120 likes | 339 Views
ประสิทธิภาพของชุดตรวจสอบ ยาด้านจุลชีพตกค้างในเนื้อสัตว์ CM-Test. หลักสำคัญในการใช้ยาด้านจุลชีพ.
E N D
ประสิทธิภาพของชุดตรวจสอบยาด้านจุลชีพตกค้างในเนื้อสัตว์CM-Testประสิทธิภาพของชุดตรวจสอบยาด้านจุลชีพตกค้างในเนื้อสัตว์CM-Test
หลักสำคัญในการใช้ยาด้านจุลชีพหลักสำคัญในการใช้ยาด้านจุลชีพ การใช้ยาด้านจุลชีพในสัตว์ต้องมั่นใจว่ายาที่เลือกใช้นั้นให้ผลดีในการรักษาอาการทางคลินิกของสัตว์ที่ป่วยไม่ว่าจะเป็นการป่วยเฉพาะตัวหรือทั้งฝูงขณะเดียวกันต้องมีผลข้างเคียงน้อยที่สุดสำหรับการเลือกใช้ยาแต่ละชนิดขึ้นอยู่กับข้อมูลที่นำมาประกอบในการวินิจฉัยอาทิเช่นสาเหตุของโรคอาการทางคลินิก(กมลชัย, 2545) การวินิจฉัยโรคโดยเทคนิคทางห้องปฏิบัติการมีความสำคัญเช่นเดียวกันสัตวแพทย์ควรมีข้อมูลที่ชัดเจนระดับหนึ่งโดยเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวกับผลความไวต่อตัวยาที่ใช้รักษาแบคทีเรียบางสายพันธุ์เช่น Erysipelotrix rhusiopathiae, สำหรับความไวต่อตัวยาต้านจุลชีพของแบคทีเรียในกลุ่ม E.coli, Samonella spp. และ Staphylococci นั้นมีความแปรปรวนจึงต้องอาศัยผลจากห้องปฏิบัติการประกอบด้วย(จำเรียง, 2544) ในกรณีที่สัตว์ติดเชื้ออย่างเฉียบพลันจำเป็นต้องรักษาเพื่อระงับการแพร่กระจายของเชื้อโรคอย่างเร่งด่วนการเลือกใช้ยาต้านจุลชีพณเวลานั้นไม่อาจจะพึ่งผลการตรวจสอบทางห้องปฏิบัติการเพราะจะทำให้ล่าช้าไม่ทันการดังนั้นสัตวแพทย์จะต้องเลือกใช้ยาต้านจุลชีพโดยอาศัยรายการยาที่ผ่านการทดสอบกับเชื้อต่างๆซึ่งเป็นข้อมูลเบื้องต้นที่มีอยู่แล้วหรืออาศัยประสบการณ์การใช้ยาต้านจุลชีพทุกชนิดจะต้องได้รับการสั่งจ่ายจากสัตวแพทย์เท่านั้นและขณะเดียวกันสัตวแพทย์จะต้องมีการติดตามผลและประเมินผลเพื่อให้ทราบผลของการใช้ยาและรวบรวมเก็บไว้เป็นข้อมูลเพื่อนำไปใช้ต่อไป (จำเรียง, 2544) นโยบายการเลือกใช้ยาต้านจุลชีพสำหรับรักษาโรคให้คำนึงถึงความสำคัญตามลำดับดังนี้ 1.เลือกใช้ยาต้านจุลชีพที่ออกฤทธิ์ตรงกับเชื้อโรคนั้นๆ 2.เลือกใช้ยาที่เคยใช้อยู่เดิมก่อนที่จะเลือกใช้ยาตัวใหม่ 3.ติดตามการดื้อยาของเชื้อจุลินทรีย์นั้นๆ 4.ผลการรักษาควรเป็นไปตามคาดหมายไว้ 5.ให้คำนึงถึงวิธีการใช้ยาเลือกใช้เฉพาะยาต้านจุลชีพที่อนุญาตให้ใช้ในการรักษา สัตว์ที่จะนำมาเป็นอาหารสำหรับมนุษย์เท่านั้น
ปัญหาที่เกิดจากการใช้ยาต้านจุลชีพปัญหาที่เกิดจากการใช้ยาต้านจุลชีพ การใช้ยาต้านจุลชีพทำให้เกิดผลข้างเคียงของยาตกค้างที่มีผลต่อสุขภาพเช่นการแพ้ยาการดื้อยาของจุลินทรีย์การก่อมะเร็งและความเป็นพิษต่อทารกในครรภ์ซึ่งการแพ้ยากลุ่ม Tetacyclines ในคนพบว่ายากลุ่มนี้มีคุณสมบัติเป็น Chelating agent สามารถรวมกับแคลเซียมอิออนภายหลังเข้าสู่ร่างกายและสะสมที่บริเวณฟันและกระดูกของร่างกายทำให้ฟันเปลี่ยนสีกระดูกไม่แข็งแรงโดยเฉพาะเด็กที่กำลังเจริญเติบโตและหญิงมีครรภ์จากการศึกษาผลของยาซัลฟาพบว่ายาซัลฟามีอันตรายต่อระบบการสร้างเลือดทำให้จำนวนเม็ดเลือดขาวเม็ดเลือดแดงและฮีโมโกบิลลดลงรวมทั้งอาจเป็นสารก่อมะเร็งได้ นอกจากนั้นแล้วกลุ่มของยาซัลฟายังทำให้เกิดอาการน้ำลายไหลอาเจียนท้องเสียหายใจหอบตื่นเต้นและกล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยซึ่งเป็นอาการที่พบได้ในสุนัขที่ได้รับ Sulfanilamide มากเกินไปซึ่งนอกจากในสัตว์แล้วยังพบอาการในคนด้วยคือหายใจหอบขากระตุกบางครั้งอาจเกิดโลหิตจาง ปัญหาที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งซึ่งได้รับผลกระทบจากยาตกค้างในเนื้อก็คือ ประเทศไทยไม่สามารถส่งเนื้อหรือกู้งออกจำหน่ายไปยังต่างประเทศบางประเทศได้เช่นฮ่องกงญี่ปุ่นจีนเนื่องจากมีการตรวจพบสารต้านจุลชีพตกค้างซึ่งเป็นข้อรังเกียจและกีดกันสินค้าจึงเกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงทำให้สูญเสียรายได้มูลค่ารวมหลายหมื่นล้านบาทต่อปี
การตรวจหายาปฏิชีวนะหรือยาต้านจุลชีพในเนื้อเยื่อและผลิตภัณฑ์จากสัตว์การตรวจหายาปฏิชีวนะหรือยาต้านจุลชีพในเนื้อเยื่อและผลิตภัณฑ์จากสัตว์ การตรวจสอบโดยอาศัยหลักการยับยั้งการแบ่งตัวของแบคทีเรีย(Microbial Inhibitionassays) การทดสอบทางอิมมิวโน(Immuno assays) 3.การทดสอบโดยวิธีไมโคเบียลรีเซฟเตอร์(Microbial receptor assays) 4. การทดสอบทางเคมีฟิสิกส์(Physicochemical Method)
หลักการของชุดตรวจสอบ CM-Test เปลี่ยนสีของ Bromocresol B. stearothermophillus Nutrient Agar Bromocresol purple -vc +vc แบคทีเรียแบ่งตัว เกิดสภาพ Acidity ยับยั้งการแบ่งตัวของแบคทีเรีย สีของ Bromocresol คงเดิม เป็นการนำเอาสปอร์ของแบคทีเรีย Bacillus stearothermophilllus ในอาหารเลี้ยงเชื้อที่เหมาะสมและอำนวยต่อการซึมผ่านของสารต้านจุลชีพและการเจริญเติบโตของสปอร์โดยบรรจุอยู่ในหลอดพลาสติกขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 เซนติเมตรและสูง 4 เซนติเมตรเมื่อหยดสารสกัดจากตัวอย่างเนื้อลงไปในชุดทดสอบ 0.1 มิลลิลิตรแล้วนำไปอบเพาะที่อุณหภูมิ 65 1 องศาเซลเซียสจะสามารถอ่านผลได้ภายใน 3-4 ชั่วโมงถ้าสีของชุดตรวจสอบเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแสดงว่าตัวอย่างไม่มีสารต้านจุลชีพตกค้างอยู่แต่ถ้ามีสีของชุดตรวจสอบยังคงเป็นสีม่วงแสดงว่ามีสารต้านจุลชีพตกค้างอยู่และหากสีของชุดตรวจสอบเป็นสีม่วงด้านบนและมีสีเหลืองด้านล่างหรือสีม่วงจางลงแต่ไม่เป็นสีเหลืองแสดงว่าในตัวอย่างเนื้อมียาตกค้างในปริมาณต่ำกว่าความเข้มข้นที่ CM-Test สามารถตรวจพบ 100 % ดังภาพที่ 1 (ธงชัยและคณะ, 2545) หยอดสารสกัดจากเนื้อตัวอย่าง 0.1 มล. Incubate 65 1 องศาเซลเซียสนาน 3-4 ชม.
เป็นวิธีการตรวจสอบหายาต้านจุลชีพในเนื้อเยื่อโดยใช้หลักการ Microbial inhibition plate assay ทำการตัดชิ้นเนื้อตัวอย่างให้มีขนาด เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 8 มิลลิลิตรและมีความหนาประมาณ 4-6 มิลลิลิตรวางลงบนอาหารเลี้ยงเชื้อ Bacillus subtilis ใน pH ที่ 6.0 7.2 และ 8.0 และ Micrococcus Iutcus ใน test agar pH 8.0 ทำการอ่านผลหลังจากอบเพาะเชื้อที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียสนาน 18-24 ชั่วโมงตัวอย่างที่มี Inhibition Zone หรือ Clear Zone ขนาดเกิน 2 มิลลิลิตรจากขอบชิ้นเนื้อแสดงว่ามียาต้านจุลชีพตกค้างดังภาพ (Okcrman et al 1998 อ้างโดยธงชัยและคณะ, 2545) European Four Plate Test (EFPT)
วางชิ้นเนื้อที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 8 มิลลิลิตรและหนา 4-6 มิลลิลิตรลงบนจานเพาะเชื้อ Plate 1 Plast 2 plate 3 plate 4 B.subtilis B.subtilis B.subtilis M.lutes + + + + Test agear pH 6 Test agear pH 7.2 Test agear pH 8 Test agear pH 8 อบเพาะเชื้อที่อุณหภูมิ 30 องศาเซลเซียสนาน 18-24 ชั่วโมงสำหรับ B.subtilis อบเพาะเชื้อที่ อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียสนาน 18-24 ชั่วโมงสำหรับ M.luteus มี Clear Zone รอบแผ่นเนื้อขนาดเกิน 2 ม.ม. ไม่มี Clear Zone หรือมี Clear Zone แสดงว่ามีสารต้านจุลชีพตกค้างอยู่หรือมี Clear Zone รอบแผ่นเนื้อต่ำกว่า 2 มิลลิลิตรแสดงว่าไม่มียาต้านจุลชีพตกค้างอยู่ อ่านผล
Microbial Inhibition disk (MIDA) เป็นวิธีการทดสอบโดยใช้กระดาษกรองเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 เซนติเมตรจุ่มสารสกัดตัวอย่างเนื้อ(ทำการสกัดตัวอย่างเนื้อด้วย Citric Acid-Acetone Buffer) แล้ววางลงบนจานอาหารเลี้ยงเชื้อ Micrococcus Luteus ใน Antimicrobial test media 5 (AM 5 ), Bacillus Subtilis ใน AM 5 และ Bacillus mycoides ใน AM 8 ทำการอ่านผลแล้วจากการอบเพาะเชื้อที่อุณหภูมิ 34 องศาเซลเซียสนาน 18-24 ชั่วโมงตัวอย่างที่มี Inhibition Zone หรือ Clear Zone ขนาดเกิน 2 มิลลิลิตรจากขอบกระดาษกรองแสดงว่ามียาต้านจุลชีพตกค้างดังภาพที่ 3 (ดวงดาว, 2543 อ้างโดยธงชัยและคณะ, 2545 )
ทำการสกัดตัวอย่างเนื้อด้วย Citric acid-Acetone Buffer ใช้กระดาษกรองเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 ซม. จุ่มสารสกัดจากเนื้อวางบนจานเพาะเชื้อ Plate 1 ate 2 Plate 3 M.luteus B.subtilis B.mycoides + + + AM 5 AM 5 AM 8 อบเพาะเชื้อที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียสนาน 18-24 ชั่วโมง อ่านผล มี Clear Zone ขนาดเกิน 2 ม.ม. ไม่มี Clear Zone หรือมีขนาดต่ำกว่าจากขอบ กระดาษกรองแสดงว่ามี 2 ม.ม. แสดงว่าไม่มียาต้านจุลชีพตกค้าง
เปอร์เซ็นต์การตรวจพบยาต้านจุลชีพในตัวอย่างเนื้อไก่(300 ตัวอย่าง) และเนื้อสุกร(300 ตัวอย่าง) โดยใช้ชุดตรวจสอบ CM-Test เปรียบเทียบกับวิธี EFPT และ MIDA ที่มา : ธงชัยและคณะ (2545) จากกราฟจะเห็นว่าชุดตรวจสอบ CM-Test สามารถตรวจสอบพบการตกค้างของยาต้านจุลชีพในตัวอย่างเนื้อไก่ได้ 12.3 เปอร์เซ็นต์ซึ่งดีกว่าการใช้วิธี EFPT และ MIDA มากเนื่องจาก 2 วิธีหลังสามารถตรวจสอบการตกค้างของยาต้านจุลชีพในตัวอย่างเนื้อไก่เดียวกันได้ 0 และ 1.7 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับเช่นเดียวกับการตรวจหาการตกค้างของยาต้านจุลชีพในตัวอย่างเนื้อสุกร CM-Test สามารถตรวจพบการตกค้างของยาจุลชีพในตัวอย่างเนื้อสุกรได้ 9.3 เปอร์เซ็นต์ส่วนวิธี EFPT และ MIDA สามารถตรวจพบการตกค้างของยาจุลชีพในเนื้อสุกรเดียวกันได้ 2 เปอร์เซ็นต์และ 2.7 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับแสดงว่าชุดตรวจสอบ CM-Test มีประสิทธิภาพในการตรวจสอบหายาต้านจุลชีพตกค้างในตัวอย่างเนื้อไก่และเนื้อสุกรได้ดีกว่าวิธีการEFPT และ MIDA เมื่อทำการตรวจสอบยืนยันตัวอย่างเนื้อไก่และเนื้อสุกรที่ให้ผลบวกจากการตรวจด้วย CM-Test โดยวิธี Charm-TestTMเพื่อตรวจสอบว่าเป็นยากลุ่ม Beta-lactams,Tetracyclines และSulfonamidesพบว่าเป็นการตกค้างของยาต้านจุลชีพกลุ่ม Sulfonamindea 58.6 และ 38.1 เปอร์เซ็นต์ในตัวอย่างเนื้อไก่และเนื้อสุกรตามลำดับและยาในกลุ่ม Tetracyclines ร่วมกับ Sulfonamides ในตัวอย่างเนื้อสุกร 52.4 เปอร์เซ็นต์ในตัวอย่างที่ตรวจไม่พบกลุ่มยาดังกล่าวอาจมาจากยากลุ่มอื่นซึ่งไม่ได้ทำการตรวจเช่นยาในกลุ่ม Aminoglycosides , Fluoroquinolones
สรุป ชุดตรวจสอบหายาต้านจุลชีพตกค้างในตัวอย่างเนื้อ CM-Test มีประสิทธิภาพในการตรวจสอบหายาต้านจุลชีพตกค้างในเนื้อได้ดีกว่าวิธีการ EFPT และ MIDA ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันเพราะจากการตรวจสอบหายาต้านจุลชีพตกค้างในเนื้อไก่(300 ตัวอย่าง) และเนื้อสุกร(300 ตัวอย่าง) ชุดตรวจสอบ CM-Test สามารถตรวจพบยาตกค้าง 12.3 % ในขณะที่วิธีการ EFPT และ MIDA สามารถตรวจพบได้เพียง 0, และ 1.7% เท่านั้นแสดงว่าชุดตรวจสอบ CM-Test มีประสิทธิภาพในการตรวจยาตกค้างได้ดีกว่า EFPT และ MIDA และยังใช้เวลาในการตรวจสอบน้อยกว่ามีขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยากสามารถทำการตรวจในภาคสนามได้อีกทั้งยังสามารถนำเลือดและปัสสาวะของสัตว์มาตรวจหายาตกค้างก่อนนำสัตว์ไปจำหน่ายหรือส่งโรงฆ่าสัตว์ได้และ CM-Test ยังมีขีดความสามารถในการตรวจสูงมีประสิทธิภาพไม่ด้อยไปกว่าชุดตรวจสอบของประเทศดังนั้นในอนาคตชุดตรวจสอบ CM-Test น่าจะเป็นชุดตรวจสอบที่ได้รับความนิยมมากขึ้นและสามารถนำมาแทนวิธีการตรวจแบบ EFPT และ MIDA ได้