700 likes | 1.05k Views
พาณิชย์ อิเล็กทรอนิกส์( E-Commerce ). Structure Base. E-Commerce Application. กรอบแนวคิดของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์. E-Commerce. Management Factors. Product Type. Electronic Commerce: E-Commerce. จะเริ่มต้นทำธุรกิจบนอินเทอร์เน็ตอย่างไร. Electronic Commerce: E-Commerce. การพัฒนาเว็บไซต์.
E N D
พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์(E-Commerce)พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์(E-Commerce)
Structure Base E-Commerce Application กรอบแนวคิดของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ E-Commerce Management Factors Product Type Electronic Commerce: E-Commerce
จะเริ่มต้นทำธุรกิจบนอินเทอร์เน็ตอย่างไร Electronic Commerce: E-Commerce
การพัฒนาเว็บไซต์ • กำหนดโครงสร้างของเว็บไซต์ว่าจะมีอะไรบ้าง เช่น Homepage, Company Profile,Product and Service, FAQ, Contact เป็นต้น • กำหนดรูปแบบของเว็บไซต์และเว็บเพจว่าภาพโดยรวมเป็นอย่างไร • กำหนดวิธีการอธิบายลักษณะสินค้า และบริการให้สมบูรณ์ • กำหนดราคาสินค้า (บาทและดอลลาร์สหรัฐฯ) ราคารวมค่าขนส่ง/ประกันภัย/ภาษี • ลงรายละเอียดของร้านค้าที่ลูกค้าจะติดต่อได้ • กำหนดและระบุนโยบายการคืนสินค้า
การพัฒนาเว็บไซต์ • การรับและบริหารการสั่งซื้อ • ระบบการสั่งซื้อ (Odering System) • ระบบการชำระเงิน (Payment System) วิธีที่สะดวกที่สุดคือการรับชำระเงินผ่านบัตรเครดิต • ยืนยันคำสั่งซื้อ • บรรจุสินค้าเพื่อทำการจัดส่ง • วิธีการส่งต้องรวดเร็วและสะดวก โดยเสนอทางเลือกให้ลูกค้าด้วย
การเข้าสู่ระบบนี้ได้เร็วเท่าไหร่ย่อมหมายถึงว่าเวลาและโอกาสที่จะใช้ในการเรียนรู้และปรับตัวก็มีมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งเมื่อถึงเวลาที่ทั่วโลกพร้อม คุณก็จะพร้อมแล้วเช่นกัน • ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมีอัตราการเติบโตที่รวดเร็วทำให้การกระจายข่าวบนชุมชนอินเทอร์เน็ตทำได้รวดเร็ว ซึ่งย่อมเป็นผลดีแก่ผู้บุกเบิกหรือริเริ่มอะไรใหม่ๆ เพราะจะได้รับการกล่าวถึงเป็นอย่างมาก ทำให้ได้เปรียบในเรื่องของชื่อเสียงและภาพพจน์ของบริษัท ช่วงเวลาใดที่เหมาะสมสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆประการ เช่น ขนาดและความซับซ้อนของเว็บไซต์ แผนการตลาดและประชาสัมพันธ์ • งบประมาณหลักๆที่จำเป็นต้องมีไว้ในกรณีที่ต้องการมีเว็บไซต์เป็นของตนเอง คอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ ค่าจ้างในการทำเว็บไซต์ ค่าดูแลรักษาเว็บไซต์ และ ค่าโฆษณา • โดยรวมแล้วอยู่ประมาณหลักแสนถึงล้านบาท อย่างไรก็ดีสำหรับผู้มีเงินทุนน้อยไม่เพียงพอสำหรับวิธีนี้ • ข้อดีของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ก็คือ เงินลงทุนที่ใช้นั้นน้อยกว่าที่ใช้สำหรับการมีร้านหรือธุรกิจแบบกายภาพเป็นอย่างมาก การทำพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ต้องใช้เงินลงทุนเบื้องต้นมากน้อยเพียงใด
ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆประการ เช่น ขนาดและความซับซ้อนของเว็บไซต์ แผนการตลาดและประชาสัมพันธ์ • งบประมาณหลักๆที่จำเป็นต้องมีไว้ในกรณีที่ต้องการมีเว็บไซต์เป็นของตนเอง คอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ ค่าจ้างในการทำเว็บไซต์ ค่าดูแลรักษาเว็บไซต์ และ ค่าโฆษณา • โดยรวมแล้วอยู่ประมาณหลักแสนถึงล้านบาท อย่างไรก็ดีสำหรับผู้มีเงินทุนน้อยไม่เพียงพอสำหรับวิธีนี้ • ข้อดีของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ก็คือ เงินลงทุนที่ใช้นั้นน้อยกว่าที่ใช้สำหรับการมีร้านหรือธุรกิจแบบกายภาพเป็นอย่างมาก เลือกเทคโนโลยีและซอฟต์แวร์ให้เหมาะสมกับธุรกิจได้อย่างไร
การมอบหมายให้บริษัทที่เชี่ยวชาญในด้านนี้รับผิดชอบ (Outsource) ข้อดีของวิธีนี้อยู่ตรงที่ช่วยลดปัญหาเรื่องการบริหารบุคลากรและอาจมีต้นทุนต่ำกว่าในกรณีที่ไม่มีการไม่แก้ไขหรือปรับปรุงระบบบ่อยเกินไปนัก ส่วนข้อเสีย ก็คือ การสื่อสารกับบริษัทภายนอกมักทำได้ไม่เต็มที่เท่ากับการสื่อสารกับบุคลากรภายใน ซึ่งอาจทำให้ระบบที่ได้ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของธุรกิจได้อย่างเต็มที่ • เรื่องของความรู้ที่จำเป็นสำหรับผู้ประกอบการ ถ้าหากคุณไม่ได้คิดจะสร้างทุกอย่างขึ้นมาจากสองมือของคุณเองแล้ว ความรู้พื้นฐานทางคอมพิวเตอร์และพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องเข้าคอร์สเรียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ซับซ้อนเพิ่มเติม ณ เวลานี้แต่ละบริษัทต่างให้ความสำคัญกับความง่ายและสะดวกสบายในการทำพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เป็นอันดับต้นๆ
สำรวจตัวเอง เพื่อค้นหาจุดอ่อน/จุดแข็งของสิ่งต่างๆ ดังต่อไปนี้ • เป้าหมาย • สินค้าและบริการ • ต้นทุน • บุคลากร • เทคโนโลยี • สำรวจตลาด เพื่อทราบความต้องการของตลาด • กลุ่มเป้าหมาย • ความต้องการของตลาดด้านสินค้า/บริการ • ราคา • พฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค ก่อนจะเริ่มธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ต้องทำอย่างไร
สำรวจคู่แข่ง เพื่อสร้างความแตกต่าง • สินค้า/บริการ • ราคา • กลุ่มเป้าหมาย • สำรวจศักยภาพทางเทคโนโลยี เพื่อสร้างความได้เปรียบเชิงแข่งขันในด้านต่างๆ ต่อไปนี้ • ระบบสั่งซื้อ • ระบบโต้ตอบอัตโนมัติ • ระบบส่งเสริมการขาย • ระบบชำระเงิน • ระบบหลังร้าน • ระบบรักษาความปลอดภัย ก่อนจะเริ่มธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ต้องทำอย่างไร
ระบบจัดส่งสินค้าที่ผู้ประกอบการเลือกใช้ในจะต้องมีความแน่นอน เชื่อถือได้ และตรงกับเวลาที่ลูกค้าคาดหวังในการรอรับสินค้า • การมีระบบการจัดส่งสินค้าที่ดีช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย ประหยัดเวลา เพิ่มความพอใจให้กับลูกค้า และสร้างมูลค่าเพิ่มสำหรับสินค้านั้นๆ บริการต่างๆ เหล่านั้นได้แก่ • รับส่งเอกสารด่วน • รับส่งพัสดุภัณฑ์ด่วน • บริการหีบห่อหลายขนาดตามความเหมาะสมของสิ่งของนั้นๆ • บริการรับของซึ่งรวมถึงการตรวจรับของที่รับมา • การจัดการคลังสินค้าร่วมกับการเข้าใช้ระบบการจัดการคลังสินค้าทั่วโลก • การจัดการที่จัดเก็บของและโกดัง • การรวมของและการแยกของ การจัดส่งสินค้าในระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ มีรายละเอียดอย่างไร
บางแห่งอาจจะมีบริการพิเศษ เช่น สามารถติดตามพัสดุที่จัดส่งได้ เช่น DHL, FedEx, EMS หรือมีบริการรับประกันสินค้าส่งด่วนสูญหาย เช่น DHLเป็นต้น • ผู้ประกอบการควรเลือกบริษัทที่มีบริการที่ตรงกับความต้องการของตน และทำความตกลงในการส่งสินค้าให้กับลูกค้ากับบริษัทผู้จัดส่ง ในปัจจุบันมีทั้งหน่วยงานของรัฐและเอกชนหลายแห่งที่ให้บริการด้านนี้ เช่น UPS, DHL, FedEx และ EMS การจัดส่งสินค้าในระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ มีรายละเอียดอย่างไร
อยากจะประสบความสำเร็จในธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ต้องทำอย่างไร
การโฆษณาและประชาสัมพันธ์สินค้า/บริการ ให้เป็นที่รู้จักของลูกค้าผ่านสื่อต่างๆ • การสั่งซื้อ เมื่อลูกค้าพอใจในสินค้า/บริการ จะทำการสั่งซื้อสินค้า/บริการดังกล่าว • การชำระเงินค่าสินค้า/บริการนั้นๆ ซึ่งจะต้องทำให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจในระบบรักษาความปลอดภัย • การจัดส่งสินค้า/บริการ โดยผู้ประกอบการต้องจัดส่งสินค้า/บริการให้ถึงมือลูกค้าอย่างรวดเร็ว และตรงเวลา พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ประกอบด้วยขั้นตอนทางธุรกิจอะไรบ้าง
Free Homepage คือ เนื้อที่บางส่วนบนเซิร์ฟเวอร์ของเว็บไซต์ขนาดใหญ่ที่ให้ผู้เข้าชมเพื่อนำไปสร้างเว็บไซต์ของตนเอง โดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น • นอกจากเนื้อที่บนเซิร์ฟเวอร์แล้ว ซอฟต์แวร์บางอย่างที่จำเป็นสำหรับการสร้างเว็บไซต์เบื้องต้นก็มีพร้อมไว้ให้บริการฟรีเช่นกัน เช่น ซอฟต์แวร์สำหรับสร้างกราฟิก ซอฟต์แวร์สำหรับอัพโหลดเว็บเพจ เป็นต้น Free Homepage คืออะไรใช้ทำพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ได้หรือไม่
ข้อดีของการมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง คือ ความสามารถในการตอบสนองความต้องการในทุกๆเรื่อง • ตั้งแต่การเลือกโดเมนเนมจนไปถึงโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีต่างๆ • อีกทั้งยังมีความยืดหยุ่นสูง การพัฒนาระบบให้เข้ากับธุรกิจทำได้ดีกว่า การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในอนาคตทำได้สะดวก มีอิสระไม่ต้องตกอยู่ภายใต้ข้อบังคับหรือข้อตกลงกับบริษัทใดบริษัทหนึ่ง มีเว็บไซต์ของตัวเอง หรือ อาศัยไซเบอร์มอลล์ (Cybermall) ข้อดี ข้อเสียแตกต่างกันอย่างไร
จุดอ่อน • ความยุ่งยากในการสร้างและดูแลรักษาเว็บไซต์ ความรู้ทางด้านคอมพิวเตอร์จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ต้นทุนทางด้านเทคโนโลยี และ บุคลากรก็สูงทำให้มีความเสี่ยงทางธุรกิจสูง • การตลาดหรือประชาสัมพันธ์ต่างๆก็ต้องทำแต่โดยลำพัง ทำให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ลำบาก การขาดซึ่งข้อมูลข่าวสาร อาจนำไปสู่การขาดความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจในตัวเว็บไซต์ได้ในที่สุด มีเว็บไซต์ของตัวเอง หรือ อาศัยไซเบอร์มอลล์ (Cybermall) ข้อดี ข้อเสียแตกต่างกันอย่างไร
ไซเบอร์มอลล์นั้นข้อได้เปรียบคือ มีค่าใช้จ่ายต่ำ เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น ที่ต้องการทดลองธุรกิจประเภทนี้หรือธุรกิจยังมีขนาดเล็กอยู่ ไม่ต้องยุ่งยากมาก ระบบต่างๆถูกออกแบบมาเพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน จึงเรียนรู้ได้เร็ว สามารถมีธุรกิจบนอินเทอร์เน็ตแบบสมบูรณ์เป็นของตนเองได้ในไม่กี่ชั่วโมง การทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ก็เป็นหน้าที่หลักของมอลล์ ด้วยตัวชื่อเสียงของมอลล์และความหลากหลายของสินค้าเองแล้ว ทำให้ดึงการดูดลูกค้าเข้ามานั้นทำได้ไม่ยาก ความปลอดภัยต่างๆก็เชื่อถือได้ เพราะเป็นบริษัทใหญ่มีความมั่นคง มีผู้รับผิดชอบแน่นอนหากมีปัญหาใดๆเกิดขึ้น
ข้อเสียเปรียบของการมีเว็บไซต์ประเภทนี้คือ ทุกอย่างจะต้องอยู่ในกฎระเบียบของศูนย์ ขาดความยืดหยุ่น ในอนาคตหากยอดขายเพิ่มขึ้น ในที่สุดอาจต้องออกมาทำเว็บไซต์เป็นของตนเอง
ประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ได้ด้วยวิธีใดบ้างประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ได้ด้วยวิธีใดบ้าง
การประชาสัมพันธ์บนเว็บไซต์ของตัวเองการประชาสัมพันธ์บนเว็บไซต์ของตัวเอง ประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ได้ด้วยวิธีใดบ้าง
การลงทะเบียน • วัตถุประสงค์เพื่อเก็บรวบรวม ชื่อ นามสกุล e-Mail และข้อมูลส่วนตัวอื่นๆของผู้เข้าชมเว็บไซต์ไว้ • โดยสามารถทำได้หลายวิธี เช่น กรอกแบบสอบถามสั้นๆ สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับข่าวสาร และ ตอบปัญหาชิงรางวัล เป็นต้น • การลงทะเบียนนี้เป็นหนึ่งในวิธีที่สำคัญที่สุดสำหรับการประชาสัมพันธ์แบบนี้ เพราะข้อมูลที่คุณได้มานั้น โดยเฉพาะ e-Mail ทำให้คุณสามารถสานต่อความสัมพันธ์กับลูกค้าได้ เช่น การ e-Mail กลับไปหาเพื่อแจ้งรายการสินค้าใหม่ หรือ เมื่อมีโปรโมชั่นใหม่ที่น่าสนใจมานำเสนอ • การประชาสัมพันธ์บนเว็บไซต์ของตัวเอง
การแจกฟรีสินค้า หรือ คูปองส่วนลด • การแจกฟรีสินค้าบางอย่างหรือคูปองส่วนลดก็เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับการที่ผู้เข้าชมต้องเสียเวลาลงทะเบียน ตอบแบบสอบถาม หรือแม้กระทั่งเพียงแค่เสียเวลาเข้ามาชมเว็บไซต์ • การประชาสัมพันธ์บนเว็บไซต์ของตัวเอง
“Call-to-Action” Words • เป็นข้อความที่จูงใจให้ผู้เข้าชมเกิดการปฏิบัติต่อเว็บไซต์ เช่น “เพียงแค่คลิ้กเดียว หน้านี้ก็กลายเป็นโฮมเพจของคุณแล้ว”, “โทรหาเรา เดี๋ยวนี้” หรือ “ลงทะเบียนกับเรา ของที่ระลึกรอคุณอยู่” เป็นประเภทของข้อความที่เป็นที่นิยมอย่างมากบนเว็บไซต์ต่างๆ • การประชาสัมพันธ์บนเว็บไซต์ของตัวเอง
กิจกรรมพิเศษ • การทำให้ผู้เข้าชมกลับมาที่เว็บไซต์อีกครั้งโดยใช้กิจกรรมพิเศษเป็นตัวดึงดูด เช่น การพูดคุยแบบออนไลน์กับดารา นักร้อง การถ่ายทอดสดคอนเสิร์ตผ่านเว็บไซต์ หรือ การลดราคาสินค้าประจำปี เป็นต้น • การประชาสัมพันธ์บนเว็บไซต์ของตัวเอง
Web Board • เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในขณะนี้ เว็บบอร์ดมีขึ้นเพื่อเป็นที่แสดงความคิดเห็นในหัวข้อเรื่องต่างๆที่อยู่ในความสนใจของประชาชน โดยเว็บไซต์จะเปิดโอกาสให้ผู้เข้าชมตั้งกระทู้ใหม่หรือแสดงความคิดเห็นในกระทู้เดิมที่มีอยู่แล้ว ซึ่งทุกข้อความจะปรากฏอยู่บนเว็บไซต์ทันทีหลังจากที่ถูกพิมพ์เสร็จ • วิธีนี้เป็นการกระตุ้นให้ผู้เข้าชมกลับมายังเว็บไซต์อีกในภายหลัง เพื่อดูว่ามีความคิดเห็นใดเกิดขึ้นบ้างกับกระทู้ของตน หรือมีกระทู้ใหม่ใดบ้างที่น่าสนใจ • การประชาสัมพันธ์บนเว็บไซต์ของตัวเอง
การประชาสัมพันธ์บน World Wide Web ประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ได้ด้วยวิธีใดบ้าง การแลกปลี่ยนลิงค์คือการตกลงกับเว็บไซต์หนึ่งว่าต่างฝ่ายต่างจะนำลิงค์ของอีกฝ่ายหนึ่งไปไว้บนเว็บไซต์ของตน
การประชาสัมพันธ์ในที่อื่นๆบนอินเทอร์เน็ตการประชาสัมพันธ์ในที่อื่นๆบนอินเทอร์เน็ต เป็นการรวบรวมชื่อและ e-Mail ของผู้ที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกันเข้าด้วยกัน ประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ได้ด้วยวิธีใดบ้าง แหล่งชุมนุมของผู้ที่สนใจในเรื่องราวเดียวกันบนอินเทอร์เน็ต ซึ่งสามารถเข้ามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นโดยการฝากข้อความ หรือสอบถามข้อมูลกันได้
วิธีนี้ก็คือการประชาสัมพันธ์บนสื่อทั่วๆไปนั่นเอง เช่น การโฆษณาบนโทรทัศน์ วิทยุ หรือ ป้ายโฆษณากลางแจ้ง ซึ่งวิธีดังกล่าวต้องใช้เงินสูง ดังนั้นการแจกสินค้าพรีเมี่ยมพวกเครื่องเขียน เช่น ปากกาที่มีชื่อเว็บไซต์ของคุณอยู่ หรือ อุปกรณ์ที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เช่น แผ่นรองเม้าส์ ที่มีรูปโลโก้เว็บไซต์ของคุณอยู่ ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ได้ด้วยวิธีใดบ้าง การประชาสัมพันธ์ที่ไม่ได้อยู่บนอินเทอร์เน็ต
วิธีการโฆษณาบนอินเทอร์เน็ตที่เป็นที่นิยมมากที่สุดวิธีหนึ่งได้แก่ • การโฆษณาผ่านแบนเนอร์ (แถบโฆษณาบนเว็บไซต์) บน เว็บพอร์ทัลหลักๆ เช่น Yahoo!, Excite, และ Mwebเป็นต้น ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วในตอนต้นว่าเป็นเพราะเว็บไซต์ประเภทนี้มีผู้เข้าชมเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน ดังนั้นโอกาสของแบนเนอร์ที่จะเข้าถึงลูกค้าก็มีสูง การโฆษณาบนเว็บไซต์มีกลยุทธ์ใดบ้าง
การโฆษณาบนเว็บ Portal ใหญ่ๆสามารถเข้าถึงคนจำนวนมากได้ก็จริงแต่คนเหล่านั้นอาจไม่ใช่กลุ่มลูกค้าที่ต้องการก็ได้ ในทางตรงกันข้ามการโฆษณาบนเว็บไซต์ที่มีกลุ่มลูกค้าชัดเจนตรงกับเป้าหมายของสินค้าน่าจะได้ผลดีกว่า เช่น หนังสือพิมพ์ธุรกิจรายวันฉบับใหม่อาจจะลงโฆษณาบน Qthai.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลข่าวสารด้านธุรกิจและการเงินของไทยมากกว่าจะไปลงโฆษณาบน Mweb.co.th หรือว่า ซอฟต์แวร์สร้างกราฟิกเวอร์ชันใหม่ล่าสุด อาจจะลงโฆษณาบน Webmaster.or.th แทนที่จะไปลงโฆษณาใน Thairath.com การลงโฆษณาแบบนี้แน่นอนว่าเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่า และยังเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ตรงกว่าด้วย การโฆษณาบนเว็บไซต์มีกลยุทธ์ใดบ้าง • การลงโฆษณาแบบใหม่ที่ขึ้นอยู่กับคำที่ผู้ชมต้องการค้นหา (Keyword) เช่น ถ้าผู้ชมคนหนึ่งใน Sanook.com ค้นหาคำว่า “อาหารไทย” ในหน้าที่แสดงผลลัพธ์ จะมีภาพโฆษณาของร้านอาหารต่างๆ ปรากฏขึ้นมาด้วย วิธีนี้จะช่วยทำให้โฆษณาเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้มากขึ้น
ค่าโฆษณา (Advertising Fee) คิดจากแบนเนอร์ (Banner) ที่ลงอยู่ในเว็บไซต์ แตกต่างไปตามตำแหน่งและประเภทของแบนเนอร์ เช่น 50,000 บาทต่อเดือน สำหรับแบนเนอร์ที่อยู่ด้านซ้ายและขวาในหน้าโฮมเพจของ Siam2you.com หรือเพียง 20,000-35,000 บาทต่อเดือน สำหรับแบนเนอร์ตำแหน่งเดียวกันที่อยู่ในหน้าอื่นๆ ส่วนแบนเนอร์ที่อยู่ด้านบนสุดของเว็บเพจ จะคิดในอัตรา 450 บาท ต่อ หนึ่งพันครั้งที่มีคนเห็น (CPM) สามารถสร้างรายได้บนเว็บไซต์ด้วยวิธีใดบ้าง ค่าร่วมประชาสัมพันธ์ (Partnership Fee) คู่ค้าที่นำเนื้อหามาร่วมให้บริการแก่บางเว็บไซต์ต้องเสียค่าประชาสัมพันธ์ โดยใช้วิธีนำเสนอเรื่องทั่วๆไปที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับสินค้าของตน เพื่อกระตุ้นให้ผู้ชมสนเกิดความสนใจในสินค้า ตัวอย่างเช่น ในหัวข้อที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีของ Mweb.co.th อาจจะมีบริษัทเจ้าของเครือข่ายโทรศัพท์มือถือบางแห่งนำเนื้อหาเกี่ยวกับ GPRS ซึ่งกำลังเป็นที่สนใจในขณะนี้มานำเสนอ ซึ่งในหน้านี้ก็จะมีแบนเนอร์ที่เป็นของบริษัทเชื่อมโยงผู้ชมไปสู่เว็บไซต์โทรศัพท์มือถือรุ่นล่าสุดของบริษัทด้วย
ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย (Transaction Fee) ebay จะคิดค่าธรรมเนียมซื้อขาย ประมาณ 1.25-5 เปอร์เซนต์ ของมูลค่าการซื้อขายที่เกิดขึ้นบนเว็บไซต์ของตน สามารถสร้างรายได้บนเว็บไซต์ด้วยวิธีใดบ้าง ค่าเช่าที่บนเว็บไซต์ (Rental Fee) Comsaving.com เป็น e-Marketplace ที่ทำหน้าที่เสมือนเป็นศูนย์กลางการติดต่อระหว่างบริษัทหรือองค์กรที่ต้องการซื้อขายคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ผู้ขายรายใดที่สนใจต้องการมีหน้าร้านอยู่บนเว็บไซต์นี้ ก็เพียงแต่เสียเงิน 2,900 บาทต่อเดือนเท่านั้น ค่าบริการเสริมสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพหรือบริษัท (Service Fee) Homeandi.com เป็นเว็บไซต์ที่เป็นตัวกลางสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อและขายบ้าน ผู้ขายต้องจดทะเบียนกับบริษัทเพื่อที่จะได้มีโอกาสโฆษณาประกาศขายบ้านของตนบนเว็บไซต์ เมื่อมีการซื้อขายเกิดขึ้น ทาง Homeandi.com จะคิดค่านายหน้า 0.75 เปอร์เซ็นต์ของราคาขาย
กรมเศรษฐกิจการพาณิชย์ กระทรวงพาณิชย์ แบ่งกลุ่มของประเภทสินค้าและบริการที่จำหน่ายบนอินเทอร์เน็ต เป็นดังต่อไปนี้ • กลุ่มสินค้าที่จับต้องได้ ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ อาหาร ของใช้ สิ่งทอ เสื้อผ้า สำเร็จรูป เครื่องหนัง ของตกแต่ง ของชำร่วยต่างๆ เป็นต้น • กลุ่มสินค้าที่จับต้องไม่ได้ ได้แก่ เพลง ภาพยนตร์ วิดีโอ ซอฟต์แวร์ เป็นต้น • กลุ่มสินค้าบริการ ได้แก่ การท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร บริการรถเช่า บริการทัวร์และจองตั๋วเครื่องบิน บริการฝากขายอสังหาริมทรัพย์ และบริการข้อมูลต่างๆ เป็นต้น สินค้าแบบใดที่ควรนำมาซื้อขายบนอินเทอร์เน็ต
1.ไอเดียธุรกิจ (Business Idea) เป็นองค์ประกอบสำคัญอันดับแรกที่ต้องมี โดยควรเริ่มจากหลักคิดในการทำธุรกิจที่เป็นสิ่งใหม่ (New Idea) และไม่มีผู้ใดทำมาก่อน การคิดค้นนวัตกรรม (Innovation) ใหม่ และการบุกเบิกตลาดใหม่ หรือส่วนตลาด (New Market Segment) ที่ยังไม่มีคู่แข่งรายใดค้นพบ โดยที่สภาพตลาดในปัจจุบันยังถือว่าอยู่ในภาวะเริ่มต้น และมีโอกาสเติบโตได้อีกองค์ประกอบข้อนี้จะส่งผลให้ท่านมีความได้เปรียบในฐานะที่เป็นผู้เล่นรายแรกในตลาด หากท่านไม่สามารถที่จะสร้างไอเดียธุรกิจใหม่ได้จริงๆ หนทางต่อมาคงจะต้องพยายามพัฒนาหรือดัดแปลงไปเดียธุรกิจที่มีอยู่ให้แตกต่างจากผู้อื่นได้อย่างชัดเจน เพื่อสร้างจุดแข็งให้กับธุรกิจของเราเอง และสามารถตอบคำถามที่ว่า ธุรกิจของเราแตกต่างจากผู้อื่นอย่างไรและดีกว่าอย่างไร องค์ประกอบพื้นฐานของการเปิดร้านบนอินเทอร์เน็ตมีอะไรบ้าง
2.เทคโนโลยี (Technology) เป็นองค์ประกอบสำคัญอันดับต่อมา ที่ต้องมีเหนือกว่าบริษัทอื่นๆ ในสถานการณ์ของธุรกิจบนอินเทอร์เน็ตปัจจุบัน ลำพังแค่การใส่เนื้อหา หรือให้บริการกลุ่มเป้าหมายโดยปราศจากการคิดค้น และพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองขึ้นมา จะไม่สามารถหลีกเลี่ยงการแข่งขันจากผู้ประกอบการรายอื่นได้ และไม่อาจสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน เนื่องจากธุรกิจมีอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาด (Entry Barrier) ต่ำ การคิดค้นเทคโนโลยีของตัวเอง (Proprietary Technology) เป็นวิถีทางหนึ่งในการสร้างอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดต่อคู่แข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น ในทุกๆ บริการของธุรกิจ ทั้งในระยะเริ่มต้น และระยะยาว ควรจะมีส่วนประสมของเทคโนโลยีที่คิดค้นเองอยู่ในบริการให้ได้ องค์ประกอบพื้นฐานของการเปิดร้านบนอินเทอร์เน็ตมีอะไรบ้าง
3. บุคลากร (People) บุคลากรเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดและถือเป็นจุดแข็งของบริการ ที่สามารถผลักดันให้กิจการบนเว็บไซต์ของท่านขึ้นมาอยู่ในระดับแถวหน้าของวงการได้อย่างยั่งยืน ธุรกิจจะต้องมีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์เป็นที่ยอมรับกันในวงการ มีการสนับสนุนจากทีมงานที่มีคุณภาพ และประสบการณ์ในธุรกิจ หรือเนื้องานที่ดูแลรับผิดชอบอยู่ พนักงานมีความมุ่งมั่นที่จะร่วมสร้างกิจการให้เติบโตขึ้นอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และมีการสร้างวัฒนธรรมขององค์กรให้มีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ของกิจการอย่างจริงจัง จริงใจ องค์ประกอบพื้นฐานของการเปิดร้านบนอินเทอร์เน็ตมีอะไรบ้าง
4. เงินทุน (Capital) เงินทุนเป็นองค์ประกอบที่สร้างความเชื่อมั่นต่อการดำเนินธุรกิจในระยะยาว ที่ธุรกิจจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากฐานเงินทุน อย่าง Venture Capital หรือพันธมิตรผู้ร่วมทุนอื่นๆ ซึ่งเป็นเสมือนเครื่องยืนยันระดับหนึ่งว่า ธุรกิจมีความเป็นไปได้ และถูกกลั่นกรองจากบรรดาพันธมิตรเหล่านั้นแล้ว ความเชื่อมั่นในสายตาจากบุคคลภายนอกที่อาจเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัทก็จะเพิ่มขึ้นด้วย และแม้ว่าธุรกิจบนอินเทอร์เน็ตมีแนวโน้มการใช้เงินทุนต่ำกว่าการสร้างธุรกิจที่มีตัวตน หรือโรงงานในแบบปกติทั่วไป แต่ก็ต้องให้ความสำคัญในเรื่องความพอเพียงของเงินทุน โดยเฉพาะกระแสเงินสด (Cash Flow) ของกิจการ เพราะธุรกิจบนเว็บไซต์ที่มีอนาคตหลายราย ต้องตกม้าตายเพราะไม่ได้วางแผนการใช้จ่ายอย่างรัดกุมเพียงพอ จนทำให้เงินสดในกิจการไม่เพียงพอต่อการบริหารจัดการธุรกิจ องค์ประกอบพื้นฐานของการเปิดร้านบนอินเทอร์เน็ตมีอะไรบ้าง
5. การตลาด (Marketing) เป็นองค์ประกอบที่มีความสำคัญไม่แพ้เทคโนโลยีที่ธุรกิจจะต้องนำมาผสมผสานให้สอดคล้องลงตัว แม้ว่าธุรกิจบนเว็บไซต์จะมีการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในธุรกิจมากกว่าธุรกิจอื่น แต่การตลาดยังเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างปฏิสัมพันธ์ (Interact) กับลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้กิจการบรรลุถึงวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ การตลาดที่จะประสบความสำเร็จนั้น จะต้องอาศัยความแตกต่างเป็นรากฐานสำคัญ ซึ่งจะช่วยได้มากหากธุรกิจของเรามีองค์ประกอบในข้อแรก คือไอเดียธุรกิจที่ใหม่ ยังไม่มีผู้ใดทำมาก่อน หรือเป็นไอเดียธุรกิจที่แตกต่างอย่างชัดเจน อีกทั้งเงื่อนไขและปัจจัยทางธุรกิจของแต่ละธุรกิจ เช่น เวลาในการเข้าตลาด ทีมงาน เงินทุน วัฒนธรรมในองค์กร ฯลฯ ก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง กลยุทธ์ที่กิจการอื่นใช้แล้วประสบความสำเร็จ ไม่ได้เป็นเครื่องรับประกันว่าเมื่อธุรกิจของท่านนำมาใช้แล้วจะประสบความสำเร็จเช่นกัน องค์ประกอบพื้นฐานของการเปิดร้านบนอินเทอร์เน็ตมีอะไรบ้าง
สิ่งถัดมาที่ผู้ประกอบการจะต้องพิสูจน์ให้ทั้งพันธมิตรผู้ร่วมทุน หรือลูกค้าในธุรกิจของท่านได้เห็นต่อไป เพื่อให้เกิดความมั่นใจในกิจการ หลังจากที่ได้ตัดสินใจเดินหน้าในธุรกิจบนเว็บไซต์แล้ว คือการใช้หลักปฏิบัติ 3C ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่พึงมีของผู้ประกอบการ ได้แก่ • Commitคือการให้คำมั่น การพิสูจน์ด้วยการกระทำ เพื่อยืนยันว่า การดำเนินธุรกิจนั้นเป็นไปตามที่ได้ให้คำมั่นสัญญาไว้ ไม่ใช่บอกว่าจะทำอย่างนั้น อย่างนี้ ในเวลานั้น เวลานี้ แต่เมื่อเอาเข้าจริงกลับไม่ทำตามที่ตกลงกันเอาไว้ หรือไม่สามารถทำได้จริง จนไปมีผลเชิงลบต่อธุรกิจโดยรวม องค์ประกอบพื้นฐานของการเปิดร้านบนอินเทอร์เน็ตมีอะไรบ้าง
Concentrateคือความมุ่งมั่นในการปฏิบัติตามแผนธุรกิจ การทุ่มการทำงานอย่างเต็มเวลาของผู้ประกอบการและทีมงานที่ไม่ใช่เพียงแค่คิดไอเดียธุรกิจแล้วให้ผู้อื่นทำ รวมทั้งไม่พยายามจับงานอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ และเสียเวลาโดยใช่เหตุ จนกว่าธุรกิจนั้นจะเห็นผล เพราะไม่มีใครที่สามารถทำอะไรหลายๆ อย่างได้ดีในเวลาเดียวกัน แต่หากจำเป็นต้องดูแลธุรกิจหลายๆ กิจการพร้อมๆ กัน ก็ควรจัดลำดับความสำคัญ หรือหาตัวแทนมาช่วยดูแล องค์ประกอบพื้นฐานของการเปิดร้านบนอินเทอร์เน็ตมีอะไรบ้าง
Consistent ความเสมอต้นเสมอปลายในการดำเนินธุรกิจ ความต่อเนื่องของการบริหารจัดการธุรกิจ จนกระทั่งได้ผลลัพธ์ตามที่ได้ตั้งเป้าหมายของธุรกิจ ตลอดจนความต่อเนื่องของการให้บริการคงไม่มีใครที่อยากใช้บริการกับธุรกิจที่เมื่อวานเป็นอย่างนี้ วันนี้เป็นอีกอย่าง องค์ประกอบพื้นฐานของการเปิดร้านบนอินเทอร์เน็ตมีอะไรบ้าง
เป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเปรียบเสมือนการตั้งชื่อบริษัทของคุณ โดเมนเนมที่ดีควรเป็นชื่อที่จำง่าย พิมพ์ง่าย และ มีความหมายในตัวเอง (เพื่อง่ายต่อการค้นหาใน Search Engine) ชื่อยี่ห้อสินค้าหรือชื่อบริษัทควรจะได้รับการพิจารณาเป็นอันดับแรก เช่น Majorcineplex.com หรือ Matichon.co.th เพราะมักจะเป็นชื่อแรกที่คนส่วนมากนึกถึงและลองพิมพ์ดูเมื่อต้องการค้นหาเว็บไซต์ ในกรณีที่คำที่ต้องการถูกใช้ไปแล้ว การเพิ่ม “Inc” หรือ “Company” หรือ คำอื่นๆที่ใช้อธิบายสินค้าของคุณได้ดี ก็น่าจะช่วยแก้ปัญหาได้ เช่น Sandprestaurant.com หรือ Chapsclothing.com หรือในกรณีที่ชื่อยี่ห้อหรือชื่อบริษัทของคุณเป็นคำเฉพาะที่ไม่มีความหมาย หรือยาวเกินไป การใช้ประเภทของสินค้าแทนก็เป็นทางออกที่ดี เช่น Pizza.co.th หรือ Pappayon.com สำหรับเว็บไซต์ที่เป็นเว็บพอร์ทัล หรือมีสินค้าหลายประเภทจำหน่าย มักนิยมใช้ชื่อที่สั้น จำง่ายและไม่ได้บ่งบอกถึงประเภทของผลิตภัณฑ์ใดผลิตภัณฑ์หนึ่งเท่านั้น เช่น Mthai.com หรือ Tohome.com ตั้งโดเมนเนมให้เหมาะสมได้อย่างไร
อีกส่วนหนึ่งของโดเมนเนมก็คือชื่อลงท้ายหรือที่บางคนเรียกว่า ”นามสกุล”นั้น ก็เป็นอีกชื่อที่ต้องมีการจดทะเบียน ชื่อลงท้ายจะเป็น ตัวบอกประเภทธุรกิจของเว็บไซต์ ซึ่งมีความหมายแตกต่างกันไป เช่น • .com (Company) – บริษัทหรือบุคคลทั่วไป • .edu (Education) – สถานบันการศึกษา • .org (Organization) – องค์กรต่างๆ • .gov (Government) – หน่วยงานรัฐบาล • .mil (Military) – หน่วยงานทหาร • .net (Network) – ผู้ให้บริการทั่วไป ตั้งโดเมนเนมให้เหมาะสมได้อย่างไร
กระทรวงวิทยาศาสตร์ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) http://www.nectec.or.th ศูนย์พัฒนาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (ECRC) http://www.ecommerce.or.th กระทรวงอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมการส่งออก (http://www.depthai.go.th) และเว็บไซต์อื่นๆที่เกี่ยวข้อง http://www.wethai.com, http://www.thaiexponet.com, http://www.thailandexport.com, http://www.thaixport.com กระทรวงพาณิชย์ กรมเศรษฐกิจการพาณิชย์ http://www.thaiecommerce.net กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย http://www.bot.or.th องค์กรของรัฐที่ให้ความรู้ ความช่วยเหลือ หรือเกี่ยวข้องกับการทำพาณิชย์ อิเล็กทรอนิกส์มี่ที่ใดบ้าง
บริษัท สยามเว็บ จำกัด – http://www.siamweb.com • บริษัท ดิจิทัล อินเทอร์เน็ต แฟกทอรี่ จำกัด – http://www.digitalinternetfactory.com • บริษัท เว็บสตูดิโอวัน โซลูชั่นจำกัด – http://www.webstudio-1.com • บริษัท สยามอีคอมเมิร์ซ เทคโนโลยี จำกัด – http://www.siam-e-Commerce.com • บริษัท เน็ต เรดดี้ จำกัด – http://www.netready.co.th • อาร์เคเดียน อินเทอร์เน็ต กรุ๊ป – http://www.arcadian.net ฯลฯ ตัวอย่างบริษัทเอกชนที่รับทำพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ที่ใดบ้าง