1 / 125

JP 612 Research Methodology ภาค 2 ปีการศึกษา 2549

JP 612 Research Methodology ภาค 2 ปีการศึกษา 2549. อ.ดร.พัชราพร แก้วกฤษฎางค์ อ.สุภาพร ศรีสัตตรัตน์. http://arts.tu.ac.th/japan/files/Research%20Methodologyforupload.ppt 24/8/50. ความหมายและลักษณะโดยทั่วไปของการวิจัยทางสังคมศาสตร์.

alima
Download Presentation

JP 612 Research Methodology ภาค 2 ปีการศึกษา 2549

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. JP 612Research Methodology ภาค 2 ปีการศึกษา 2549 อ.ดร.พัชราพร แก้วกฤษฎางค์ อ.สุภาพร ศรีสัตตรัตน์ http://arts.tu.ac.th/japan/files/Research%20Methodologyforupload.ppt 24/8/50

  2. ความหมายและลักษณะโดยทั่วไปของการวิจัยทางสังคมศาสตร์ความหมายและลักษณะโดยทั่วไปของการวิจัยทางสังคมศาสตร์ สังคมศาสตร์ เป็นศาสตร์ที่มุ่งศึกษาเรื่องของการดำรงชีวิตของมนุษย์ซึ่งเป็นชุมชน เป็นการศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ทั้งในแง่ส่วนบุคคลและแง่กลุ่มสังคม และศึกษาที่มาของพฤติกรรมนั้น ๆ ด้วย การศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งที่ซับซ้อนนั้นจำเป็นต้องอาศัยหลักทางวิชาการ และการศึกษาอย่างเป็นระบบ เพื่อจะสามารถเข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์ได้ถูกต้องและชัดเจน

  3. ประเภทของการวิจัย และ องค์ประกอบเบื้องต้นของการวิจัย

  4. ประเภทของการทำวิจัย (1) • การทำวิจัยเบื้องต้น (Basic Research) คือ การมุ่งแสวงหาข้อเท็จจริงพื้นฐาน หาความรู้ความเข้าใจ หรือ เพื่อสร้างทฤษฎีที่เกี่ยวกับการเกิดขึ้นของปรากฏการณ์ที่ศึกษา ความรู้ที่ได้จะเป็นพื้นฐานของการวิจัยในขั้นต่อไป • การทำวิจัยประยุกต์ (Applied Research) คือ การวิจัยที่มีวัตถุประสงค์ที่จะนำผลการวิจัยไปใช้ในทางปฏิบัติจริง เช่น เพื่อนำไปแก้ปัญหา หรือ เพื่อประกอบการตัดสินใจ

  5. ประเภทของการทำวิจัย (2) • การวิจัยทดลอง (Experimental Method)หมายถึง การวิจัยที่อาศัยการทดลองเป็นหลัก ซึ่งต้องมีการวางแผนการทดลองภายใต้การควบคุมดูแลอย่างรอบคอบและมีการเฝ้าสังเกตผลที่เกิดขึ้นอย่างมีระบบ • การวิจัยแบบไม่อาศัยการทดลอง (Nonexperimental Method) เป็นการวิจัยที่ใช้การเก็บรวบรวมข้อมูลกระทำตามสภาพความเป็นจริงที่เป็นอยู่ไม่มีการควบคุมหรือกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ทั้งสิ้น

  6. ประเภทของการทำวิจัย (3) • การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantative Research)หมายถึง การวิจัยที่เน้นการใช้ข้อมูลที่เป็นตัวเลขเป็นสิ่งยืนยันความถูกต้องของทฤษฎี • การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) หมายถึง การวิจัยที่ไม่เน้นข้อมูลที่เป็นตัวเลขเป็นหลัก แต่เน้นการหารายละเอียดต่าง ๆที่จะก่อให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้ง

  7. องค์ประกอบเบื้องต้นของการทำวิจัย • การกำหนดหัวข้อสำหรับการวิจัย • การทบทวนวรรณกรรม • การตั้งสมมติฐานในงานวิจัย • การออกแบบการวิจัย • การกำหนดกลุ่มเป้าหมาย • การสร้างเครื่องมือสำหรับการเก็บข้อมูล • การวิเคราะห์ข้อมูล • การตีความผลการวิเคราะห์ข้อมูล และรายงานผล

  8. การกำหนดหัวข้อสำหรับการวิจัยการกำหนดหัวข้อสำหรับการวิจัย

  9. ที่มาของหัวข้อปัญหาสำหรับงานวิจัย การกำหนดหัวข้อสำหรับการวิจัย • ผู้วิจัยมีความสนใจในหัวข้อนี้จากประสบการณ์ของตน • ได้จากการอ่านเอกสารงานวิจัยต่าง ๆ • แหล่งอุดหนุนทุนวิจัยเป็นผู้กำหนด ฯลฯ

  10. หลักเกณฑ์ในการเลือกหัวข้อปัญหาหลักเกณฑ์ในการเลือกหัวข้อปัญหา • ความสำคัญของปัญหา • ความสนใจของผู้วิจัย • การเสริมสร้างความรู้ใหม่ • ความเป็นไปได้ในการดำเนินการวิจัยให้สำเร็จลุล่วง

  11. วิธีช่วยกำหนดหัวข้อปัญหาให้ชัดเจนวิธีช่วยกำหนดหัวข้อปัญหาให้ชัดเจน • กำหนดเป็นแนวคิด (concept) • ตั้งเป็นคำถามหรือข้อความ (statement) • ตั้งวัตถุประสงค์ของงานวิจัย (research objective)

  12. ข้อผิดพลาดในการเลือกหัวข้อปัญหาสำหรับการวิจัยข้อผิดพลาดในการเลือกหัวข้อปัญหาสำหรับการวิจัย • ขาดการรวบรวมข้อมูลก่อน • ข้อปัญหาและความมุ่งหมายของการวิจัยไม่ชัดเจน หัวข้อปัญหาใหญ่โตไม่จำกัดขอบเขต • ข้อปัญหาและความมุ่งหมายของการวิจัยไม่ชัดเจน หัวข้อปัญหาใหญ่โตไม่จำกัดขอบเขต • ข้อตกลงเบื้องต้นไม่ชัดเจนไม่น่าเชื่อถือ • ไม่คำนึงถึงทรัพยากร เช่น เวลา ทรัพย์ และกำลัง

  13. การวิเคราะห์การเลือกหัวข้อปัญหาสำหรับการวิจัยการวิเคราะห์การเลือกหัวข้อปัญหาสำหรับการวิจัย • ผู้วิจัยมีความสนใจหัวข้อปัญหาและอยากหาคำตอบจริงหรือไม่ • ผู้วิจัยมีความรู้พื้นฐานในหัวข้อปัญหาดีพอหรือไม่ • หัวข้อปัญหามีเครื่องมือที่จะทำการวิจัยได้หรือไม่ • สมมติฐานชัดเจนและมีข้อมูลมาทดสอบได้หรือไม่ • หัวข้อปัญหามีความสำคัญ และเป็นประโยชน์หรือไม่ • หัวข้อปัญหาซ้ำซ้อนหรือไม่

  14. การตั้งชื่อหัวข้อวิจัยการตั้งชื่อหัวข้อวิจัย การตั้งชื่อหัวข้อวิจัยควรประกอบด้วยมิติดังนี้ • สาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง • ลักษณะการเก็บวิเคราะห์ข้อมูล • ประชากรเป้าหมาย • ประเด็นสำคัญของการวิจัย การกำหนดประเด็นเป็นการชี้แนวทางในการทำการวิจัยซึ่งสัมพันธ์กับการทบทวนวรรณกรรม

  15. ตัวอย่างหัวข้อวิจัย 「日本語の起源について」 「日本語起源論における南方説の系譜」 「日本語の平叙文における主語の有無-機能的分析」 「現代日本語における非標準的語順の機能 -談話機能観点から」 

  16. การทบทวนวรรณกรรม

  17. การทบทวนวรรณกรรม การทบทวนวรรณกรรม หมายถึง การค้นคว้า ศึกษา รวบรวมและประมวลผลงานทางวิชาการ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ทำวิจัย เพื่อศึกษาเนื้อหา รูปแบบและเครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย ทำให้ทราบถึง • ระเบียบวิธีการวิจัย • ประเด็น แนวความคิด • ผลการวิเคราะห์ • ข้อสรุปข้อเสนอแนะจากผลงานวิจัย

  18. ควรทบทวนวรรณกรรมเมื่อใดควรทบทวนวรรณกรรมเมื่อใด การทบทวนวรรณกรรมต้องทำก่อนลงมือทำการวิจัย ก่อนกำหนดประเด็นปัญหา หลังจากผู้วิจัยได้เลือกหัวข้ออย่างคร่าว ๆ แล้ว การทบทวนวรรณกรรมช่วยทำให้ผู้วิจัยสามารถกำหนดประเด็นปัญหาก่อนกำหนดหัวข้อวิจัย เนื่องจากมีงานวิจัยออกมาอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจึงควรทำการทบทวนวรรณกรรมเพิ่มเติมไปในระหว่างที่ทำการวิจัย และหลังจากทำการวิจัยด้วย

  19. ประโยชน์ของการทบทวนวรรณกรรมประโยชน์ของการทบทวนวรรณกรรม • ช่วยมิให้ทำวิจัยในเรื่องที่มีผู้ได้ทำการศึกษาวิจัยมาอย่างเพียงพอแล้ว • ช่วยให้กำหนดปัญหาและสมมติฐานในการวิจัยได้ถูกต้องเหมาะสม • ทราบถึงวิธีการศึกษาที่ทำมาในอดีตและช่วยให้ออกแบบงานวิจัย ได้เหมาะสม • ทำให้ทราบถึงปัญหาความยุ่งยากของการวิจัย • ทำให้ทราบว่าแหล่งความรู้อยู่ที่ไหนบ้าง • ช่วยเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างข้อค้นพบในอดีตและเชื่อมโยงทฤษฎีแนว ความคิดในอดีตกับข้อมูลปัจจุบัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสะสมความรู้

  20. หลักการเลือกสำรวจเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องหลักการเลือกสำรวจเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ภาพรวมอย่างกว้าง ๆ หัวข้อเฉพาะ หัวข้อที่เกี่ยวข้องโดยตรง

  21. สำรวจเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องสำรวจเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง - หนังสือทั่วไป - หนังสืออ้างอิง - หนังสือรายปี - วารสาร - หนังสืออ้างอิงอื่น ๆ - เวบไซต์ต่าง ๆ

  22. ขั้นตอนการทบทวนวรรณกรรมขั้นตอนการทบทวนวรรณกรรม • กำหนดแผนการรวบรวมข้อมูล • อ่านพร้อมจดบันทึก - ทำบรรณนานุกรมหนังสือที่เราได้อ่านไปแล้วทั้งหมด - ทำการ์ดเดต้าเบสแล้วต้องจัดเก็บเอกสารที่ซีรอกซ์มาให้เป็นระบบเพื่อสะดวกในการค้นหา ต้องบันทึกข้อมูลเบื้องต้น คือ ชื่อผู้เขียน, ชื่อหนังสือ(ชื่อบทความ ชื่อวารสาร), ปีที่ตีพิมพ์, ครั้งที่ตีพิมพ์, ชื่อสำนักพิมพ์และสถานที่ตั้งเนื้อหา, เลขที่ฉบับและเลขหน้า เก็บไว้ทุกครั้ง

  23. ตัวอย่างการ์ดข้อมูล หัวข้อเนื้อเรื่องมีบทความนี้อยู่ในมือหรือไม่ชื่อผู้แต่งปีชื่อบทความหรือหนังสือพิมพ์ที่ : ชื่อสำนักพิมพ์ชื่อวารสารฉบับที่หน้าที่Comment :

  24. ประธาน โครงสร้างประโยค มี Kuno,S. 1973 The Structure of the Japanese Language. Cambridge, Mass.: MIT Press. Language Vol.1,No.1,pp. 30-40. Comment:สำคัญหนังสือเกี่ยวกับภาพรวมกว้างๆของโครงสร้างประโยคในภาษาญี่ปุ่นมีประโยคตัวอย่างมากน่าจะนำประโยคตัวอย่างมาใช้ได้แต่ทฤษฎีเก่าและการอธิบายไม่ชัดเจน

  25. การเสนอผลการทบทวนวรรณกรรมการเสนอผลการทบทวนวรรณกรรม • ไม่ควรเสนอเป็นรายชื่อบุคคล หรือตามรายปี • ไม่ควรกล่าวว่าใครเป็นคนแรกที่ทำงานวิจัยเรื่องนี้ • ควรเรียบเรียงให้อยู่ในรูปของประเด็นศึกษา แนวคิดหรือสมมติฐานของงานวิจัย • ควรชี้ให้เห็นว่ามีผู้ใดเสนอแนวความคิดหรือข้อโต้แย้งอะไรบ้าง • ควรชี้ให้เห็นว่าผู้วิจัยค้นพบสิ่งใดที่ควรทำวิจัยเพิ่มเติม • ควรชี้ให้เห็นว่าแต่ละงานวิจัยได้นำระเบียบวิธีวิจัยอะไรมาใช้ และตัวผู้วิจัยจะใช้วิธีการใด เพราะเหตุใด

  26. สิ่งที่ช่วยให้การทบทวนวรรณกรรมมีประสิทธิภาพและรวดเร็วขึ้นสิ่งที่ช่วยให้การทบทวนวรรณกรรมมีประสิทธิภาพและรวดเร็วขึ้น 1. เพื่อนวิจัย การสร้างกลุ่มเพื่อนวิจัยเพื่อการแลกเปลี่ยนความรู้ ข้อมูลหนังสือบทความต่างๆ 2. การเข้าร่วมการสัมมนาทางวิชาการต่าง ๆ การเข้าร่วมการสัมมนาวิชาการต่าง ๆ บ่อย ๆ จะทำให้ผู้วิจัยได้รับความรู้ที่กว้างขวางและทันสมัยมากขึ้น

  27. ประโยชน์ของการมีอ้างอิงประโยชน์ของการมีอ้างอิง • เพื่อเป็นการยอมรับงานของผู้เขียนคนอื่น เป็นการอ้างอิงโดยไม่ได้เป็นการขโมยความคิดของผู้อื่น • เพื่อแสดงให้เห็นถึงองค์ความรู้ที่ผู้อ้างอิงได้ใช้เป็นพื้นฐานในงานของตน • เพื่อทำให้ผู้วิจัยคนอื่นๆ สามารถหาร่องรอยกลับไปยังแหล่งอ้างอิงและทำให้เขาได้สารนิเทศเพิ่มเติม • ระบบการอ้างอิงที่มีมาตรฐานทำให้การกลับไปหาแหล่งความรู้เป็นเรื่องง่ายขึ้น สะดวกและมีประสิทธิภาพขึ้น

  28. สมมติฐานในการวิจัย

  29. ทฤษฎี / สมมติฐานในการวิจัย ทฤษฎี หมายถึง คำอธิบายปรากฏการณ์ตามเหตุผลที่ผ่านการทดสอบแล้ว ในการวิจัยจะมีการใช้กรอบทฤษฎีหรือกรอบแนวคิดกำกับกระบวนการวิจัย สมมติฐาน หมายถึง ข้อความที่ระบุถึงความสัมพันธ์ระหว่างแนวคิดที่ผู้วิจัยมุ่งจะนำไปทดสอบว่าเป็นจริงเช่นนั้นหรือไม่

  30. ความสำคัญของทฤษฎี ในเรื่องเดียวกันอาจมีทฤษฎีมากกว่าหนึ่ง การเลือกทฤษฎีที่เหมาะสมเป็นสิ่งที่สำคัญมากเพราะจะมีผลต่อการเลือกวิธีดำเนินการวิจัย การเลือกตัวแปร ฯลฯ เพราะจะมีผลต่อการเลือกวิธีดำเนินการวิจัย การเลือกตัวแปร ฯลฯ

  31. การตั้งสมมติฐานในการวิจัย(1)การตั้งสมมติฐานในการวิจัย(1) • สมมติฐานในการวิจัยมี 2 ประเภท • 1. สมมติฐานการวิจัย เป็นข้อความที่บอกว่าหรือคาดคะเนว่าตัวแปรที่จะศึกษานั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างไร • ตัวอย่าง เพศมีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจเลือกสาขาในการเรียน • 1.1 สัมพันธ์กันอย่างไม่มีทิศทาง • 1.2 สัมพันธ์กันอย่างมีทิศทาง • 2.สมมติฐานทางสถิติ เป็นสัญลักษณ์และความหมายทางสถิติ เพื่อพร้อมที่จะนำไปพิสูจน์ทางสถิติ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

  32. การตั้งสมมติฐานในการวิจัย(2)การตั้งสมมติฐานในการวิจัย(2) • 2.1 สมมติฐานว่าง (Null Hypothesis) เป็นสมมติฐานที่บอกว่าตัวแปรที่จะศึกษานั้นไม่มีความแตกต่างกัน หรือไม่มีความสัมพันธ์กับสัญลักษณ์ของสมมติฐานว่าง คือ H0 • 2.2 สมมติฐานทางเลือก(AlternativeHypothesis) เป็นสมมติฐานที่บอกว่าตัวแปรที่กำลังจะศึกษานั้น มีความสัมพันธ์กันอย่างไร สัญลักษณ์ของสมมติฐานทางเลือกคือ H1 ตัวอย่าง H0 : µ1 = µ2 H1 : µ1≠ µ2

  33. การทดสอบสมมติฐาน • วัตถุประสงค์ของการทดสอบ • การเริ่มการทดสอบจากการพยายามพิสูจน์ว่าตัวแปรไม่มีความสัมพันธ์กัน ถ้ายังคงพบว่าตัวแปรมีความสัมพันธ์ ย่อมให้ผลที่น่าเชื่อถือได้มากกว่าการทดสอบที่พยายามว่าตัวแปรไม่มีความสัมพันธ์กัน • การใช้สถิติทดสอบที่ถูกต้อง • ในการทดสอบสมมติฐานซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการวิจัยเชิงปริมาณที่มุ่งหาคำอธิบาย จำเป็นจะต้องใช้เทคนิคการวิเคราะห์ทางสถิติให้ถูกต้อง ทั้งนี้เพราะสถิติวิเคราะห์แต่ละวิธีสร้างขึ้นมาอย่างมีเป้าหมายโดยเฉพาะและเหมาะสมกับระดับการวัดตัวแปรบางระดับเท่านั้น

  34. การออกแบบการวิจัย

  35. การออกแบบการวิจัย (Research design) หมายถึง การกำหนดกิจกรรมและรายละเอียดต่าง ๆ ที่จะต้องทำ และวิธีการ แนวทางต่าง ๆ ที่จะใช้เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลจากประชากรเป้าหมาย เพื่อสามารถตอบปัญหาของการวิจัยตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ได้อย่างถูกต้อง (Validly)และแม่นยำ(Accurately) เป็นไปตามความเป็นจริงหรืออย่างมีวัตถุวิสัย (Objectively)

  36. การออกแบบการวิจัย ควรออกแบบการวิจัยให้ • ค่าตัวแปรผันแปรมากที่สุด • ลดอิทธิพลของตัวแปรอื่นที่นอกขอบเขตการวิจัย • ขจัดข้อบกพร่องของการวัด

  37. การกำหนดตัวแปร

  38. การกำหนดแนวคิดและการกำหนดตัวแปร การกำหนดแนวคิดและการกำหนดตัวแปร แนวคิดและทฤษฎีต่าง ๆ จะช่วยให้ทราบว่ามีข้อมูลใดบ้างที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่ผู้วิจัยศึกษา และข้อมูลเหล่านั้นมีความสัมพันธ์ไปในทิศทางใด ซึ่งจะทำให้ผู้วิจัยสามารถ กำหนดเป้าหมายและขอบเขตการหาข้อเท็จจริงเพื่อตอบปัญหาได้ชัดเจน และช่วยให้ผู้วิจัยกำหนดตัวแปรเลือกวิธีวิจัยและกำหนดหน่วยวิเคราะห์หรือกลุ่มประชากรเป้าได้อย่างถูกต้อง

  39. การกำหนดตัวแปร ตัวแปร (variable) คือ แนวความคิด หรือข้อคิดเห็นซึ่งหลากหลายในด้านประเภทและจำนวน สำหรับงานวิจัยตัวแปรต้องเป็นสิ่งที่วัดได้ การแปลงแนวคิดเป็นตัวแปรที่วัดค่าได้ในทางปฏิบัติ เช่น เวลาในการเรียนมีความสัมพันธ์กับสัมฤทธิ์ผลด้านการเรียน ∴ ตัวแปรเรื่องเวลาในการเรียนวัดเป็นจำนวนชั่วโมง ส่วนตัวแปรเรื่องสัมฤทธิ์ผลด้านการเรียนวัดด้วยคะแนนสอบ

  40. ความยากง่ายของตัวแปร ตัวแปรในการวิจัยมีความยากง่ายไม่เท่ากัน เช่น ตัวแปรเพศ ตัวแปรน้ำหนัก เป็นตัวแปรที่เห็นได้ง่ายและชัดเจน มากกว่าตัวแปรที่เป็นนามธรรม เช่น ความพอใจในอาชีพปัจจุบัน ความคิดเห็นต่อระบบการปกครองในปัจจุบัน ความสามัคคีของคนในชุมชม ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น ไม่มีมาตรวัดที่ชัดเจน ผู้วิจัยต้องออกแบบการวิจัยเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้

  41. ประเภทของตัวแปร 1. ตัวแปรเชิงคุณภาพ เป็นตัวแปรที่ได้จากการแยกประเภท เช่น เพศ อาชีพ 2. ตัวแปรเชิงปริมาณ เป็นตัวแปรที่ได้จากการวัด มีลักษณะที่ระบุเป็นตัวเลขได้ เช่น น้ำหนัก ส่วนสูง รายได้ต่อปี

  42. การนิยามตัวแปร เมื่อศึกษาจนเข้าใจเนื้อหาแนวคิดของหัวข้อ และตัวแปรต่าง ๆ แล้ว ต้องแปลงคำจำกัดความหรือนิยามทางทฤษฎีให้เป็นนิยามเชิงปฏิบัติการ ซึ่งเป็นข้อความเชิงประจักษ์เพื่อให้สามารถทำการทดสอบเชิงสถิติได้ โดยนำแนวคิดมาพิจารณาว่ามีตัวชี้ใดบ้างที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดและตัวแปรนั้น ๆ แล้วนำตัวชี้เหล่านั้นมาตั้งเป็นคำถามในแบบสอบถาม

  43. คำนิยามเชิงทฤษฎี หมายถึง การกำหนดความหมายโดยทั่วไปของแนวคิดหรือตัวแปรในการวิจัย เป็นคำจำกัดความที่มุ่งอธิบาย แนวคิด ที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ในระดับทฤษฎีซึ่งมีความเป็นนามธรรม ผู้วิจัยต้องเขียนคำจำกัดความให้สามารถบอกเนื้อหาโดยใช้คำอธิบายที่ทำให้เกิดความกระจ่างชัด คำจำกัดความประเภทนี้จะไม่อยู่ในลักษณะจำนวน หรือมวลที่คลุมเครือ เช่น ความขัดแย้ง คือ ความไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรง (เพราะความรุนแรงสำหรับแต่ละคนไม่เท่ากัน)

  44. คำนิยามเชิงปฏิบัติการคำนิยามเชิงปฏิบัติการ หมายถึง การกำหนดตัวชี้หรือรายละเอียดที่สามารถสังเกตได้หรือสัมภาษณ์ได้ภายในขอบข่ายของความหมายของคำนิยามทั่วไป เป็นการลดระดับความเป็นนามธรรมสู่ข้อความเชิงประจักษ์ โดยการนำแนวคิดมาพิจารณาว่ามีตัวชี้ใดบ้างที่บอกหรือแสดงแนวคิดนั้น และตัวชี้เหล่านี้คือ ตัวแปรที่ผู้วิจัยต้องนำมาให้คำนิยามเชิงปฏิบัติการ ซึ่งนำไปสู่การวัดตัวแปร

  45. ตัวอย่างการแปลงนิยามเชิงทฤษฎีให้เป็นนิยามเชิงปฏิบัติการ ตัวอย่างการแปลงนิยามเชิงทฤษฎีให้เป็นนิยามเชิงปฏิบัติการ ตัวแปร “น้ำใจ” ความหมายทั่วไป “การกระทำซึ่งแสดงถึงการชอบให้และชอบช่วยเหลือผู้อื่น” นิยามเชิงปฏิบัติการ • ใครขอความช่วยเหลืออะไรก็ไม่เคยปฏิเสธ • ใครเดือดร้อนก็จะยื่นมือไปช่วยเหลือ • ใฝ่ถามทุกข์สุขของเพื่อนฝูงอยู่เป็นนิจ ฯลฯ

  46. ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร 1. เหตุผล คือ การระบุว่าตัวแปรใดมีความสัมพันธ์กับตัวแปรใดบ้าง เพราะเหตุใด 2. รูปแบบของความสัมพันธ์ 2.1 ความสัมพันธ์ทางเดียว(ความสัมพันธ์แบบอสมมาตร) 2.2 ความสัมพันธ์แบบตอบโต้(ความสัมพันธ์แบบสมมาตร) 3. ทิศทางของความสัมพันธ์ 3.1 เชิงลบ 3.2 เชิงบวก

  47. ความสัมพันธ์แบบอสมมาตรกับ ความสัมพันธ์แบบสมมาตร ความสัมพันธ์แบบอสมมาตร หมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรสองตัวที่มีทิศทางเดียวกัน X Y ความสัมพันธ์แบบสมมาตร หมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรสองตัวที่มีผลต่อกันแต่ไม่มีตัวใดเป็นตัวแปรอิสระตลอดไป X Y

  48. ความสัมพันธ์เชิงเส้นกับความสัมพันธ์เชิงเส้นโค้งความสัมพันธ์เชิงเส้นกับความสัมพันธ์เชิงเส้นโค้ง ความสัมพันธ์เชิงเส้น หมายถึง สาระของความสัมพันธ์(รูปแบบของการเปลี่ยนค่าของตัวแปร)มีลักษณะเป็นเส้นตรง ความสัมพันธ์เชิงเส้นโค้ง หมายถึง ค่าของตัวแปรหนึ่งเปลี่ยนแปลงไป ค่าของอีกตัวแปรหนึ่งก็จะเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย แต่ไม่ตลอดในบางช่วงค่าของตัวแปร

  49. ทิศทางของความสัมพันธ์เชิงบวกกับเชิงลบทิศทางของความสัมพันธ์เชิงบวกกับเชิงลบ ทิศทางของความสัมพันธ์เชิงบวก หมายถึง เมื่อตัวแปรตัวหนึ่งมีค่าสูงขึ้นตัวแปรอีกตัวหนึ่งจะมีค่าสูงขึ้น หรือ เมื่อตัวแปรตัวหนึ่งมีค่าต่ำลง ตัวแปรอีกตัวหนึ่งก็จะมีค่าต่ำลงด้วย ทิศทางของความสัมพันธ์เชิงลบ หมายถึง เมื่อตัวแปรตัวหนึ่งมีค่าสูงขึ้นตัวแปรอีกตัวหนึ่งจะมีค่าต่ำลง หรือในทางกลับกัน

  50. การควบคุมมิให้ตัวแปรอื่นมีผลต่อข้อสรุปการควบคุมมิให้ตัวแปรอื่นมีผลต่อข้อสรุป 1. การคัดเลือกประชากรที่มีคุณสมบัติเหมือนกันทุกด้านที่ผู้วิจัยต้องการ ควบคุมอิทธิพล 2. การสุ่มตัวอย่างแบบกระจาย 3. การจับคู่วิเคราะห์ 4. การควบคุมทางสถิติ

More Related