760 likes | 1.56k Views
ColOR COSMETic FOR SKIN ( LIpstick ). E-Mail: nattaporn2608@gmail.com Website: http://nattaporn.weebly.com/course-materials.html. Raw materials and dosage forms in make-up cosmetics. ประเภทของเครื่องสำอางแต่งสีสำหรับผิวหนัง. เครื่องสำอางประเภทแป้งผัดหน้า เครื่องสำอางสำหรับตา
E N D
ColORCOSMETic FOR SKIN (LIpstick) E-Mail: nattaporn2608@gmail.com Website: http://nattaporn.weebly.com/course-materials.html
ประเภทของเครื่องสำอางแต่งสีสำหรับผิวหนังประเภทของเครื่องสำอางแต่งสีสำหรับผิวหนัง • เครื่องสำอางประเภทแป้งผัดหน้า • เครื่องสำอางสำหรับตา • เครื่องสำอางใช้แต่งแก้ม หรือรู้ช (Rouges) • เครื่องสำอางใช้แต่งปาก หรือลิปสติก (Lipsticks)
ลิปสติกคืออะไร • ลิปสติกหมายถึง ผลิตภัณฑ์ที่ประกอบด้วยเม็ดสีกระจายตัวในเบสที่เหมาะสม และเบสนี้จะประกอบด้วย น้ำมัน ไขมัน และ ไขแข็ง ในปริมาณต่างๆ ผลิตภัณฑ์ที่ได้จะให้สีแก่ริมฝีปาก ตลอดจนความชุ่มชื้นแก่ริมฝีปาก
Lipstick History • การใช้สีเพื่อเสริมความงามของริมฝีปากมีมาหลายพันปีแล้ว รูปภาพหรือสิ่งก่อสร้างจากอารยธรรมสมัยอียิปต์ บาบิโลน หรือสุเมเรียนแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงสมันดังกล่าวระบายสีริมฝีปากด้วยส่วนผสมของเฮอร์มาไทต์และ red ochre ในน้ำมันพืชหรือไขมันสัตว์ ในขณะที่ชาวซีเรีย เปอร์เชีย กรีก และโรมันกลับใช้เครื่องสำอางในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเพื่อความรื่นรมย์ การแพทย์หรือใช้ในงานพิธี ตัวอย่างเช่น หญิงชาวเอเธนส์ใช้สารสกัดจากผัก สาหร่ายและต้นหม่อนเพื่อเน้นสีปากและแก้ม เป็นต้น แม้แต่กวีโอวิดก็ได้บรรยายวิธีที่สาวชาวโรมันใช้รูจและแป้งทาใบหน้า
Lipstick History • สำหรับลิปสติกในปัจจุบันชนิดที่ผสมจากน้ำมันหรือแวกซ์หลอมเหลวผสมกับสีละลายหรือแขวนลอยหนึ่งชนิดหรือมากกว่าขึ้นไปนั้นเริ่มใช้เป็นครั้งแรกก่อนสมัยสงความโลกครั้งที่หนึ่ง ในปี 1920 เริ่มใช้ eosin (รู้จักกันในชื่อ D&C Red No. 21) แทนคาร์มีนเป็นตัวเลือกหนึ่งชองสารให้สี หลังจากนั้นจึงเริ่มมีการใช้ fluorscein-based stains ตัวอื่นตามมา เช่น tetrachlorotetrabromofluorescein (D&C Red No. 27) และ dibromofluorescein (D&C Orange No. 5) มีเอกสารวิชาการมากในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ว่าส่วนผสมชอง solid lip colorant มีสารละลายน้ำหลายชนิดผสมอยู่ พร้อมมีแม่พิมพ์หล่อแบบใหม่ เช่นเดียวกับมีที่จับและกลไกหมุนแท่งลิปสติกซึ่งถือเป็นต้นแบบของลิปสติกปัจจุบัน ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในแต่ละยุคล้วนถือเป็นวิวัฒนาการของรูปแบบและสัมผัสของลิปสติกในทุกวันนี้
ชนิดของลิปสติก • ลิปสติกแบบเนื้อด้าน ในลิปสติกแบบเนื้อด้าน สารหลักที่ใช้โดยปกติคือ เคโอลีน ซึ่งโดยปกติจะให้คุณสมบัติติดทน องค์ประกอบนี้จะทำให้ลิปสติกไม่มีความเงาและไม่มันลิปสติกที่ผสมเคโอลีน จะค่อนข้างแห้ง แต่ถ้าคุณมองหาลิปสติกที่ติดทน ลิปสติกแบบแม็ทจะเป็นทางเลือกที่ดี • เชียร์หรือสเตนท์ลิปสติก ลิปสติกชนิดนี้จะมีมอยเจอร์มากกว่าลิปสติกชนิดอื่น โดยปกติจะมีเม็ดสีไม่มาก ลิปสติกชนิดนี้จะทาง่ายและสีบางเบาสวยงาม • มอยเจอร์ไรซิ่งลิปสติก ลิปสติกชนิดนี้จะมีสารบำรุงมากเช่น เชียร์บัตเตอร์ ลิปสติกชนิดนี้จะหลุดง่ายเนื่องจากสาร ให้ความชุ่มชื้น เหมาะสำหรับริมฝีปากแห้ง • ลิปสติกแบบลองลาสติ้ง ลองลาสติ้งลิปสติก มีคุณสมบัติตามชื่อคือ เป็นลิปสติกที่อ้างว่าสมารถติดทนได้ตลอดวันแม้ว่าจะผ่านการจูบ ลิปสติกชนิดนี้จะเป็นสูตรนุ่มนวลและค่อยๆ ออกฤทธิ์ โดยใช้ความร้อนจากริมฝีปากเพื่อกระตุ้นให้มีสีปลดปล่อยออกมาและไม่จางสามารถอยู่ได้นานถึง 8 ชั่วโมง
ความคงตัวและการยึดเกาะเป็นแท่งความคงตัวและการยึดเกาะเป็นแท่ง • เครื่องมือตรวจสอบ hot-stage หรือ capillary melting point สามารถบอกข้อมูลความคงที่ระยะยาวของลิปสติกได้มากมาย ลิปสติกที่ไม่ได้รับการกระทบกระเทือนใดๆ ต้องยังคงแข็งตัวและอยู่ตัวในระดับอุณหภูมิที่หลากหลายได้ (ปกติคือระดับ 0-50 องศาเซลเซียส) และต้องต้านการ blooming และตกผลึกในอุณหภูมิต่ำได้ รวมถึงการซึมและหยดในอุณหภูมิที่สูงขึ้นด้วย วิธีวัดค่าความคงที่ของลิปสติกตามอุณหภูมิที่ซับซ้อนขึ้น เช่น วิธี Differential Scanning Calorimetry (DSC) ก็สามารถใช้วัด inhomogenitiesทางกายภาพซึ่งบ่งบอกปัญหาความคงที่ให้ทราบได้ นอกจากนี้ การวัดผลโดยใช้เครื่องมือ เช่น crush and breaking point determinations ได้รับการยอมรับจากผู้ผลิตส่วนผสมจำนวนมากว่าเป็นตัวชี้วัดความอยู่ตัวทางโครงสร้างของแท่งลิปสติกที่ดี
Lipsticks Composition: • Solidifying Agent : Waxes mostly beeswax, carnauba wax, candellila wax, ozokerite and other synthetic waxes • Oil: essentially castor oil • Pigments • Filler :Nylon, PMMA,Silica , Sericite • Additive:Preservatives, Fragrance
Solidifying Agent • Solidifying agent ที่อยู่ในลิปสติกประกอบด้วยสารแข็งหนึ่งชนิดขึ้นไปซึ่งช่วยเสริมโครงสร้างและความอยู่ตัวให้แท่งลิปสติก ขณะเดียวกันก็ควบคุมคุณสมบัติการไหลและความสวยงามเมื่อได้ใช้ลิปสติกบนริมฝีปาก ถือว่า solidifying agent เป็นส่วนประกอบที่ทำให้ลิปสติกต่างจากเครื่องสำอางที่ให้สีประเภทอื่น สามารถแบ่ง solidifying agent ได้เป็นสองประเภทหลักคือ ไขมันและแวกซ์
Waxes • จุดเด่นของลิปสติกปัจจุบันคือแวกซ์ซึ่งให้สมดุลของความคงตัวและความคงทน และให้สมดุลความลื่นเนียนเมื่อทาบนริมฝีปาก แต่ไม่มีสารใดที่จะให้คุณสมบัติที่เหมาะสมเช่นนั้นได้เพียงสารเดียว ดังนั้นส่วนประกอบแวกซ์คือการผสมกลมกลืนแวกซ์ที่มีจุดหลอมสูงต่ำต่างกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการไหล ความสวยงาม และผลสีที่ได้ แวกซ์สามารถแบ่งตามแหล่งกำเนิดได้เป็นแวกซ์จากสัตว์ พืช แร่ธาตุ หรือการสังเคราะห์ ในทางเคมี แวกซ์ก็คือส่วนผสมที่ไม่มีกลีเซอรอลของ esters กรดและแอลกอฮอล์ที่แข็งตัวเมื่ออยู่ในหรือใกล้เคียงอุณหภูมิห้อง
แวกซ์จากสัตว์ • แวกซ์จากสัตว์ที่นิยมมากในลิปสติกคือ ลาโนลิน ซึ่งได้มาจากการ alkaline washing ขนแกะ ลาโนลินเป็นส่วนประกอบของ alcohol esters C18 – C26 กรดไขมัน คลอเรสเตอรอลและเทอร์พีนอล ขณะที่ลาโนลินและสารสกัด acetylated ใช้ในลิปสติกเป็นอย่างมากเพื่อประโยชน์ในการให้ความชุ่มชื้น แต่โอกาสการเกิดอาการแพ้ เช่น อาการบวมและคัน ก็เป็นข้อจำกัดที่ทำให้ไม่เป็นที่นิยมในระยะหลัง • ขี้ผึ้งจากผึ้ง สกัดจากรวงผึ้ง มีให้เลือกทั้งแบบสีเหลืองและขาวบริสุทธิ์ ขี้ผึ้งป็นสารช่วยให้แข็งตัวสำหรับลิปสติกที่ใช้เบส castor oil มานาน ปัจจุบันนี้ก็ยังคงใช้อยู่ในระดับต่ำ (ca. 5%) ร่วมกับแวกซ์ชนิดอื่นเพื่อเพิ่มความสามารถการคืนตัวและประสิทธิภาพการแกะออกจากแม่พิมพ์และการหดตัวของลิปสติก หากใช้ในปริมาณมาก ลิปสติกจะไม่ค่อยน่าใช้ เนื้อสัมผัสขาดความมันวาว
แวกซ์จากพืช • Carnauba (Coperniciaprunifera) และ candelilia (Euphorbiaceaecerifera) waxes คือแวกซ์จากพืชแบบแข็งสกัดจากพืชในแถบทวีปอเมริกากลางและอเมริกาใต้ ทั้งสองมีส่วนประกอบหลักจาก esters และมักใช้เพียงเล็กน้อยเพื่อให้มีความอยู่ตัวและมันวาวกับเบสแวกซ์ และเนื่องจาก candelilia wax (mp 68.5 – 72.5 องศาเซลเซียส) มีจุดหลอมเหลวที่ต่ำกว่า carnauba wax (mp Ca. 83 องศาเซลเซียส) จึงต้องใช้ทั้งสองชนิดผสมกันเพื่อเพิ่มความวาวและความแข็งตัวโดยที่สามารถลดอาการเปราะหักได้ง่ายของผลิตภัณฑ์ให้ลดลงด้วย
แวกซ์จากแร่ธาตุ • Ozokeriteและ ceresin เป็น microcrystalline แวกซ์ที่เกิดตามกระบวนการทางธรรมชาติจากการสกัดปิโตรเลียม ใช้เพื่อเสริมครงสร้างลิปสติกให้คงตัวและช่วยลด syneresisโดยเฉพาะในสภาพอากาศร้อน ขณะที่ไฮโดรคาร์บอนแวกซ์ชนิดอื่น เช่น พาราฟิน มักใช้น้อยกว่าเนื่องจากคุณสมบัติที่เปราะหักได้ง่ายและไม่เข้ากับ castor oil
แวกซ์สังเคราะห์ • โพลีเอธีลีนแวกซ์ เช่น เพอร์ฟอร์มาลีน (New Phase Technologies) และ ซิลเทค (Petrolite Corporation) อาจนำมาใช้ในลิปสติกเพื่อเพิ่มความคงทนต่ออุณหภูมิสูง ทำให้ลิปสติกไม่มีขั้วตรงข้ามมากพอที่จะละลายพลาสติก ทั้งยังต้องแน่ใจได้ว่าอุณหภูมิที่สูงมาก (มากกว่า 90องศาเซลเซียส) ซึ่งใช้เพื่อละลายสารดังกล่าวจะไม่ทำให้คุณภาพของสารอื่นในลิปสติก ลดลงเกินควร
นวัตกรรมใหม่ๆ • นวัตกรรมใหม่ๆ ทางเคมีของซิลิโคนและฟลูออรีนได้ช่วยให้เกิดแวกซ์ organosiliconeและ organofluoro รุ่นใหม่ๆ ที่มีคุณสมบัติทางเคมีกายภาพที่โดดเด่นและแปลกใหม่ ตัวอย่างเช่น SiliconylBeewaxes, SiliconylCandelillaและ Siliconyl Synthetic Paraffin Wax (KosterKeunen, Inc.) ล้วนเป็นซิลิโคนเอสเตอร์ที่ให้ผลลัพธ์และความลื่นเพิ่มขึ้นโดยที่ช่วยจับคู่ซิลิโคนออยล์ในเบสแวกซ์โดยไม่ blooming a Alkyl methyl siloxanes waxes เช่น AMS C-Wax ของ Dow Corning และ alkyl dimethicone waxes เช่น SF1642 Wax ของ GE เป็น alkyl silicone ลูกผสมที่มีจุดหลอมสูงที่เข้าได้ดีกับแวกซ์และน้ำมันจากธรรมชาติที่พบได้ในลิปสติก ฟลูออโรแวกซ์สังเคราะห์ เช่น fluorohexacosonate (KosterKeunen, Inc.) อาจช่วยให้ติดทนนานและกันน้ำดีขึ้นขณะที่ลดความตึงผิวและลากบนริมฝีปาก
Waxes • Waxes form the structure of the stick. The wax mixture has a fusion of around 80⁰C. Important to only use food grade waxes • Waxes form a film on the lips • หน้าที่ของ waxes คือ ให้โครงสร้างที่แข็งและเหนียวแม้ว่าจะอยู่ในอากาศที่อุ่น • Waxes ส่วนใหญ่จะแตกต่างกันที่คุณสมบัติในการใช้ • จะรักษาความเหนียวไว้ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 50 C จึงจะหลอมเป็น oil จึงไม่เกิดเป็นเหงื่อ ให้ความลื่น ใช้ง่าย
Waxes • Carnauba wax : เป็น natural waxes ที่แข็งที่สุดและมี melthing point สูง (85 ๐C) ใช้ 1-20 % การใช้ % น้อยๆ จะช่วยเพิ่มความนุ่มและความเหนียวของลิปสติก • Candelilla wax : มี mething point ต่ำกว่า carnauba wax , mp 65-69 C ใช้ 5-10% • Beeswax : เป็นตัวช่วยทำให้ลิปสติกแข็งและลื่น กระจายตัวดีขณะทา แต่ถ้าใช้ beeswax เพียงตัวเดียว จะทำให้ลิปสติกขาดความเงาและทำให้เกิดการลากเป็นรอยเมื่อทา mp 62-64 C ใช้ 3-10% • Ozokerites or Amorphous hydrocarbon waxes :มี mething point เป็นช่วงกว้าง ให้ลักษณะของเนื้อแตกต่างกันหลายแบบ แต่จะให้ความนุ่มมากที่สุดเมื่อใช้ร่วมกับ mineral oil ใช้ 3-10%
Waxes 5. Paraffins wax : อ่อนและเปราะแตกง่าย ดังนั้นจึงใช้สัดส่วนที่น้อยเพื่อให้ลิปสติกเงาวาวขึ้น mp 50-60 C 6. Synthetic waxes : มีหลายชนิดให้เลือกใช้ โดยเลือกใช้ตามคุณสมบัติที่พอใจเอาเอง 7. Hydrogenated castor oil (castor wax) : เป็น waxes ที่เปราะ ช่วยเรื่องของความเงา ไม่ค่อยช่วยเรื่องความแข็ง 8. Spermaciti (Cetylpaimitate & Cetylmyristate): เป็น waxes ที่อ่อน ร่วน ลื่น จะใช้ในสักส่วนที่น้อยเพื่อเพิ่มคุณสมบัติ Thixothopic (ต้องการแรงเพื่อให้เกิดการไหล)ให้สูงขึ้น ได้จากไขปลาวาฬ ***Thixothopicคือลักษณะของเนื้อที่เมื่อไม่มีแรง cheer จะข้น เมื่อมีแรง cheer จะเหลวลง และเมื่อลดแรง cheer จะค่อยๆ กลับมาข้นขึ้นอีก
Waxes 9. Petrolatum – Based waxes :Microcrystalline wax ช่วยปรับความข้นและการไหล 10. Fatty Alcohols : Cetyl alcohol/Sterryl alcohol mp 45-50 C/43 C ช่วยเรื่องการไหล ใช้ 2-3 % 11. Ceresin wax : MP 60-75 C บางครั้งอาจใช้แทน Beeswax เพราะบางคนอาจแพ้ Beeswax เนื่องจากได้มาจากผึ้ง 12. Silicone waxes: Organosiliconeblock polymers, hydrocarbon silicone copolymers, silphenylene copolymers viscosity modifier ช่วยปรับ viscosity, feeling เกิด soft touch, water resistant, long lasting lipstick
Oils • น้ำมันที่สำคัญในการผลิตลิปสติกทุกวันนี้คือ น้ำมันจากพืช แร่ธาตุและจากการสังเคราะห์ • มีหน้าที่กระจายสีและ fillers ทำให้ส่วนผสมขององค์ประกอบ polar and non-polar ในลิปสติกอยู่ตัวไม่แยกตัว • นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการไหลลื่นของแวกซ์และให้ความนุ่มและ emolliencyกับริมฝีปากด้วย
Oils • ไขมันเป็น triestersแบบแข็งของกลีเซอรีนและกรดไขมัน C8 – C18 เป็นส่วนมาก ลิปสติกในยุคแรกผลิตจากไขมันหมู ไขสัตว์เพื่อขึ้นรูปลิปสติก แต่กรดส่วนหนึ่งในไขเหล่านี้มักทำปฏิกิริยากับออกซิเจนและทำให้หืนได้เร็ว ดังนั้นไขมันพืชจึงถูกนำมาใช้แทนไขสัตว์ เช่น ไขโกโก้ และไขพืชแข็ง เช่น hydrogenate castor ไขมันมะพร้าวและไขมันปาล์ม ที่ผ่านมานี้ไตรกลีเซอไรด์สังเคราะห์ที่มีกลิ่นและรสดีมากกว่าชนิดธรรมชาติ เช่น glyceryltristearate, glyceryltripalmitateและ glyceryltriacetylhydroxystearateได้รับการพัฒนาขึ้น ไขมันเป็น stain solubilizersและต้องใช้ในระดับต่ำกว่าร้อยละ 15 เพื่อทำให้เป็นพลาสติกและทำให้เบสลิปสติกอ่อนนุ่มขึ้น
น้ำมันจากพืช • น้ำมันจากพืชที่ถือว่าสำคัญที่สุดในการผลิตลิปสติกในปัจจุบันนี้คือ armamentarium castor oil น้ำมันนี้หรือเรียกอีกชื่อว่า ricinus oil คือสารสกัดที่ระเหยได้ช้าจากเมล็ด castor beans, ricinuscommunis และประกอบด้วย glycerylricinoleateเกือบทั้งหมด ความนิยมในการใช้ castor oil ในลิปสติกเกิดจากความทนต่อการหืน พร้อมทั้งมีความหนืดมากสามารถทนต่ออุณหภูมิได้หลากหลายซึ่งทำให้น้ำมันนี้เป็นตัวกระจายสีที่ดี เมื่อใช้ในปริมาณความเข้มข้นที่พอเหมาะจะให้รสชาติที่ดีได้และให้ความมันเงาต่อริมฝีปากด้วย • น้ำมันพืชชนิดอื่น เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม ไม่นิยมนำมาผสมลิปสติกมากนักเนื่องจากมีความคงตัวต่ำและละลายสีได้ไม่ดี
น้ำมันจากแร่ธาตุ • ในการผสมลิปสติกมักจะใช้น้ำมันจากแร่ธาตุเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเพื่อเพิ่มความวาวให้แท่งลิปและสีสันบนริมฝีปาก เนื่องจากน้ำมันชนิดนี้มีคุณสมบัติ oxidative stability ที่ดีมาก ด้วยเหตุนี้จึงมีข้อจำกัดในการเข้ากันกับสารอื่นในลิปสติกที่น้อยตามไปด้วย
น้ำมันสังเคราะห์ • น้ำมันที่จัดอยู่ในประเภทนี้ได้แก่ กลุ่มแอลกอฮอล์ เช่น isocetylและ isostearyl alcohol และกลุ่ม eaters เช่น capric/caprylic triglyceride และ octylhydroxystearateการเปิดตัวใช้ silicone fluids ในการผลิตเครื่องสำอาง เช่น dimethicone, organosiliconeoils เช่น phenyl trimethiconeและ perfluoropolyethersเช่น Fomblin (AusimontMontedison) ได้เปิดแง่มุมใหม่ๆ ต่อวิธีการผสมสูตรลิปสติกที่ให้ลิปสติกอยู่ตัวได้ดีพร้อมทั้งมีสีสันสวยงามน่าใช้
Oils • Oils are used to wet the pigments and give slip to the stick • Usually Castor Oil is used • Silicone may be added for smother slip
Oils :Vegetable oils • ในยุคแรกๆ จะใช้ น้ำมันมะกอก น้ำมันงา • มีกลิ่นหืนและเป็นตัวทำละลายที่ไม่ดี • ปัจจุบันใช้น้อย
Oils :Mineral oils • มีการใช้มากอยู่ช่วงหนึ่ง เพราะไม่เหม็นหืน • เป็นตัวทำละลายสีที่แย่ที่สุด • เมื่อทาบนริมฝีปาก สีจะหลุดง่าย • ใช้ปริมาณน้อยในสูตรเพื่อเสริมความมันของแท่ง
Oils : Castor Oil • เป็น vegetable oil ที่มี viscosity สูงที่สุด • เป็นตัวทำละลายใน bromo acid ที่ดี • เป็น oil ที่ถูกใช้มากที่สุดตัวหนึ่ง • เป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการทำลิปสติกในปัจจุบัน • ด้วยค่า viscosity ที่สูงสามารถยึดเหนี่ยวไม่ให้สีลอกหรือหลุดออกง่าย • ข้อเสีย คือ ความเหนียวจากviscosity ที่สูง ทำให้การผสมเข้ากับ dry pigment ยาก • ทำให้เกิดความรู้สึกและเสียดสีเวลาทา
การพัฒนา Castor Oil เพื่อใช้ในลิปสติก • เป็นตัวทำละลายที่ดี • Viscosity ต่ำกว่าเดิม หรือมี viscosity ที่ต่ำในอุณหภูมิที่ใช้งาน • กลิ่นอ่อนลงและมี stability ที่ดีขึ้น • ใช้งานได้ดียิ่งขึ้น
Oils : Wheat Germ Oil • มีการนำมาใช้ในลิปสติก • ต้องป้องกันการหืน เพราะมีส่วนประกอบของ Polyunsaturatesสูง
Oils : Solvent Oil • ช่วงหนึ่งเคยนิยมใช้มาก เพื่อให้สี Bromo acid และ Halogenated fluorescein ติดทนบนริมฝีปาก • นิยมใช้ใน “ High-stain lipstick” • ใช้กับสีน้ำเงินอ่อนอมแดง • *** ผู้หญิงมักเติมลิปสติกบ่อยๆ ระหว่างวัน เมื่อลิปสติกหลุดออกจะเหลือแต่คราบสีน้ำเงินอมแดงทำริมฝีปากดูดำคล้ำ • Solvent oil เมื่อผสมกับ Bromo acid ใช้ปริมาณสูงๆ จะทำให้สีติดทน แต่กลิ่นจะแรงต้องแต่งกลิ่นด้วยน้ำหอมเพื่อกลบกลิ่น • อาจเกิดการแพ้ได้
Esters : Butyl Stearate • ใช้มากเป็นส่วนผสมในลิปสติก • เป็นตัวทำละลาย bromo acid ที่ดี แต่น้อยกว่า castor oil • Butyl Stearate ทำให้ bromo acid และ pigment เปียกได้รวดเร็วกว่า castor oil • ช่วยการกระจายตัวของสี • ช่วยลดความข้นของ phase oil ลดความเหนียวเวลาลากลิปสติกบนริมฝีปาก • Butyl Stearate เกรดบริสุทธิ์ จะไม่มีกลิ่นและไม่ทำให้เกิดกลิ่นหืน
Esters : IPM, IPP • Isopropyl myristate (IPM) และ Isopropyl palmitate(IPP) • มีการใช้กันอย่างแพร่หลาย • มีคุณสมบัติคล้ายกับ butyl stearate • ใช้ปริมาณน้อยในสูตร ทนอุณหภูมิสูง • มีแนวโน้มการเกิดเหงื่อ (sweat) น้อยกว่า butyl staerate
Esters : Diethyulsebacateและ Diisopropyladipate • ใช้ทั่วไปในลิปสติก • มีคุณสมบัติคล้ายกับ butyl staerate
Ester: ตัวอื่นๆ Oleyl alcohol : • ใช้ในสัดส่วนที่สูงในลิปสติก ทำให้มีคุณสมบัติดีขึ้น A Hexadecyl alcohol : (เป็นส่วนผสมของ branches chain C16 alcohols) • เป็น branched structure ทำให้การสูญเสียความชุ่มชื่นจากผิวน้อยกว่า straight chain oils
ตารางศึกษาการใช้ solvent เป็นตัวทำละลาย bromo acid
ข้อจำกัดของการเลือกใช้ Solvent • Carbitol : ให้ใช้สูงสุด 5 % ในเครื่องสำอาง เพราะมีความเป็นพิษหากใช้ปริมาณสูง และมีรสขม • Butylene glycol and Hexylene glycol : รสไม่เป็นที่ยอมรับ • Polyethylene glycol : สามารถดูดน้ำไว้ที่ตัว จึงเป็นการเพิ่มเหงื่อในลิปสติก หากใช้ปริมาณสูง • Tetrahydrofurfuryl alcohol and acetate : กลิ่นไม่เป็นที่ยอมรับ ระเหยง่าย • Benzyl alcohol : กลิ่นใช้ได้ ซึ่งมีผลอย่างมากเมื่อใช้บนริมฝีปาก • Phenylethyl alcohol : จะมีกลิ่น rose wsaterค่อนข้างแรง ต้องใช้ร่วมกับ oil ตัวอื่น • Propylene glycol : ค่าการละลาย bromo acid ไม่สูงแต่นิยมใช้ในสูตรที่ต้องการให้ลิปสติกติดทนบนริมฝีปาก มีรสหวานมีความเป็นพิษต่ำ แต่สามารถดูดน้ำไว้กับตัว ถ้าจะนำมาผสมกับ oil หรือ waxsจะต้องมี solvent ตัวอื่นช่วย เช่น Oleyl alcohol และ Propylene glycol monoester จึงจะสามารถทำให้ Propylene glycol เข้ากับสารอื่นได้
Fatty Materials • ปัจจุบันใช้น้อยในลิปสติกยุคใหม่ๆ • Cocoa butter : เคยเป็นสารในอุดมคติของการทำลิปสติก เพราะมีจุดหลอมเหลวที่อุณหภูมิใกล้เคียงกับอุณหภูมิของร่างกาย mp < 37 C และใช้ง่าย แต่พบว่ามันทำให้เกิดการ Bloom หรือการทำให้ผิวของลิปสติกไม่เรียบ จึงไม่ค่อยนำมาใช้แล้วในปัจจุบัน • Hydrogenated vegetable oils : ที่ใช้ในอาหาร มีความคงตัวต่อปฏิกิริยา oxidation และให้เนื้อที่ดี • Petrolatum : มีความคงตัวสูง ให้ความมันวาว แต่ใช้ในปริมาณน้อยในสูตร • Lanolin : มีคุณสมบัติที่ดี นิยมใช้ช่วยการกระจายตัวของสี ใช้ในสัดส่วนที่สูงในสูตร 5-7% ช่วยให้ความเงาและความชุ่มชื้นกับริมฝีปาก มีการพัฒนาเพื่อช่วยให้กลิ่นไม่เปลี่ยนแปลง
Fatty Materials 5. Modified Lanolin : เป็นส่วนหนึ่งของ lanolin เช่น lanolin oil , lanolin wax ใช้เป็นส่วนประกอบหนึ่งของสูตร 6. Glycerylmonostearate (non-emulsifying) : ช่วยให้เนื้อร่วมกับสารอื่นๆ ในสูตร เป็นตัวทำละลายที่ดี 7. Acetoglycerides : ให้เนื้อที่มีความแตกต่างจากไขมันตัวอื่นๆ 8. Lecithin : ใช้ในสัดส่วนน้อยๆ เพื่อปรับความเรียบผิวของลิปสติก ให้ความชุ่มชื้น ใช้ง่าย 9. Branched-chain hydrocarbons, alcohols, esters : ใช้ในลิปสติกและสำหรับการเตรียม make-up ตัวอื่นๆ เพราะจะจับตัวบนผิวน้อย ยอมให้น้ำผ่านอกจากผิวมากกว่าไขมันพวก straight-chain
Pigments • From the list of approved pigments for mucosis • Either mineral or lacquers of organic pigments • Mica or pearlized pigments • Mixed in the oil, they are grounded through a mill to a fine texture
Certified color • Color Index Number (CI.No.) • FD&C • D&C • External D&C Lipstick 1, 2 only
Colorants • สาระสำคัญของลิปสติกคือสี เฉดสีที่ระบายบนริมฝีปาก ระดับของเนื้อลิปสติกที่จะปกปิด และสัมผัสของเนื้อลิปสติกล้วนแต่เป็นหน้าที่ที่เกี่ยวพันกันในการผสม colorants ที่จะใช้ ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่า stains หรือ “bromo acids” เป็นส่วนสำคัญของลิปสติกในช่วงเกินกว่าครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20แต่ได้รับความนิยมน้อยลงในช่วงที่ผ่านมา รายงานเรื่อง photosensitization-induced cheilitis(ริมฝีปากอักเสบ)
Pearlescent Pigments • ประกายและความสวยงามของลิปสติกสมัยใหม่ต้องถือว่ามาจาก pearlescent pigments หรือไข่มุกนั่นเอง เม็ดสีจะถูกสร้างขึ้นระหว่างรอยแยกของตัวสารไข่มุกตามกฎฟิสิกส์เรื่องการสะท้อนและหักเหของแสงมากกว่าการดูดซับแสง เมื่อแสงส่องผ่านทะลุชั้นเลเยอร์โปร่งใสแต่ละชั้นก็จะเกิดการสะท้อนแสงขึ้นด้วยแสงจำนวนหนึ่งที่ส่งผ่านลึกเข้าไปใต้ชั้นแมทริกซ์ การสะท้อนแสงจาก”กระจก”เล็กๆ มากมายเหล่านี้สะสมกันมากขึ้นจนเกิดเป็นปรากฏการณ์ pearlescent • สารอินทรีย์ทั่วไปที่มีอยู่ในไข่มุกคือ guanine ซึ่งก็คือเบส purine ที่ให้แสงสะท้อนกับเกล็ดปลาและสัมผัสมันเงาของผิวหนังสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำและสัตว์เลื้อยคลาน ปกติแล้วผลกระทบทางการค้าลิปสติกของ guanine ถูกจำกัดด้วยต้นกำเนิดทางธรรมชาติ ในทุกวันนี้จึงมีสารสังเคราะห์ที่เข้ามาทดแทนนั่นคือ pearl bismuth oxychloride
สีจากธรรมชาติ • สีจากธรรมชาติ เช่น คาร์มีน และสารอนินทรีย์ เช่น iron oxides ถูกนำมาใช้ผสมใน pearl laminate เพื่อให้ความเกิดสีที่ดูชุ่มฉ่ำมากกว่าที่จะได้จากการผสมไข่มุกกับ colorants ในลิปสติกเท่านั้น ตัวอย่างของ pigmented pearls ดังกล่าว ได้แก่ Cellini pigments จากบริษัท Englehard Corp. และบริษัท Colorona pigments จาก EMI Industries, Inc.
ระดับและคุณลักษณะที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาของ pearlescent pigments ที่ใช้จะกำหนดผลในการมองเห็นสีบนแท่งลิปสติกและสีเมื่อใช้บนผิวหนังแล้ว เมื่อใช้ความเข้มข้นต่ำ (ca. ต่ำกว่า 2%) จะให้ความเงาวาวและและความมีชีวิตชีวาให้กับการกระจายสีที่มีเบสออกไซด์ ขณะที่ความเข้มข้นสูงจะแสดงผลการเปลี่ยนแปลงของสีที่โดดเด่นให้กับแท่งลิปสติก และ/หรือเพิ่มประสิทธิภาพการจัดรูปทรงให้กับลิปสติกที่จัดรูปทรงยากไม่เช่นนั้นก็จะเปลี่ยนลักษณะภายนอกของลิปสติก
Filler • Colorants ของลิปสติก ได้แก่ lakes, metal oxide, pearls ต่างมี concomitant ability ที่จะเปลี่ยนการผสมผสานทางโครงสร้างของแท่งลิปสติก ในขณะเดียวกัน colorants แต่ละชนิดก็มีความสามารถในการดูดซับน้ำมันจากเบสลิปสติกและ/หรือจากพื้นผิวของริมฝีปากที่ต่างกัน เนื่องจากความเข้มข้นทั้งหมดของพิกเมนท์สามารถแปรเปลี่ยนไปได้มากในชุดลิปสติกที่มีเฉดสีเดียวกัน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีกลไก counterbalancing เพื่อให้แน่ใจได้ว่าโครงสร้างของลิปสติกและสัมผัสจะคงที่ โดยการใช้ fillers ที่ไม่มีปฏิกิริยาและไร้สี ปกติแล้วจะใช้ฟิลเลอร์ในระดับต่ำ (1-2 %) จนถึงระดับพอประมาณ (10-12 %) ฟิลเลอร์อาจมีรูปร่างคล้าย plate เช่น ไมก้า ทอล์ก หรือเซเรไซท์ หรืออาจมีทรงกลมเช่นเดียวกับ ซิลิก้า ไนลอน หรือ polymethyl methacrylate (PMMA) หรือไม่มีรูปร่างที่แน่นอนเช่นเดียวกับอะลูมินาหรือแบเรียมซัลเฟต
Additive • สารกันแดดจากสารอินทรีย์ เช่น methyl p-methoxycinnarnateและ ตระกูล benzophenone ของตัวดูดซึมรังสีอุลตร้าไวโอเล็ต • สารกันแดดจากสารอนินทรีย์ เช่น non-pigmentary, micronized titanium dioxide และ zinc oxide • สาร antioxidants เช่น BHT และ alpha-tocopherol and its esters • สารกันบูด เช่น methyl and/or propyl phydroxybenzoate • Chelating agents เช่น EDTA and its alaki and alaki earth metal salts
Additive • รสและน้ำหอม (Flavor and Perfume) • อาจมีสารเพิ่มเติมที่มีคุณสมบัติ physicochemical เฉพาะ เช่น polymeric film formers และสารที่มีผลทางการแพทย์ต่อผิวหนัง เช่น มอยส์เจอร์ไรเซอร์ รวมอยู่ด้วยเพื่อ comfort ประสิทธิภาพและอายุการใช้งานตามที่กล่าวอ้างไว้ ต้องศึกษาระเบียบข้อบังคับเฉพาะและข้อเขียนเรื่องความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับสารปรุงแต่งแต่ละชนิดเนื่องจากเกี่ยวข้องกับการใช้สารเหล่านั้นบนริมฝีปาก
Preservatives • While the lipstick is anhydrous, molds may grow on the surface: need to preserve. Usually with parabens • Propylparaben 0.1%