1 / 48

Chapter 11 กระบวนการกำหนดนโยบายอุตสาหกรรมของไทย & วิวาทะในการพัฒนาอุตสาหกรรมไทย

Chapter 11 กระบวนการกำหนดนโยบายอุตสาหกรรมของไทย & วิวาทะในการพัฒนาอุตสาหกรรมไทย. EC 482. ช่องว่างของนโยบายอุตสาหกรรมของประเทศไทย. กรอบแนวคิดในการกำหนดนโยบายอุตสาหกรรม พัฒนาการภาคอุตสาหกรรมไทย โครงสร้างของภาคอุตสาหกรรมไทย ปัญหาและความท้าทายของภาคอุตสาหกรรมไทยในอนาคต

vesna
Download Presentation

Chapter 11 กระบวนการกำหนดนโยบายอุตสาหกรรมของไทย & วิวาทะในการพัฒนาอุตสาหกรรมไทย

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. Chapter 11กระบวนการกำหนดนโยบายอุตสาหกรรมของไทย & วิวาทะในการพัฒนาอุตสาหกรรมไทย EC 482

  2. ช่องว่างของนโยบายอุตสาหกรรมของประเทศไทยช่องว่างของนโยบายอุตสาหกรรมของประเทศไทย • กรอบแนวคิดในการกำหนดนโยบายอุตสาหกรรม • พัฒนาการภาคอุตสาหกรรมไทย • โครงสร้างของภาคอุตสาหกรรมไทย • ปัญหาและความท้าทายของภาคอุตสาหกรรมไทยในอนาคต • กระบวนการกำหนดนโยบายอุตสาหกรรมของไทยและภาพรวมของนโยบายอุตสาหกรรมในปัจจุบัน • ช่องว่างทางนโยบายอุตสาหกรรม” • ข้อเสนอแนะทางนโยบาย

  3. 2. กรอบแนวคิดในการกำหนดนโยบายอุตสาหกรรม • การทำให้เป็นเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (industrialization) และการพัฒนาอุตสาหกรรม (industrial development) • นโยบายอุตสาหกรรม (industrial policy) หมายถึง แนวทางดำเนินการในด้านต่าง ๆ เพื่อทำให้ภาคอุตสาหกรรมหรืออุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งภายในประเทศ มีความเจริญเติบโต (growth) และพัฒนา (development) • การแทรกแซงของรัฐควรเกิดในกรณีที่กลไกตลาดล้มเหลว การใช้งบของรัฐต้องใช้กรณีเป็นสินค้าสาธารณะ (public goods) หรือเสริมการทำงานของตลาดกรณีเกิดความล้มเหลวของตลาดไม่ใช้ในกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ส่วนตัวของเอกชน บทบาทของรัฐบาลควรเป็นตัวกระตุ้นและผู้สร้างความท้าทาย (catalyst and challenger

  4. 3. พัฒนาการของอุตสาหกรรมไทยในช่วง 50 ปี • ภาคอุตสาหกรรมของไทยมีการพัฒนาอุตสาหกรรมจากระบบทุนนิยมโดยรัฐ(state Capitalism)เป็นระบบเศรษฐกิจเสรี (Free Enterprise System) พัฒนาจากการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า (Import Substitution) สู่การพัฒนาอุตสาหกรรมโดยส่งเสริมการส่งออก(Export Promotion) ในช่วงปี พ.ศ.2503-12 การพัฒนาอุตสาหกรรมเน้นกลยุทธ์การผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า ต่อมาตั้งแต่แผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 3 (พ.ศ.2515-19) จึงเน้นนโยบายส่งเสริมการส่งออก • การลงทุนจากต่างประเทศ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2530 เพิ่มการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น • มีการพัฒนาอุตสาหกรรมตามชายฝั่งทะเลตะวันออก (Eastern Seaboard) มีการกระจายอุตสาหกรรมสู่ภูมิภาค มีการกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมาย มีการส่งเสริมอุตสาหกรรมสนับสนุน การส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs มีการส่งเสริมการสร้างเครือข่ายอุตสาหกรรม • วิกฤติเศรษฐกิจในปี พ.ศ. 2540 ทำให้ประเทศไทยหันมาดำเนินนโยบายการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม ให้มีผลิตภาพและความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้น และปรับตัวกลายเป็นอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการส่งออก (Export-orientedIndustry)

  5. Electrical Machinery Computer-Parts, Accessories Seafood Telecom Equipment Apparel Tourism What’s Next??? Agri… Manuf…… Service GDP Mil Baht Clothing Electrical machinery Seafood Other Machinery Rice & Rubber 2010 1960 1970 1980 1990 2000 Rice Fruit & Vegetable Non-ferrous Metal Crude rubber Electrical machinery Rice Crude Rubber Fruit & Vegetable Non-ferrous Metal Textile Fiber Rice Crude Rubber Ores & Metal Scrap Textile Fiber Fruit & Vegetable Key Policies/Drivers: Import Substitution, Export-led growth, FDI Innovation + Knowledge 3. พัฒนาการของอุตสาหกรรมไทยในช่วง 50 ปี : ทิศทางการพัฒนาของภาคอุตสาหกรรมไทยในอนาคต ที่มา: สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

  6. 3. พัฒนาการของอุตสาหกรรมไทยในช่วง 50 ปี • นโยบายอุตสาหกรรมของไทยมุ่งเน้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจเป็นเป้าหมายหลัก • ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างการผลิตและยกระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศเพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าอย่างจริงจัง • นโยบายอุตสาหกรรมของไทย โดยเฉพาะนโยบายส่งเสริมการลงทุนที่ผ่านมาไม่มียุทธศาสตร์เชิงรุกและรับที่ชัดเจน • นโยบายอุตสาหกรรมแบบไทยๆ มักไม่เจาะจงอุตสาหกรรม

  7. 4. โครงสร้างของภาคอุตสาหกรรมไทย • ผลิตภัณฑ์ภาคอุตสาหกรรมมีสัดส่วนสูงทั้งทางด้านการผลิตและการส่งออก อัตราการเจริญเติบโตของภาคอุตสาหกรรมมีผลต่อการเจริญเติบโตต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวม • การส่งออกของสินค้าอุตสาหกรรมในประเทศยังต้องพึ่งพาสินค้าเข้าจากต่างประเทศทั้งเครื่องจักรและวัตถุดิบ • ประเภทของสินค้าอุตสาหกรรมในประเทศไทยมีการกระจายตัวค่อนข้างดี • สัดส่วนการจ้างงานภาคอุตสาหกรรมเมื่อเทียบกับจำนวนการจ้างงานรวมของประเทศอยู่ในระดับต่ำ โดยเมื่อพิจารณาในส่วนของแรงงานทั้งหมดนั้น • การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศมีอิทธิพลต่อการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมของไทยมาก

  8. 4. โครงสร้างของภาคอุตสาหกรรมไทย

  9. 4. โครงสร้างของภาคอุตสาหกรรมไทย

  10. 5. ปัญหาและความท้าทายของภาคอุตสาหกรรมไทย • ภาคอุตสาหกรรมไทยมีเทคโนโลยีการผลิตที่ล้าสมัย มีต้นทุนการผลิตสูง แรงงานไร้ทักษะ ผู้ผลิตขาดการพัฒนาตราสินค้าของตนเอง ผู้ประกอบการขาดความรู้ ความสามารถในการจัดการ การตลาดและข้อมูลการตลาด ขาดการส่งเสริมพัฒนาอุตสาหกรรมสนับสนุนขนาดกลางและขนาดย่อม ผลิตภาพและประสิทธิภาพการผลิตต่ำและขาดการพัฒนาวัตถุดิบและความเชื่อมโยงระหว่างอุตสาหกรรม • แผนแม่บทอุตสาหกรรมฉบับที่ 1 (พ.ศ.2540-2544) • แผนปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมของประเทศไทย • แผนแม่บทโครงสร้างพื้นฐานทางปัญญา (พ.ศ. 2551-2555) แผนแม่บทการเพิ่มประสิทธิภาพและผลิตภาพ (พ.ศ. 2551-2555) และแผนการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม

  11. * Political Regimes* Patron - Client Relationship Super - Structure Supply- Power Elites- Economic Advisors- Technocrats- Political Parties- Parliament Demand- Interest Group- People- Mass Media- Economists- NGOs and Social Movements Economic Policy Market Process of Economic Policy Formulation 11

  12. Supply- Power Elites- Economic Advisors- Technocrats- Political Parties- Parliament Demand- Interest Group- People- Mass Media- Economists- NGOs and Social Movements Economic PolicyMarket World Capitalism * International Economic Order* World Governance Supra - National Organizations (SNOs) * IBRD * IMF * WTO * WIPO * HICs* MNCs* International NGOs : BINGOs 12

  13. 6. กระบวนการกำหนดนโยบายอุตสาหกรรมของไทย

  14. งบยุทธศาสตร์ งบยุทธศาสตร์ 1# 1# 2# 2# 3# 3# 4# 4# 4# 4# 4# 3# 3# 3# 2# 2# 2# x,xxx x,xxx x,xxx x,xxx x,xxx x,xxx x,xxx x,xxx 1# 1# 1# งบประจำ งบประจำ งบประจำ x,xxx x,xxx x,xxx x,xxx x,xxx 1# 2# 3# 4# 1# ทิศทางเชิงนโยบาย การวางแผนฯ ตามพรฎ. การวางแผน งบประมาณ ระดับชาติ ระดับชาติ ผลกระทบ แผนการบริหารราชการแผ่นดิน นโยบายรัฐบาล ยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณ ระดับชาติ แผนพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ระดับชาติ ผลลัพธ์ ระดับกระทรวง นโยบายรัฐมนตรี แผนปฏิบัติราชการ 4 ปี เป้าหมายการให้ บริการ 4 ปี (กระทรวง) ระดับกระทรวง แผนปฏิบัติราชการ 4 ปีหน่วยงาน เป้าหมายการให้ บริการ 4 ปี (หน่วยงาน) งบยุทธศาสตร์ ระดับกรม ระดับกรม/หน่วยงาน ผลผลิต แผนปฏิบัติราชการ ประจำปีหน่วยงาน เป้าหมายการให้ บริการ (หน่วยงาน) ประจำ ยุทธศาสตร์ กลยุทธ์หน่วยงาน ตัวชี้วัด QQTC ผลผลิต โครงการ ตัวชี้วัด QQTC กิจกรรมหลัก กิจกรรมรอง กิจกรรมสนับสนุน ติดตามประเมินผล งบรายจ่ายอื่น ๆ Variable Budget งบอุดหนุน งบเงินลงทุน งบดำเนินการ Fixed Budget งบบุคลากร งบผลผลิต งบโครงการ ความต้องการงบประมาณหน่วย อนุมติงบประมาณ เบิกจ่าย/ดำเนินการ

  15. Budgeting Framework ตัวชี้วัด ยุทธศาสตร์ระดับชาติ/รัฐบาล National/Government Strategy Major Key Success Factors Key Success Factors G/ FMIS เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Target) Government Strategic Direction r การกำหนดทางเลือก ในการผลิตและการใช้ทรัพยากร ( Intervention Logic) เป้าหมาย การให้บริการ (PSA/SDA) Key Performance Indicators Manager Flexibility & Accountability Output Performance (QQTC) BIS ผลผลิต (Output) ผลลัพธ์ ผลลัพธ์ (Intervention Logic) กระบวนการ จัดทำผลผลิต (Delivery Process) Ev MIS โครงสร้างระบบงบประมาณใหม่ AMIS ทรัพยากร (Resources) Evaluation ที่มา : นายสมนึก พิมลเสถียร รองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ

  16. 6. กระบวนการกำหนดนโยบายอุตสาหกรรมของไทย • นโยบายในการยกระดับความสามารถในเชิงแข่งขัน (CapacityBuilding) • นโยบายในการพัฒนาปัจจัยสนับสนุน (Enabling Factor) • นโยบายในการขจัด/ผ่อนคลายข้อจำกัดต่างๆ (Relaxing Constrain) • นโยบายในการยืนหยัดอยู่ท่ามกระแสโลกาภิวัตน์ (Global Reach) • นโยบายในการใช้โอกาสในการพัฒนาสินค้าใหม่/กลุ่มอุตสาหกรรมสร้างโอกาสใหม่ (New Product) โดยมีประเด็นการพัฒนา • เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative economy policy) เ • ศรษฐกิจบนฐานรากเกษตร (Agro-based resource policy) • การแสวงหาโอกาสจากประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) • และการพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (Cluster of city policy)

  17. 7. ช่องว่างทางนโยบายอุตสาหกรรม • นโยบายอุตสาหกรรมกับการลดความเลื่อมล้ำในสังคม • การสร้างสมรรถนะในการแข่งขันกับการผนวกเข้ากับเครือข่ายการผลิตระดับโลก • การพัฒนาอุตสาหกรรมไทยภายใต้กรอบความร่วมมือในระหว่างประเทศ และ • การพัฒนาอุตสาหกรรมกับความยั่งยืนทางทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม

  18. ช่องว่างที่ 1: นโยบายอุตสาหกรรมกับการลดความเลื่อมล้ำในสังคม • ความเหลื่อมล้ำในอุตสาหกรรมส่วนกลางกับส่วนภูมิภาคสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมที่มีความเชื่อมโยงกับภาคเกษตรและฐานทรัพยากรในท้องถิ่น ปัญหาความขาดแคลนพื้นที่ประกอบกิจการอุตสาหกรรมและความขัดแย้งกับชุมชนในพื้นที่ • ความเหลื่อมล้ำในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่กับอุตสาหกรรม SMEsเพื่อลดความเหลื่อมล้ำต้องแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง การสนับสนุนให้มีการเชื่อมโยงระหว่าง SMEs กับกิจการขนาดใหญ่และ การทำงานของ สสว. • ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ในแรงงานภาคอุตสาหกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมจึงต้องทำไปพร้อมๆกับการพัฒนาระบบสวัสดิการสังคมสำหรับลูกจ้างในภาคอุตสาหกรรมและต้องเร่งยกระดับความรู้ความสามารถให้กับแรงงาน

  19. ช่องว่างที่ 2: การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทยกับการผนวกเข้ากับเครือข่ายการผลิตระดับโลก • ส่งเสริมความตระหนักด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและรับผิดชอบโดยตรงในการนโยบายการจัดสรรทรัพยากรเพื่อการสนับสนุนเทคโนโลยี • “สถาบันอิสระที่เกี่ยวกับการส่งเสริมพัฒนาอุตสาหกรรมเฉพาะประเภท • เชื่อมโยงกับห่วงโซ่การผลิตระดับดับโลก (Global Production Chain) ที่ควบคุมโดยบรรษัทข้ามชาติ (MNEs) • ความพร้อมในเรื่องการตรวจสอบมาตรฐานและการสร้างศูนย์ทดสอบ

  20. ช่องว่างที่ 3: การพัฒนาอุตสาหกรรมไทยภายใต้กรอบความร่วมมือในระหว่างประเทศ (1) การออกไปลงทุนในต่างประเทศควรมีการศึกษาถึงผลกระทบทั้งในด้านบวกและด้านลบ พร้อมนำเสนอแนวนโยบายส่งเสริมการลงทุนที่ทำให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์จากข้อตกลง (2) การนำเข้าเข้าแรงงานจากต่างประเทศควรศึกษาถึงผลกระทบ (ทั้งแง่บวกและลบ) ของการนำเข้าแรงงานต่างชาติที่มีต่อการพัฒนาอุตาหกรรมไทยทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และมีนโยบายที่ชัดเจน

  21. ช่องว่างที่ 4: การพัฒนาอุตสาหกรรมกับความยั่งยืนทางทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม • กรณีพิพาทเกี่ยวกับนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด • การบริหารจัดการผลกระทบของการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อสิ่งแวดล้อม • “ธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม”และ การให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการจัดการสิ่งแวดล้อม • การกระจายอำนาจในการกำกับดูแลโรงงานอุตสาหกรรมให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) • มาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (non tariff measurements • นโยบายอุตสาหกรรมที่ยั่งยืน (sustainable industrial policy)

  22. 8. ข้อเสนอแนะทางนโยบาย • การขาดทิศทางหลัก (overarching policy) ในการดำเนินนโยบายพัฒนาอุตสาหกรรม และ การเมืองแบบเปิดและรัฐบาลหลายพรรค • การบริหารนโยบายอุตสาหกรรมควรอยู่ภายใต้หน่วยงานรับผิดชอบเดียวกัน (overarching industrial policy) และรัฐบาลควรสร้างกลไกในการบริหารจัดการนโยบายอุตสาหกรรมที่มีประสิทธิภาพ เช่น การผลักดันการทำงานของ “คณะกรรมการการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติ” • และสร้างความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนและภาครัฐ • กรอบนโยบายอุตสาหกรรมต้องมีความหนักแน่น (robust) ไม่เปลี่ยนแปลงบ่อยตามการแทรกแซงทางการเมืองทั้งในและต่างประเทศ

  23. วิวาทะทางเศรษฐศาสตร์ว่าด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรม • นโยบายการส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมาย • นโยบายการส่งเสริมอุตสาหกรรมภูมิภาค • นโยบายการส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs • นโยบายส่งเสริมการพัฒนาทักษะ เทคโนโลยีและนวัตกรรม • นโยบายการส่งเสริมความเชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิต • นโยบายส่งเสริมการลงทุนของผู้ประกอบการไทยไปต่างประเทศ • วิวาทะเรื่องการส่งเสริมการลงทุน

  24. แนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ว่าด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรมแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ว่าด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรม 1. แนวทางการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของการสร้างความสมดุลและยั่งยืนในการพัฒนาอุตสาหกรรม ความสมดุลระหว่างภาคอุตสาหกรรม สมดุลในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค และสมดุลระหว่างนักธุรกิจ SMEs กับธุรกิจขนาดใหญ่ เนื่องจากเส้นทางการพัฒนาเศรษฐกิจในอดีตที่ขาดความสมดุล แม้อุตสาหกรรมจะเริ่มกระจายสู่ภูมิภาค แต่ก็ยังค่อนข้างกระจุกตัวในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล นอกจากนั้นนโยบายและมาตรการการส่งเสริมอุตสาหกรรมมีความลำเอียงเข้าข้างธุรกิจขนาดใหญ่ แม้การคุ้มครองอุตสาหกรรมจะมีแนวโน้มลดลง แต่การคุ้มครองก็มักส่งผลกระทบเชิงลบต่อกิจกรรมปลายน้ำและต่อกิจการขนาดกลางและขนาดเล็ก ผลที่เกิดขึ้น คือ ความอ่อนแอของอุตสาหกรรมขนาดเล็กและขนาดกลางทั้งในแง่ของการมีมูลค่าเพิ่มต่อคนงานต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านและความอ่อนแอที่เกิดจากการขาดพลวัตรในการเติบโตอย่างยั่งยืน ความด้อยพัฒนาของอุตสาหกรรมขนาดเล็กและกลางมิได้เกิดจากนโยบายที่บิดเบือนและลำเอียงเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกิดจากการขาดข้อมูลและองค์ความรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรมดังกล่าวด้วย ปัญหาข้อมูลเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการกำหนดและการดำเนินนโยบายพัฒนาอุตสาหกรรมให้ได้ผล

  25. แนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ว่าด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรมแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ว่าด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรม 2. การสร้างสมรรถนะในการแข่งขัน และการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอย่างยั่งยืนเป็นรากฐานที่สำคัญสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศไทย ซึ่งการดำเนินการจะต้องเน้นอาศัยกลยุทธ์และการดำเนินนโยบายระยะยาวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะด้านการเพิ่มผลิตภาพเพื่อเพิ่มผลิตภาพและคุณค่าของสินค้าและบริการบนฐานความรู้ สามารถทำได้โดยปรับโครงสร้างการผลิต การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์ การปฏิรูปองค์กร การปรับปรุงกฎระเบียบ และพัฒนาระบบมาตรฐานในด้านต่างๆ รวมทั้งการดำเนินนโยบายการค้าระหว่างประเทศให้สนับสนุนการปรับโครงสร้างการผลิต และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ สำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนสร้างได้จากการพัฒนาอุตสาหกรรมที่คำนึงถึงการคุ้มครองผู้บริโภคและการผลิตเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

  26. แนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ว่าด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรมแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ว่าด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรม 3. การแทรกแซงของรัฐควรเกิดในกรณีที่กลไกตลาดล้มเหลว เช่น เป็นสินค้าสาธารณะ มีความไม่สมบูรณ์ของตลาดสินค้าหรือตลาดทุน มีความไม่สมบูรณ์ของสารสนเทศ หรือการแทรกแซงทำให้เกิดผลได้ภายนอกทั้งจากการพัฒนาเทคโนโลยี การพัฒนาบุคลากร หรือจากการเกื้อกูลกันซึ่งกันและกันระหว่างหลายอุตสาหกรรม การกำหนดมาตรการแทรกแซงที่เหมาะสมก็คือ พิจารณาว่าข้อบกพร่องของระบบตลาดอยู่ที่ใด มาจากสาเหตุใดหลักจากนั้นให้แก้ไขที่สาเหตุปัจจัยซึ่งเป็นแหล่งปัญหาโดยตรงเมื่อข้อบกพร่องหมดไประบบตลาดก็จะสามารถทำงานได้ปกติ ภาคเอกชนควรเป็นผู้ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ยกเว้นกรณีการลงทุนในสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน และกรณีที่ตลาดไม่อาจทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพภาครัฐจึงเข้ามาดำเนินการ

  27. นโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมายนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมาย • "อุตสาหกรรมเป้าหมาย" ได้รับสิทธิพิเศษในเรื่องต่าง ๆ เช่น เงินกู้ การยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีศุลกากร ฯลฯ แต่เนื่องจากการให้สิทธิพิเศษต่างๆ ล้วนเป็นการสูญเสียรายได้ของภาครัฐ • เหตุผลทางเศรษฐศาสตร์และหลักการแทรกแซงของรัฐและในการกำหนด “อุตสาหกรรมเป้าหมาย” ที่สำคัญคือ การมีโนบายอุตสาหกรรมและให้สิทธิพิเศษต่าง ๆ แก่อุตสาหกรรมจะก่อให้เกิดผลดี ก็ต่อเมื่อกลไกตลาดล้มเหลว แต่เหตุผลที่อุตสาหกรรมควรจะได้รับการส่งเสริมนั้นมิใช่เพียงแต่อุตสาหกรรมเหล่านั้นต้องการความประหยัดอันเกิดจากขนาด (scale economies) มีความไม่แน่นอน (uncertainty) และมีต้นทุนดำเนินการสูง (transaction cost) เท่านั้น แต่เป็นเพราะว่าอุตสาหกรรม เหล่านั้นก่อให้เกิดผลกระทบภายนอก (positive externality) ในทางบวก และการลดต้นทุน (cost reduction)โดยทั่วไปอีกด้วย

  28. นโยบายการส่งเสริมอุตสาหกรรมภูมิภาคนโยบายการส่งเสริมอุตสาหกรรมภูมิภาค • นโยบายกระจายอุตสาหกรรมจะมีมาตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 3 • แนวคิดทางเศรษฐศาสตร์เกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกที่ตั้งโรงงาน • ประการแรก คือ ปัจจัยตลาด ซึ่งอาจจะแทนที่ได้โดยใช้ Per Capita GPP (Income) และจำนวนประชากร การศึกษาหลายชิ้นก็พิสูจน์ให้เห็นว่าปัจจัยนี้มีผลต่อการเลือกที่ตั้งโรงงานอุตสาหกรรมทุกๆประเภท • ประการที่สองคือ ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตั้งโรงงานของอุตสาหกรรมประเภท Footloose และ Market-oriented เหมือนกัน กล่าวคือ ปัจจัยดังกล่าวประกอบด้วย Per Capita GPP จำนวนประชากร ความพร้อมของไฟฟ้า สาธารณสุข และถนน

  29. นโยบายการส่งเสริมอุตสาหกรรมภูมิภาคนโยบายการส่งเสริมอุตสาหกรรมภูมิภาค • ประการที่สาม คือ Agglomeration Economy ซึ่งอาจจะแทนด้วย Per Capita GPP และจำนวนประชากร จากการศึกษาแบบ Regression ของนักเศรษฐศาสตร์หลายท่านก็ได้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของ Agglomeration Economy • ประการที่สี่ คือ อุตสาหกรรมสนับสนุน เมืองที่มีขนาดใหญ่จะเป็นแหล่งเพาะอุตสาหกรรมขนาดเล็ก เนื่องจากผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดเล็กมีขีดความสามารถจำกัดหลายด้านทำให้ส่วนใหญ่ไม่สามารถผลิตส่วนประกอบเองได้หมด ต้องพึ่ง Suppliers ของชิ้นส่วน และเนื่องจากเงินทุนจำกัดทำให้ไม่สามารถที่จะเป็นเจ้าของสำนักงานและโรงงานได้ ส่วนมากผู้ประกอบการของอุตสาหกรรมขนาดย่อมนี้จะต้องเช่าที่ประกอบการ ทั้งเป็นสำนักงานและโรงงาน เมืองขนาดใหญ่จะเป็นแหล่งเพาะผู้ประกอบการขนาดย่อม เพราะมี Supporting Industriesต่างๆอยู่มาก • ปัจจัยที่ห้า คือ ปัจจัยแรงงานที่รวมทั้งค่าจ้างและแรงงานที่มีฝีมือ ค่าจ้างมีผลต่อการตั้งโรงงานอุตสาหกรรมหลายประเภท โดยเฉพาะ Resource-based การที่ชานเมืองของเมืองใหญ่มีแรงงานที่มีฝีมืออยู่มากกว่าส่วนอื่น ทำให้อุตสาหกรรมเขตชานเมืองเติบโตเร็ว

  30. นโยบายการส่งเสริมอุตสาหกรรมภูมิภาคนโยบายการส่งเสริมอุตสาหกรรมภูมิภาค • ปัจจัยที่หก เป็นปัจจัยที่นักเศรษฐศาสตร์เริ่มให้ความสำคัญมากขึ้น คือ ปัจจัยคุณภาพชีวิต และความสะดวกสบาย (Amenity) สาเหตุเนื่องจากการที่จะเลือกตั้งโรงงาน บางครั้งผู้ตัดสินใจและครอบครัวจะต้องไปอยู่ที่โรงงานหรือใกล้เคียงกับโรงงานด้วย • ระดับการพัฒนาของตลาดเงินเป็นตัวแปรหนึ่งที่มีผลต่อระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมระดับจังหวัด นอกจากปัจจัยเหล่านี้แล้ว มีปัจจัยบางอย่างที่แม้ว่าจะไม่มีการศึกษาในเชิงปริมาณยืนยัน เพราะความลำบากในเรื่องของข้อมูลคือ ข่าวสารเกี่ยวกับตลาด เทคโนโลยีในการผลิต การบริหาร และการบริการของรัฐบาล

  31. นโยบายการส่งเสริมอุตสาหกรรมภูมิภาคนโยบายการส่งเสริมอุตสาหกรรมภูมิภาค • บรรษัทข้ามชาติเปลี่ยนแนวคิดในการลงทุนไม่ได้มองแค่สิทธิประโยชน์ฯเพียงอย่างเดียว แต่ยังให้ความสำคัญว่าประเทศที่เข้าลงทุนนั้นๆมีจุดขายทางยุทธศาสตร์ในการเป็นศูนย์กลางการลงทุนหรือการผลิตแห่งเอเชียหรือไม่ มองเรื่องความพร้อมของเครือข่ายธุรกิจ (Cluster) แทนที่จะเน้นให้ความสำคัญเรื่องสิทธิประโยชน์ต่างๆรวมทั้งให้ความสำคัญเรื่องแรงงานคุณภาพ และ สาธารณูปโภคอีกด้วย นอกจากนี้ปัจจัยด้านภูมิศาสตร์เป็นปัจจัยที่มีผลต่อ spillover ของ FDI เพราะเกี่ยวข้องกับเรื่องความใกล้ไกลของกิจการในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องที่จะมีผลต่อการเป็นตัวอย่าง (demonstration effect) การเคลื่อนย้ายแรงงาน ต้นทุนค่าขนส่ง การร่วมมือกันในการผลิตและการวิจัยและพัฒนา ระดับของการแข่งขัน

  32. นโยบายการส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs • อุตสาหกรรมขนาดเล็กน่าจะก่อให้เกิดผลดีบางประการต่อระบบเศรษฐกิจที่แตกต่างจากอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่น ก่อให้เกิดการจ้างงาน ลดการเพิ่งพาเครื่องจักรเพื่อการผลิตเป็นแหล่งสร้างสมประสบการณ์ของผู้ประกอบการหน้าใหม่ ฯลฯ ที่สำคัญในการดำเนินการนโยบายพัฒนาอุตสาหกรรมของไทยที่ผ่านมามีส่วนสร้างความเสียเปรียบแก่อุตสาหกรรมขนาดย่อม และความได้เปรียบให้กับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ • ปัญหาของอุตสาหกรรมขนาดย่อมของไทย สามารถแยกออกได้เป็น 2 ระดับ คือ ปัญหาในระดับของการผลิต และปัญหาในด้านตลาดผลผลิต • ปัญหาโดยทั่วไปในด้านการผลิตได้แก่การขาดประสิทธิภาพในการผลิตที่ทำให้การผลิตมีต้นทุนสูง

  33. ปัญหา และอุปสรรคของ SMEs การเข้าสู่ระบบตลาดของ ปท. ต้นทุนต่ำ (แย่งตลาด , FDI, OEM) สินค้าส่งออกของ SMEs มีมูลค่าเพิ่มต่ำ (Primary & Labor-intensive) GDPSMEs ภาคการค้าชะลอตัวลง จาก 31% เหลือ 29% ระดับมหภาค ความตื่นตัว/ความสามารถของ ผปก.ต่ำ / ทำธุรกิจไม่เป็นระบบ / ไม่เป็นมืออาชีพ ความสามารถทางเทคโนโลยี นวัตกรรม การสร้าง IP ต่ำ ความตื่นตัว และความสามารถด้านธรรมาภิบาล (ระบบบัญชี ความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม ผู้บริโภค) คุณภาพบุคลากรต่ำ มีการโยกย้ายงานสูง ขาดความรู้ ทักษะ กำลังทุนในการทำตลาด ระดับธุรกิจ

  34. ปัญหา อุปสรรค SMEs ไทยนำไปสู่ความสามารถด้านผลิตภาพและนวัตกรรมที่ต่ำ ส/ช ไม่พอ เข้าไม่ถึง ตลาดทุน กฎระเบียบ เป็นอุปสรรค ขาดธรรมาภิบาล ขาดความรู้ ความเข้าใจ ปัจจัยเอื้อ ผปก. SMEs T&I&IP HRD ขาด กำลังทุน ในการ ทำธุรกิจ ระบบ จัดการ ภาครัฐ ขาดจิตสำนึก ความตื่นตัว ข้อมูล ต้นทุน โลจิสติกส์ สูง ขาด Facility - โอกาสตลาด ขาดความเชื่อมโยงทางธุรกิจ ผลิตภาพต่ำ T&I&IP ต่ำ ผลิต ส/ค บริการมูลค่าต่ำ ผลกระทบ ภายนอก ผลกระทบ ภายนอก SMEs บางสาขา (การค้า) หดตัว

  35. นโยบายการส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs • การที่มี SMEs จำนวนมากอยู่กันอย่างกระจัดกระจายย่อมทำให้สถาบันการเงินในระบบมีต้นทุนและความเสี่ยงที่สูงมากขึ้นในการที่จะพิจารณาปล่อยเงินกู้ให้แก่อุตสาหกรรมเหล่านี้ ทำให้ธนาคารพาณิชย์ไม่สนใจที่จะปล่อยเงินกู้ให้แก่ SMEs • การส่งเสริมการลงทุนที่ผ่านมาในอดีตที่มุ่งแต่การส่งเสริมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ โดยให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่น ยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักร วัตถุดิบ และอื่นๆ ได้ช่วยลดต้นทุนการผลิตให้เฉพาะอุตสาหกรรมที่ได้รับการส่งเสริมเท่านั้น โดยที่ SMEs ไม่ได้รับประโยชน์ • โรงงานขนาดเล็กที่มีขนาดการจ้างงานเกือบร้อยละ 50 ของทั้งประเทศตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพฯ เนื่องจากกรุงเทพฯเป็นตลาดใหญ่ที่มีช่องทางในการทำธุรกิจมากมาย อีกทั้งยังมีความสะดวกสบายในเรื่องสาธารณูปโภคต่างๆ และอยู่ใกล้โรงงานขนาดใหญ่ซึ่งอาจจะให้การสนับสนุนให้โรงงานขนาดเล็กรับช่วงจ้างเหมา การให้เครดิตการค้าหรือให้ความช่วยเหลือเรื่องเทคนิคการผลิต จึงทำให้โรงงานขนาดเล็กจำนวนมากในเขตกรุงเทพฯต้องเผชิญกับเรื่องการแข่งขันกันเองที่ค่อนข้างรุนแรงโดยทั่วไป

  36. นโยบายการส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs • SMEs แข่งขันเพื่อความอยู่รอดในระยะสั้นโดยการตัดราคากันเอง ด้วยการลดคุณภาพหรือลดต้นทุนการผลิต ด้วยวิธีฝ่าฝืน กฎหมายแรงงาน การกดค่าแรง หรือการหลบเลี่ยงภาษี ทำให้ขาดการปรับปรุงแก้ไขปัญหาการผลิตโดยการยกระดับประสิทธิภาพการผลิตอย่างจริงจังและต่อเนื่อง • SMEs ที่ตั้งอยู่ในส่วนภูมิภาค มักเป็นอุตสาหกรรมที่ท้องถิ่นมีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบอยู่แล้ว เช่น มีทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้เป็นวัตถุดิบ มีช่างฝีมือของท้องถิ่นนั้นอุตสาหกรรมเหล่านี้มักจะต้องพึ่งพาอาศัยตลาดท้องถิ่นที่มีขนาดเล็กเป็นหลัก • วิธีการช่วยเหลือ SMEs ควรจะเป็นการช่วยเหลือในเรื่องของการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยเฉพาะทักษะ ฝีมือ ความรู้และความสามารถของแรงงาน และการจัดการของ SMEs เพื่อให้สามารถอยู่รอดได้บนพื้นฐานของการผลิตที่มีประสิทธิภาพ

  37. นโยบายการส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs • BOI มีความถนัดในด้านช่วยเหลืออุตสาหกรรมที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่แต่ยังไม่ค่อยถนัดเรื่องการสนับสนุน SMEs แต่นโยบายสำหรับอุตสาหกรรมทั้งสองประเภทนี้จะเป็นอิสระต่อกันไม่ได้เพราะอุตสาหกรรมทั้งสองประเภทนี้แข่งขันกันในเวทีเศรษฐกิจเดียวกันต้องแย่งเงินทุนแย่งตลาด ฯลฯ การที่ภาครัฐบาลให้แต่ความช่วยเหลือแก่อุตสาหกรรมขนาดโตนั้น มีผลเท่ากับเป็นการถ่วงความเจริญของอุตสาหกรรมขนาดย่อมไปในตัว ดังนั้นการเปิดเสรีรับนักลงทุนต่างชาติอาจจะเป็นการปิดโอกาส และ/หรือ ทำลายขบวนการพัฒนาผู้ประกอบการภายในประเทศ (Crowding out) ทั้งนี้เพราะนักลงทุนต่างชาติเหล่านี้ โดยเฉพาะ MNEs มักมีขนาดใหญ่ มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย และความพร้อมทางด้านเงินทุนมากกว่าเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการภายในประเทศโดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อม

  38. 6 ยุทธศาสตร์การส่งเสริมตามแผนการส่งเสริม SMEs ฉบับที่ 2 (2550-2554) SMEs มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง /แข็งแกร่ง / ยั่งยืน โดยใช้ความรู้ ทักษะ ฝีมือ Dynamic & KB SMEs Productivity & Innovation 1 2 3 4 5 การเพิ่ม ผลิตภาพและขีดความสามารถนวัตกรรมของ SMEsในภาคการผลิต การเพิ่มประสิทธิภาพและลดผลกระทบในภาคการค้า การส่งเสริมขีดความสามารถในการสร้างมูลค่าเพิ่มของภาคบริการ การส่งเสริม SMEs ในภูมิภาคและท้องถิ่น การสร้างและพัฒนาขีดความสามารถ ผปก. การพัฒนาปัจจัยเอื้อในการดำเนินธุรกิจ เศรษฐกิจพอเพียง / ธรรมาภิบาล

  39. นโยบายส่งเสริมการพัฒนาทักษะ เทคโนโลยีและนวัตกรรม • ภาคเอกชนมักขาดแรงจูงใจในการพัฒนาเทคโนโลยีและพัฒนาทักษะแรงงาน เพราะปัญหาสำคัญที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า “ความล้มเหลวของกลไกตลาด (market failure)” กล่าวคือ การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและพัฒนาทักษะแรงงานมีลักษณะเป็นสินค้ามหาชน (public goods) ผู้ที่ลงทุนอาจไม่สามารถตักตวงผลประโยชน์กลับคืนได้คุ้มกับเงินลงทุน เพราะผู้อื่นสามารถลอกเลียนผลการวิจัยได้ • ผลการวิจัยยังก่อให้เกิดประโยชน์กับส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนบุคคล ขณะที่การวิจัยเป็นงานลงทุนสูง แต่เสี่ยงที่จะไม่ค้นพบอะไรเลย และเอกชนขาดบุคลากรที่มีความสามารถด้านวิจัยและพัฒนาด้วยเหตุผลเหล่านี้เอกชนจึงขาดแรงจูงใจที่จะลงทุนในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและทักษะของแรงงาน ในระดับที่สังคมปรารถนาที่รัฐจึงมีความจำเป็นต้องเข้าแทรกแซงหาหนทางสนับสนุนให้เอกชนเพิ่มการลงทุนในด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและทักษะแรงงาน เพื่อนำมาสู่นวัตกรรมในที่สุด

  40. นโยบายส่งเสริมการพัฒนาทักษะ เทคโนโลยีและนวัตกรรม • ประสบการณ์พัฒนาของหลายประเทศให้บทเรียนกับเราว่า ไม่มีประเทศใดในโลกที่สร้างเศรษฐกิจภายในประเทศ ให้เข้มแข็งด้วยการพึ่งพิงการลงทุนจากต่างประเทศเป็นหลัก ถึงแม้ว่า FDI อาจจำเป็นสำหรับการสร้างแรงกระตุ้นในระยะแรก รัฐบาลก็จะต้องสร้างกติกาเงื่อนไขและติดตามดูแลนักลงทุนต่างชาติ เพื่อให้มั่นใจได้ว่า "ข้อดี" ทั้งหลายของ FDI ที่จำเป็นต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (FDI Spillover) ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายทอดเทคโนโลยีหรือการยกระดับทักษะของบุคลากรในประเทศจะเกิดขึ้นอย่างแท้จริง • การส่งเสริมการลงทุนพิเศษกับโครงการที่ลงทุนเพิ่มประสิทธิภาพและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต รวมถึงโครงการที่ให้ความสำคัญในการวิจัยและพัฒนา (R&D) โดยจะให้สิทธิประโยชน์มากเป็นพิเศษ ในการขอคืนภาษี (Tax Credit )ได้ 100% หรือมากกว่าขึ้นอยู่กับความเหมาะสม รวมทั้งมีการส่งเสริมการปรับตัว เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และแก้ไขปัญหาของภาคอุตสาหกรรม โดยเสนอมาตรการจูงใจด้านภาษีอากร เพื่อให้ผู้ประกอบการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรไปสู่เทคโนโลยีที่ทันสมัยภายในช่วงเวลาที่กำหนด

  41. นโยบายส่งเสริมความเชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิตนโยบายส่งเสริมความเชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิต • สำหรับกรอบแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์เกี่ยวกับช่องทางการกระจายเทคโนโลยี (Channels of Technological Diffusion) นั้นสามารถแบ่งออกเป็น 5 ช่องทางหลัก ได้แก่ การเป็นตัวอย่างและการลอกเลียนแบบ (demonstration/imitation) การเคลื่อนย้ายแรงงาน (labor mobility), การส่งออก (export), การแข่งขัน (competition) และความเชื่อมโยงระหว่างอุตสาหกรรม (ทั้ง backward และ forward linkage) กับกิจการท้องถิ่น สำหรับการศึกษาส่วนใหญ่ให้ความสนใจเป็นพิเศษกับความเชื่อมโยงระหว่างบรรษัทข้ามชาติกับกิจการท้องถิ่นที่มีผลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีของกิจการท้องถิ่น • สำหรับความเชื่อมโยงระหว่างอุตสาหกรรม (Inter-industry linkage effects) นั้นส่วนใหญ่เป็นความเชื่อมโยงระหว่างกิจการในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องในแนวตั้ง (Vertically related industries) และเป็นช่องทางหนึ่งของการ spillover ซึ่งมีทั้งเป็น การเชื่อมโยงไปข้างหน้า (Forward linkage) และการเชื่อมโยงไปข้างหลัง (Backward linkage) นอกจากนี้การศึกษาในปัจจุบันก็มักจะวิเคราะห์ไปถึงความเชื่อมโยงใน International Production Network

  42. นโยบายส่งเสริมความเชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิตนโยบายส่งเสริมความเชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิต • การเชื่อมโยงไปข้างหน้าและข้างหลังนั้นก่อให้เกิด Productivity spillover ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องที่มีความเกี่ยวข้องกับ MNEs ผ่านกลไกได้แก่ • (๑) MNEs อาจจะถ่ายทอดเทคโนโลยีไปยังผู้ผลิตชิ้นส่วนโดยตรงผ่านการอบรมหรือแม้แต่การพัฒนาสินค้าด้วยกัน • (๒) ลูกค้าที่เป็น MNEs อาจจะตั้งมาตรฐานเกี่ยวกับคุณภาพสินค้าและการให้บริการ (ในแง่ของผู้ผลิตชิ้นส่วน เช่น การจัดส่งแบบ just-in-time) และยังให้แรงจูงใจกับผู้ผลิตชิ้นส่วนท้องถิ่นในการพัฒนาคุณภาพสินค้าและกระบวนการผลิต • (๓) MNEs อาจจะตัดสัมพันธ์ที่มีอยู่กับผู้ผลิตชิ้นส่วนท้องถิ่นและเปลี่ยนไปใช้ระบบ Global sourcing แทน ซึ่งทำให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนท้องถิ่นต้องแข่งขันกับชิ้นส่วนนำเข้าและบังคับให้กิจการท้องถิ่นต้องยกระดับตัวเองโดยอาจจะต้องหาผู้ร่วมทุน ต่างชาติหรือต้องออกจากตลาดไป • (๔) บุคลากรที่ได้รับการฝึกฝนอาจจะย้ายจาก MNEs ไปยังผู้ผลิตชิ้นส่วนท้องถิ่นหรือลูกค้าซึ่งความรู้ความชำนาญก็จะติดตัวบุคลากรเหล่านี้ไปด้วย

  43. นโยบายส่งเสริมความเชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิตนโยบายส่งเสริมความเชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิต • ความเชื่อมโยงเกิดจากความร่วมมือกันระหว่าง MNEs กับผู้ผลิตชิ้นส่วนท้องถิ่นในหลายรูปแบบทั้งที่เป็นสัญญาซื้อขาย การซื้อขายเทคโนโลยีหรือการเป็นหุ้นส่วนทางกลยุทธ์ ซึ่งยิ่งจำนวนธุรกรรมและปฏิสัมพันธ์ยิ่งมากยิ่งซับซ้อนเท่าไหร่ความเป็นไปได้ในการที่ความรู้จะถูกแลกเปลี่ยนก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น • spillover จากกิจกรรมต่างๆนี้จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับอำนาจต่อรองของทั้งสองฝ่าย ในกรณีที่ที่กิจการท้องถิ่นมีความชำนาญมีเทคโนโลยีเฉพาะทางหรือมีขนาดการผลิตที่ได้เปรียบอำนาจต่อรองก็จะมาก ในทางตรงข้ามหากกิจการท้องถิ่นเป็นเพียงแค่ผู้ผลิตชิ้นส่วนที่ขึ้นอยู่กับค่าแรงที่ถูกเพียงอย่างเดียวก็จะมีอำนาจต่อรองน้อยกว่า • กลยุทธ์การสร้างความสัมพันธ์ของบริษัทข้ามชาติกับบริษัทในประเทศในรูปแบบต่างๆไมว่าจะเป็น การจัดการห่วงโซ่มูลค่า (Value-Chain Management) การจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply-Chain Management) การเซ็นสัญญาการจัดซื้อไวลวงหนา (Contract Manufacturers) การสนับสนุนการถ่ายทอดทางเทคโนโลยี (Promoting Technology Transfer) การสนับสนุนการฝึกอบรม (Providing Training) การให้ความสนับสนุนทางด้านการเงิน (Financial Support) และการให้ข้อมูลข่าวสารต่าง (Sharing Information) เป็นต้น

  44. นโยบาย Value Chain สำหรับ SMEs • ประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ของโลกที่ประเทศกำลังพัฒนาจำนวนที่มากขึ้นเรื่อยๆที่มีนโยบายส่งเสริมการส่งออก ในขณะที่การค้าและการลงทุนระหว่างประเทศเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง ทำให้การผลิตสินค้าที่สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกเท่านั้นที่สามารถอยู่รอดได้ แต่เนื่องจากการผลิตทางอุตสาหกรรมระหว่างประเทศมีการพัฒนาตลอดเวลา ผู้ผลิตในประเทศไทยจึงต้องมีความก้าวหน้าในการผลิตให้ทันกับตลาดโลก ทั้งในขบวนการ,ตัวสินค้า,หน้าที่ในการผลิต และสินค้าใหม่ (Value Chain ใหม่)

  45. นโยบาย Value Chain สำหรับ SMEs • ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SMEs จะสามารถคงอยู่ในตลาดโลกเช่นนี้ด้วยแนวทาง 3 ประการ คือ • การรวมตัวของ SMEs เป็นเครือข่ายในการติดต่อกับผู้ซื้อหรือผู้ขายในตลาดโลกเพื่อให้เกิดอำนาจต่อรองมากขึ้น • การสร้างความสัมพันธ์ในแนวดิ่งให้เป็นส่วนหนึ่งของการผลิตของบริษัทข้ามชาติในลักษณะที่เป็นอิสระ • การสร้างความสัมพันธ์ในแนวดิ่งให้เป็นส่วนหนึ่งของการผลิตของบริษัทข้ามชาติในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนต่างประเทศ (Foreign Direct Investment)

  46. นโยบาย Value Chain สำหรับ SMEs • อย่างไรก็ตาม การวางตำแหน่งของ SMEs ในตลาดโลกข้างต้นยังมีความจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาล ในด้านข้อมูลเกี่ยวกับตลาด การประเมินจุดอ่อนจุดแข็งและวางกลยุทธ์ให้เหมาะสมของธุรกิจ และการช่วยเหลือประสานให้ SMEs มีโอกาสเปิดสู่ตลาดโลกทั้งในการขายและการเป็นผู้ผลิตโดยให้ความอุดหนุนตามสมควร • การประเมินจุดอ่อนจุดแข็งของการผลิตก็คือเนื้อหาที่ได้กล่าวถึงในบทนี้ตั้งแต่ การจัดหาวัตถุดิบที่เหมาะสม การพัฒนาคุณภาพแรงงาน เทคโนโลยี การใช้เครื่องจักร การบริหารจัดการผลิต และข้อมูลในการทำตลาด สิ่งที่ SMEs แตกต่างจากองค์กรธุรกิจส่วนที่เหลือคือ ขีดความสามารถที่ด้อยกว่าในการพัฒนาทุกด้านของการผลิต จึงสมควรได้รับการอุดหนุนภายใต้เป้าหมายที่ต้องการให้ผู้ประกอบการเหล่านี้ช่วยตัวเองได้ ไม่ใช่รัฐบาลช่วยเหลือโดยไม่จำกัด และไม่มีที่สิ้นสุด

  47. นโยบายส่งเสริมการลงทุนของผู้ประกอบการไทยไปต่างประเทศนโยบายส่งเสริมการลงทุนของผู้ประกอบการไทยไปต่างประเทศ • ประโยชน์ที่ผู้ประกอบการไทยจะได้รับจากการออกไปสู่ระดับสากล ในรูปแบบของความสามารถที่เพิ่มขึ้นในการเข้าสู่ตลาด การเงิน เทคโนโลยี และองค์ความรู้ต่างๆ ประโยชน์ที่ได้รับจาก OFDI มีหลายประการ ได้แก่ สามารถเข้าถึงตลาดที่ใหญ่ขึ้น และมีความใกล้ชิดกับลูกค้าได้มากขึ้น การได้มาซึ่งความรู้และเทคโนโลยีผ่านทางการรวมตัวกันทางธุรกิจ เพิ่มความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจจากการเพิ่มขึ้นในขนาดประหยัดทางธุรกิจการมีกลยุทธ์ทางธุรกิจและการบริหารจัดการที่ดีขึ้น สามารถนำประสบการณ์ที่ได้รับจากต่างประเทศมาใช้กับการปรับปรุงการลงทุน การจ้างงาน และระดับการวิจัย พัฒนาสำหรับตลาดภายในประเทศได้ • ตามแนวคิดเศรษฐศาสตร์มูลเหตุจูงใจสำคัญของการออกไปลงทุนในต่างประเทศ คือ บริษัทในประเทศเหล่านี้สะสมความสามารถและทักษะการผลิตเฉพาะทาง (Firm-specific Advantage) มากจนถึงจุดที่พร้อมที่จะนำเอาความรู้ความสามารถเฉพาะไปใช้ประโยชน์ในต่างประเทศ รวมถึงปัจจัยที่เฉพาะเจาะจงกับประเทศ (Country-specific factors) ทั้งกับประเทศที่มีการย้ายการลงทุนไปยังต่างประเทศ (Home Country) และประเทศผู้รับการลงทุน (Host Country) เผชิญกับปัญหาค่าจ้างแรงงานและต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น ณ ประเทศของตน จึงมีความจำเป็นต้องย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีค่าจ้างแรงงานถูกกว่า หรืออาจเกิดจากการสนับสนุนจากภาครัฐของประเทศที่ไปลงทุนที่ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการในประเทศตนเริ่มขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศ

  48. วิวาทะเรื่องการส่งเสริมการลงทุนวิวาทะเรื่องการส่งเสริมการลงทุน • ด้านหนึ่งเชื่อว่า FDI จะส่งประโยชน์ในระยะยาวแก่ประเทศผู้รับการลงทุนที่เป็นประเทศกำลังพัฒนา เช่น FDI ช่วยเพิ่มมาตรฐานการครองชีพ โดยสร้างโอกาสในการมีงานทำ สร้างงานใหม่และช่วยถ่ายโอนทุน เทคโนโลยีและทักษะในการบริหารจัดการ ช่วยเพิ่มผลิตภาพให้แก่ประเทศผู้รับ พนักงานในบรรษัทข้ามชาติยังได้รับค่าจ้างสูง มีโอกาสในการเรียนรู้และฝึกอบรมและได้ทำงานในบรรยากาศที่เปี่ยมด้วยความเป็นมืออาชีพ นอกจากนี้ FDI ยังช่วยเร่งกระบวนการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศผู้รับ เนื่องจาก FDI ช่วยสร้างการเชื่อมโยงในหลายอุตสาหกรรมทั้งไปข้างหน้า (Forward Linkages) และไปข้างหลัง (Backward Linkages) ทั้งยังช่วยขยายขนาดของตลาดภายในประเทศให้ใหญ่ขึ้น และช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ • แต่ในอีกด้านหนึ่ง FDI ก็อาจจะส่งผลเสียต่อประเทศเจ้าบ้าน เช่น อาจจะปิดโอกาสการพัฒนาผู้ประกอบการภายในประเทศ เนื่องจาก MNEs เหล่านี้มักมีเทคโนโลยีที่สูงกว่า มีความเชี่ยวชาญในการบริหารและสามารถเข้าถึงแหล่งทรัพยากรระดับโลกได้ดีกว่า ข้อได้เปรียบเหล่านี้อาจทำให้ MNEs สามารถผลักดันกิจการท้องถิ่นออกไปจากอุตสาหกรรมได้ นอกจากนี้ MNEs ยังอาจแย่งชิงทรัพยากรมนุษย์ที่มีค่าไปจากกิจการท้องถิ่นได้ หรือการพัฒนานำมาสู่วิกฤตคุณภาพชีวิตของคนงานด้วยสาเหตุต่างๆ เป็นต้น

More Related