติมน้ำตาลหรือชนิดไม่ ปรับปรุงแต่งรส • นมพร่องมันเนยคือมีไขมันประมาณ 1.9% รับประทานได้ • นมเปรี้ยวควรเลือกชนิดที่ไม่ปรุงแต่งรส • นมข้นหวานไม่ควรใช้นมชนิดนี้ • น้ำเต้าหู้ผู้ป่วยเบาหวานดื่มได้ แต่ต้องไม่เติมน้ำตาล
3. ผู้ป่วยโรคเบาหวานเลิกสูบบุหรี่โดยเด็ดขาด มิเช่นนั้น อาจทำให้ผนังหลอดเลือดแดงแข็งเร็วขึ้น ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ 4. หมั่นดูแลรักษาเท้าเป็นพิเศษ ระวังอย่าให้เกิดบาดแผลหรือการอักเสบ เพราะอาจลุกลามจนกลายเป็นแผลเน่าจนต้องตัดนิ้วหรือขาทิ้ง
5. หมั่นตรวจปัสสาวะด้วยตัวเอง และตรวจเลือดที่โรงพยาบาลเป็นประจำ เพราะเป็นวิธีที่บอกผลการรักษาได้แน่นอนกว่าการสังเกตจากอาการเพียงอย่างเดียว 6. อย่าซื้อยาชุดกินเอง เพราะยาบางอย่างอาจเพิ่มน้ำตาลในเลือดได้ แต่หากมีความจำเป็นต้องใช้ยาเองต้องแน่ใจว่า ยานั้นไม่มีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด
7. ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่กินยา/ฉีดยารักษาโรคเบาหวานอยู่ อาจเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ คือมีอาการใจหวิว ใจสั่น หน้ามืด ตาลาย เหงื่อออก ตัวเย็นเหมือนเวลาหิวข้าว ถ้าเป็นมากๆ อาจเป็นลม หมดสติ หรือชักได้ ดังนั้น จึงต้องระวังดูอาการดังกล่าว และควรพกน้ำตาลหรือของหวานติดตัวประจำ ถ้าเริ่มรู้สึกมีอาการดังกล่าวให้ผู้ป่วยรีบกินน้ำตาลหรือของหวาน จะช่วยให้หาย
8. ควรมีบัตรประจำตัว (หรือกระดาษแข็งแผ่นเล็ก) ที่เขียนข้อความว่า "ข้าพเจ้าเป็นโรคเบาหวาน" พร้อมกับบอกชื่อยาที่รักษาพกติดกระเป๋าไว้ หากบังเอิญเป็นลมหมดสติ ทางโรงพยาบาลจะได้ทราบประวัติการเจ็บป่วยและให้การรักษาได้ทันท่วงที 9. รู้จักกินลดของหวาน หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ และทำจิตใจให้ร่าเริงเบิกบาน อย่าให้เครียดหรือวิตกกังวล
บรรณานุกรม 1. กรรณิการ์ มุรทาธร. (2554). บำบัดโรคเบาหวานด้วยสมุนไพร. กรุงเทพมหานคร : บีเวลล์ สปีเชียล. 2. วันทนีย์ เกรียงสินยศ. (2551).โภชนาการกับเบาหวาน. พิมพ์ครั้งที่ 2 . กรุงเทพมหานคร : สารคดี. 3. สถิติสาธารณสุข ปี 2552. สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก, 2552
4. สถิติสาธารณสุข ปี 2551-52 สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข. [online ].[cited 201 Oct 1] ; Available from : URL:http://bps.ops.moph.go.th/index.php?mod=bps&doc=5 5. สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข.รายงาน NCD 1 ปีงบประมาณ 2554 (ตามแบบรายงาน NCD 1 งวดที่ 1-2) ในโครงการสนองน้ำพระราชหฤทัยในหลวง ทรงห่วงใยสุขภาพประชาชน
จัดทำโดย 1. น.ส.ปุณิกา ลิชนะเธียร เลขที่ 3 2. น.ส.กมลลักษณ์ วรรโน เลขที่ 4 3. น.ส.ณัฎฐาณิศ คงน้อย เลขที่ 5 4. น.ส.วีรวัลย์ ตันมงคล เลขที่ 7 5. นายสุทิวัส ปุญญกริยากร เลขที่ 11 6. นายภาวินทร์ เต็งอำนวย เลขที่ 31 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/4