270 likes | 584 Views
เสียง ( Sound) หรือ ออดิโอ ( Audio) จัดทำโดย 1.ด.ญ . ชโรชา เชื้อเมืองพาน เลขที่ 24 2. ด.ญ. นภสร ดีขว้าง เลขที่ 27 3. ด.ญ.มาทินี ปัญจะจี๋ เลขที่ 31 4. ด.ญ. รัตติยากร กิติมา เลขที่32 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/3. เสียง ( Sound )
E N D
เสียง (Sound) หรือ ออดิโอ (Audio) จัดทำโดย1.ด.ญ.ชโรชา เชื้อเมืองพาน เลขที่ 242. ด.ญ. นภสร ดีขว้าง เลขที่ 273. ด.ญ.มาทินี ปัญจะจี๋ เลขที่ 314. ด.ญ. รัตติยากร กิติมา เลขที่32ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/3
เสียง (Sound) เสียงเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่นิยมนำมาใช้งานด้านมัลติมีเดีย ซึ่งสามารถถ่ายทอดอารมณ์ไปยังผู้ชมได้ เช่น การใช้เสียงระทึกใจเพื่อทำให้เกิดความตื่นเต้น หรือเสียงนกร้องเพื่อสร้างบรรยากาศตามธรรมชาติ ดังนั้น การเลือกใช้เสียงกับมัลติมีเดียอย่างเหมาะสมย่อมสร้างความรู้สึกที่ดีและน่าประทับใจให้กับผู้ชมงานนำเสนอได้ โดยเนื้อหาบทนี้จะกล่าวถึงความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับออดิโอ เช่น อุปกรณ์สำหรับออดิโอ รูปแบบไฟล์ออดิโอ และซอฟต์แวร์สำหรับออดิโอ เป็นต้น
ทำความรู้จักกับเสียง (Sound) เสียง (Sound)อยู่ในรูปแบบของพลังงาน เหมือนกับพลังงานความร้อน และพลังงานแสง ที่สามารถถ่ายทอดจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งผ่านตัวกลางที่เกิดจากการสั่น ของวัตถุ และแปลงพลังงานที่อยู่ในรูปแบบคลื่นที่ประกอบด้วยแอมพลิจูด และความถี่ของคลื่นเสียง คลื่นเสียงที่มีระดับความดังมากๆ ที่ถือว่าเป็นอันตรายต่อกลไกการได้ยินนั้น คือ เสียงตั้งแต่ 85 เดซิเบลขึ้นไป ซึ่งความเสี่ยงของการสูญเสียการได้ยิน จะขึ้นอยู่กับความดังของเสียง และระยะเวลาของการได้ยิน
องค์ประกอบของระบบเสียงองค์ประกอบของระบบเสียง การนำเสียงจากธรรมชาติมาใช้งานบนคอมพิวเตอร์ต้องผ่านกระบวนการบันทึกจัด และเล่นเสียง แต่ก่อนที่จะผ่านกระบวนการเหล่านี้จำเป็นต้องรับและแปลงเสียงให้อยู่ในรูปแบบที่เหมาะสม ได้แก่ ไมโครโฟน (Microphone) เครื่องขยายเสียง (Amplifier) ลำโพง (Speaker) และอุปกรณ์ปรับแต่งเสียง (Audio Mixer) ไมโครโฟน (Microphone)เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ทำหน้าที่เปลี่ยนคลื่นเสียง (Sound wave) จากแหล่งกำเนิดเสียง สามารถแบ่งแบ่งชนิด เป็น 2 ได้แก่ ไดนามิกไมโครโฟน (Dynamic Microphone) และคอนเดนเซอร์ไมโครโฟน (Condenser Microphone)
1.ไดนามิกไมโครโฟน หรือ มูฟวิ่งคอยล์ไมโครโฟน เป็นไมโครโฟนชนิดขดลวดเคลื่อนที่ ทำหน้าที่เปลี่ยนคลื่นเสียงไปเป็นคลื่นสัญญญาไฟฟ้า โดยอาศัยคุณสมบัติของการเหนียวนำทางแม่เหล็กไฟฟ้า 2.คอนเดนเซอร์ไมโครโฟน สามารถแบ่งชนิดของไมโครโฟนตามทิศทางการรับเสียงได้เป็น 3 ชนิด ได้แก่ ไมโครโฟนชนิดรับเสียงรอบทิศทางไมโครโฟนชนิดรับสียงแบบสองทิศทาง และไมโครโฟนชนิดรับเสียงแบบทิศทางเดียว
เครื่องขยายเสียง (Amplifier) เครื่องขยายเสียง (Amplifier) เป็นอุปกรณ์สำหรับการขยายสัญญาณอินพุตให้มีความดังหรือแอมพลิจูตเพิ่มขึ้นโดยเครื่องขยายเสียงจะประมวลผลสัญญาณโดยใช้ชุดของทรานซิสเตอร์ที่เชื่อมต่ออยู่บนแผงวงจรและใช้พลังงานจากพาวเวอร์ซับพลาย โดยสัญญาณอินพุตจะถูกขยายให้มีแอมพลิจูตเพิ่มขึ้นแต่มีรูปแบบคลื่อนเหมือนเดิม
ลำโพง Speaker ลำโพง Speakerเป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับแปลงพลังงานทางไฟฟ้ากลับเป็นพลังงานเสียง ซึ่งมีฟังก์ชันการทำงานตรงข้ามกับไมโครโฟนหรือเครื่องขยายเสียง โดยจะทำหน้าที่ได้รับมาจากเครื่องขยายเสียง สามารถแบ่งลำโพงออกเป็น 2 ชนิดได้แก่ ลำโพงแบบไดนามิก (Dynamic Speaker) และลำโพงชนิดเสียงทุ้ม (Woofer) กับลำโพลงชนิดเสียงแหลม (Tweeter)
อุปกรณ์ผสมสัญญาณเสียง (Audio Mixer) อุปกรณ์ผสมสัญญาณเสียง (Audio Mixer) เป็นเครื่องมือสำหรับบันทึก และแก้ไขเสียงในแต่ละแทร็กได้อย่างอิสระ เช่น สามารถควบคุมระดับของเสียง (Volumn) จังหวะ (Tempo) และระงับเสียง (Mute) ซึ่งการแก้ไขและจัดการแทร็กเสียงต่างๆ จะไม่ส่งผลกระทบต่อแทร็กอื่นๆ นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มเอฟเฟ็กต์เสียงแบบพิเศษ เช่น เสียงคอรัส เสียงเอคโค หรือเสียงจากอุปกรณ์ไฟฟ้าได้ จากนั้นแทร็กเหล่านี้จะถูกผสมผสานในช่องสัญญาณ หากเป็นระบบเสียงสเตอริโอจะใช้ 2 ช่องสัญญาณ แต่ถ้าเป็นระบบเสียงเซอราวด์จะใช้มากกว่า 2 ช่องสัญญาณขึ้นไป
ประเภทของเสียง ประเภทของเสียงสามารถแบ่งได้ 2 ประเภท คือ เสียงแบบมิดี้ และเสียงแบบดิจิตอล โดยมีรายละเอียด ดังนี้ มิดี้ (MIDI: Musical Instrument Digital Interface) มิดี้ (MIDI) คือเสียงที่แทนเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ ซึ่งได้รับการพัฒนามาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 สำหรับใช้กับเครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ เช่น สร้างเสียงตามเครื่องเล่นเปียโน เป็นต้น ข้อดีของมิดี้ คือ ไฟล์ข้อมูลมีขนาดเล็ก การสร้างข้อมูลมิดี้ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องดนตรีจริงๆ ใช้หน่วยความจำน้องทำให้ประหยัดพื้นที่บนฮาริดดิสก์ เหมาะสำหรับใช้งานบนระบบเครือข่าย และง่ายต่อการแก้ไขและปรับปรุง ข้อเสียคือการแสดงผลได้เฉพาดนตรีบรรเลงและเสียงที่เกิดจากโน้ตดนตรีเท่านั้น
ดนตรีแบบดิจิตอล (Digital Audio) ดนตรีแบบดิจิตอล (Digital Audio) คือสัญญาณเสียงที่ส่งมากจากไมโครโฟนหรือเล่นเทป หรือจากแหล่งกำเนิดเสียงต่างๆ ทั้งจากธรรมชาติ และที่สร้างขึ้นเอง และนำข้อมูลที่ได้มาแปลงเป็นสัญญาณดิจิตอล ข้อมูลจะถูกสุ่มให้อยู่ในรูปแบบของบิตข้อมูล
อัตราการสุ่มเสียง (Sampling Rate) อัตตราการสุ่มเสียงมีผลโดยตรงต่อคุณภาพของเสียง ใช้อัตราการสุ่ม 8 กิโลเฮิรตซ์ หมายถึงสุ่มค่าแอมพลิจูดของคลื่นเสียงจำนวน 8,000 ครั้งต่อวินาที บิตเรต (Bit Rate) และขนาดไฟล์ (File Size) การเพิ่มอัตราการสุ่มและความละเอียดในการสุ่ม จะทำให้ไฟล์มีขนาดใหญ่ขึ้นและต้องการพื้นที่สำหรับจัดเก็บข้อมูลมากขึ้น รวมถึงต้องการหน่วยประมวลผลที่มีประสิทธิภาพสูงด้วย
อุปกรณ์สำหรับความคุมและบันทึกเสียงอุปกรณ์สำหรับความคุมและบันทึกเสียง อุปกรณ์ที่สำคัญและเกี่ยวข้องกับการควบคุมและบันทึกไฟล์เสียง ได้แก่ การ์ดเสียง (Sound Card) อุปกรณ์ถ่ายทอดสัญญาณเสียง (Audio Transmission) และอุปกรณ์บันทึกเสียง (Audio Recording Device) การ์ดเสียง (Sound Card) การ์ดเสียง (Sound Card) เป็นอุปกรณ์ควบคุมเสียงที่สามารถเพิ่มลงในสล็อต PCI หรือ PCI Express บนเมนบอร์ดของเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยจะเชื่อมต่อละทำงานร่วมกับอุปกรณ์ต่างๆ บนคอมพิวเตอร์ เช่น ซีพียู และลำโพงเป็นต้น
องค์ประกอบพื้นฐานที่อยู่ภายในการ์ดเสียง ได้แก่ 1.หน่วยความจำ (Memory Bank) เป็นหน่วยความจำหรือบัพเฟอร์สำหรับจัดเก็บข้อมูลของการ์เสียงในระหว่างกระบวนการแปลงข้อมูลเสียงให้อยู่ในรูปแบบดิจิตอล 2.ตัวประมวลผลสัญญาณดิจิตอล การ์ดเสียงจะมีตัวประมวลผลสัญญาณดิจิตอล หรือ DSP ทำหน้าที่ควบคุมสัญญาณเสียงดิจิตอลด้วยไมโครโปรเซสเซอร์ที่ถูกออกแบบมาให้ทำงานเฉพาะด้าน 3.ตัวแปลงสัญญาณดิจิตอลเป็นอนาล็อก (DAC : Digital to Analog Converter) และตัวแปลงสัญญาณจากอนาล็อกเป็นดิจิตอล (ADC : Analog to Digital Converter) เป็นกระบวนการแปลงสัญญาณอนาล็อกในอยู่ในรูปดิจิตอล และแปลงไฟล์ดิจิตอลกลับเป็นสัญญาณอนาล็อก 4.เวฟเทเบิล(Wave Table) เป็นตารางรวมคลื่นเสียงที่บันทึกมาจากเสียงจริง โดยจะนำข้อมูลของเสียงจริงที่บันทึกไว้มาใช้แสดงเสียงแบบ 5.พอร์ตอินพุต และพอร์ตเอาท์พุตของเสียง (Input and Output Port)
การประมวลผลไฟล์เสียง (Processing Audio File) การประมวลผลไฟล์เสียงมีอยู่ 2 ชนิด ดังนี้ 1.Wave File เป็นไฟล์ของคลื่นเสียงในรูปแบบอนาล็อก โดยการ์ดเสียงจะได้รับเสียงในรูปแบบสัญญาณอนาล็อกจากไมโครโฟน หรือเครื่องเล่นซีดี และส่งไปยังตัวแปลงสัญญาณแบบ ADC เพื่อแปลงสัญญาณอนาล็อกให้เป็นสัญญาณดิจิตอล และส่งข้อมูลในรูปแบบไบนารี่ไปเก็บที่บัพเฟอร์ 2.MIDI File เป็นไฟล์ที่ต้องการชิปสำหรับสังเคราะห์เสียงแบบมิดี้ หรือ Synthesize Chip โดยจะเขียนรายละเอียดเกี่ยวกับไฟล์ MIDI ไว้บนฮาร์ดดิสก์ในรูปแบบแท็กซ์ไฟล์ ซึ่งจะแสดงข้อมูลว่าใช้เครื่องดนตรีอะไรในการเล่นและ เล่นอย่างไร โดยข้อมูลของไฟล์เสียงจะถูกส่งจากซีพียูไปยังตัวประมวลผลสัญญาณดิจิตอล แล้วชิปสำหรับสังเคราะห์เสียงจะถูกสุ่มสัญญาณเสียง และเลือกข้อมูลการสุ่มที่เหมาะสม เพื่อกำหนดความดังและระดับเสีย
อุปกรณ์ถ่ายทอดสัญญาณเสียง (Audio Transmission) การถ่ายทอดข้อมูลเสียงระหว่างอุปกรณ์ที่ต่างกัน ต้องอาศัยอุปกรณ์ที่ใช้ถ่ายทอดสัญญาณเสียงระหว่างผู้รับและผู้ส่ง ซึ่งมีรูปแบบเดียวกัน โดยอุปกรณ์สำหรับถ่ายทอดสัญญาณเสียงที่สำคัญมีดังนี้ 1.Phone Audio Jack เป็นคอนเน็คเตอร์สำหรับการเชื่อมต่อที่ใช้ทั่วไป เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลเสียงทางโทรศัพท์ เป็นตัวเชื่อมต่อขนาดเล็กซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อใช้ถ่ายทอกเอาท์พุตของสัญญาณเสียงจากวิทยุแบบทรานซอสเตอร์ 2.RCA Jack ตัวเชื่อมต่อแบบ RCA เป็นตัวเชื่อมต่อสำหรับถ่ายทอดสัญญาณเสียงและวีดีโอจากอุปกรณ์ที่ใช้ภายในบ้าน พัฒนาโดย Radio Corporation of America (RAC) หัวเชื่อมต่อหรือปลั๊กตัวผู้ (Plug) 3.XLR Audio Connector ตัวเชื่อมต่อแบบ XLR ได้รับการพัฒนาโดย Cannon มีหลายรูปแบบ โดยรุ่น XLR3 ประกอบด้วย 3 ขา ใช้สำหรับไมครโฟนที่มีคุณภาพสูง ซึ่งขาที่ 1 จะเป็น Ground ส่วนขาที่ 2 และ 3 จะเป็นขั้วไฟฟ้า
อุปกรณ์บันทึกเสียง (Audio Recording Device) ในปัจจุบันมีอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับจัดเก็บ และบันทึกข้อมูลเสียงหลากหลายชนิด ดังนี้ 1.Compact Disc Digital Audio System ซีดี หรือออดิโอซีดี ได้รับการพัฒนาโดย Philip และ Sony ซึ่งเป็นออปติคอลดิสก์ ใช้สำหรับจัดเก็บข้อมูลดิจิตอล เช่น ไฟล์เสียงจิติอล เป็นต้น 2.Digital Audio Tape (DAT) เป็นเทปเสียงจิติอลที่มีขนาดเล็ก ซึ่งสามารถจัดเก็บเสียงดิจิตอลได้ด้วยอัตราสุ่มหลายรูปแบบ 3.Digital Data Storage (DDS) เป็นเทปแม่เหล็กที่ใช้สำหรับจัดเก็บและสำรองข้อมูลที่พัฒนาต่อจากเทคโนโลยี ได้พัฒนา DSS เพื่อใช้สำหรับ จัดเก็บข้อมูลที่มีลักษณะคล้ายเทป DAT 4.Digital Compact Cassette (DCC) พัฒนาขึ้นในปี ค.ศ. 1990 โดย Philip ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับ Compact Audio Cassette แต่ สามารถรองรับการบันทึกข้อมูลดิจิตอลได้ 5.MiniDisc (MD) • ในปี ค.ศ. 1991 Sony ได้พัฒนา MiniDisc (MD) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่สามารถจัดเก็บข้อมูลได้ทุกชนิดด้วยการบันทึกในรูปแบบ Magnetic Optical ซึ่งสามารถบันทึกข้อมูลได้ถึง 1 ล้านครั้ง
การประมวลผลไฟล์เสียง (Processing Sound) การประมวลผลไฟล์เสียง (processing Sound) คือ กระบวนการต่างๆตั้งแต่นำไฟล์เสียงเข้าสู่โปรแกรมสำหรับสร้าหรือแก้ไขเสียงโดยเฉพาะ เช่น โปรแกรม MidiNotateขึ้น การประมวลผลไฟล์เสียงมีขั้นตอน ดังนี้ การบันทึกหรือการนำเข้าข้อมูลเสียง การบันทึกเสียง เป็นการนำเสียงที่ได้จากการพูด การเล่นเครื่องดนตรีหรือเสียงจากแหล่งต่างๆ เช่นเสียงน้ำตก ฟ้าร้อง หรือเสียงสัตว์ มาทำการจัดเก็บลงในหน่วยความจำ เพื่อนำไปใช้งานตามต้องกา การแก้ไขและการเพิ่มเทคนิคพิเศษ การแก้ไขไฟล์เสียง (Sound Editing) คือ การตัดต่อ และการปรับแต่งเสียง โดยสิ่งสำคัญในการแก้ไขเสียง คือ การจัดสรรเวลาของการแสดงผลให้สัมพันธ์กับองค์ประกอบต่างๆ ที่ใช้งานร่วมกับเสียง
รูปแบบไฟล์เสียง การจัดเก็บไฟล์เสียงสามารถทำได้หลายรูปแบบ โดยรูปแบบของการบีบอัดไฟล์เสียงจะมี 2 วิธี คือ Lossless Compression และ Lossy Compression รูปแบบการบีบอัดข้อมูล และลักษณะการนำไปใช้งานที่ต่างกัน ดังนี้ 1. WAV (Waveform Audio) บริษัท Microsoft และ IBM ได้ร่วมกันพัฒนาไฟล์เสียง WAV ที่สนับสนุนการใช้งานบนแพล็ตฟอร์มของ Windows และ Mac OS 2.AIFF (Audio Interchange File Format) Audio Interchange File Format (AIFF) เป็นรูปแบบไฟล์มาตรฐานที่ใช้จัดเก็บข้อมูลเสียงบนเครื่องคอมพิวเตอร์ของ Apple Macintosh 3.MIDI (MIDI) ไฟล์มิดี้เป็นไฟล์เสียงที่ถูกสร้างจากชิปสังเคราะห์เสียงดิจิตอล (Synthesizer Chip) โดยเสียงที่ได้จะเหมือนกับเสียงจากเครื่องดนตรี
4.AU (Audio) ไฟล์เสียง AU (Audio) พัฒนาโดย Sun และ Microsoft ประกอบด้วย (Header) ในระบบยูนิกซ์ 5.MP3 (MPEG Layer III) ไฟล์ MP3 เป็นไฟล์เสียงที่พัฒนามากจากมาตรฐานของ MPEG (Motion Picture Expert Group) 6.VOC (Voice) ไฟล์ VOC (Voice) ใช้กับการ์ดเสียงแบบ Sound Blaster ในระบบสเตอริโอขนาด 16 บิต 7.WMA (Window Media Audio) ไฟล์ WMA เป็นไฟล์เสียงที่พัฒนาโดยไมโครซอฟต์ มีลักษณะคล้ายกับไฟล์ MP3 แต่จะมีขนาดเล็กกว่า 8.RA (Real Audio) เป็นไฟล์ที่พัฒนาโดย Real Network ให้สามารถส่งข้อมูลเสียงในรูปแบบสตรีมมิ่งได้
9.AAC (Advance Audio Coding) ใช้วิธีบีบอัดข้อมูลแบบ Lossy Compression ซึ่งคล้ายกับไฟล์ MP3 ได้รับการพัฒนาโดย ISO และ IEC 10.TTA (True Audio) เป็นไฟล์ที่บีบอัดข้อมูลแบบ Lossless Compression และส่งข้อมูลในรูป Real Time
ซอร์ฟแวร์สำหรับเล่นไฟล์ออดิโอซอร์ฟแวร์สำหรับเล่นไฟล์ออดิโอ ในปัจจุบันซอร์ฟแวร์ที่ใช้เล่นไฟล์เสียงมีอยู่มากมาย ซึ่งบางซอร์ฟแวร์ก็สามารถแสดงได้ทั้งภาพและเสียง โดยหัวข้อนี้จะกล่าวถึงซอร์ฟแวร์ต่างๆที่สำคัญ ดังนี้ 1.Windows Media Player เป็นซอร์ฟแวร์ของระบบปฎิบัติการ Windows ที่ใช้สำหรับเล่นไฟล์เสียงและไฟล์วีดีโอบนเครื่องคอมพิวเตอร์ 2.Winamp เป็นฟรีแวร์ที่พัฒนาโดยบริษัท Nullsoftในปี ค.ศ.1997 สามารถปรับเปลี่ยนสกิน และเล่นไฟล์เสียงได้หลากหลายรูปแบบ 3.Multimedia System (XMMS) เป็นฟรีแวร์ที่ใช้สำหรับเล่นไฟล์เสียงซึ่งมีลักษณะคล้ายกับ Winampแต่ใช้งานบนระบบปฏิบัติการ UNIX และสามารถนำสกินของ Winamp มาใช้งานได้
4.RealPlayer เป็นซอร์ฟแวร์สำหรับเล่นไฟล์เสียงและไฟล์วีดีโอบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ตในรูปแบบสตรีมมิ่ง ได้รับการพัฒนาโดยRealNetworkสามารถใช้งานได้หลายแพล็ตฟอร์ม 5.Musicmatch Jukebox ป็นซอร์ฟแวร์สำหรับเล่นไฟล์เสียง และฟังวิทยุผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต พัฒนาโดย Musicmatch Inc. ซึ่งมี Media Library สำหรับจัดการกับมีเดียต่างๆ 6.JetAudio เป็นซอร์ฟแวร์ที่ประกอบด้วยฟังก์ชันสำหรับจัดการกับไฟล์เสียงมากมาย 7.iTunes เป็นซอร์ฟแวร์สำหรับเล่นไฟล์เสียง และไฟล์วีดีโอ ที่พัฒนาโดย Apple Computer โดยมี iTune Music Store เป็นคอมโพเนนต์ที่ให้ผู้ใช้สามารถสั่งซื้อไฟล์เพลงดิจิตอล 8.Quintessential Player เป็นฟรีแวร์ที่พัฒนาโดย Quinnwareใช้งานบนระบบปฎิบัติการวินโดวส์ สามาถเล่นไฟล์เสียงได้หลากหลายรูปแบบ
9.Sonique เป็นฟรีแวร์ที่ใช้งานบนระบบปฎิบัติการ Windows สามารถรองรับรูปแบบไฟล์เสียงได้หลายชนิด 10.Beep Media Player (BMP) เป็นฟรีแวร์สำหรับเล่นไฟล์เสียงบน UNIX ที่มีพื้นฐานมาจาก XMMS Mutimadia Player มีลักษณะคล้ายกับ Winamp 11.MusikCube เป็น ซอร์ฟแวร์สำหรับเล่นไฟล์เสียงที่ประกอบด้วยเครื่องมือสำหรับจัดการไฟล์เสียง และรองรับรูปแบบไฟล์ได้หลากหลายชนิด
ออดิโอกับมัลติมิเดีย วัตถุประสงค์หลักในการนำเสียงเข้ามาประยุกต์ใช้กับงานด้านมัลติมิเดีย ประเภทของเสียงที่นำมาใช้กับงานด้านมัลติมิเดีย เสียงที่นำมาใช้กับงานด้านมัลติมิเดียมีหลายประเภท ได้แก่ เสียงพูด (Speech) เสียงเพลง (Music) เสียงเอฟเฟ็กต์ (Sound Effect) โดยมีรายละเอียดดังนี้ เสียงพูด(Speech) เสียงพูด(Speech) เป็นองค์ประกอบสำคัญสำหรับการสื่อสารข้อมูลของมนุษย์ และเป็นสื่อกลางสำหรับถ่ายทอดข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ สามารถใช้สื่อความหมายแทนตัวอักษรจำนวนมากได้เสียงพูดแบ่งออกเป็น 2 ชนิดได้แก่ เสียงพูดแบบ ดิจิตอล และเสียงพูดแบบสังเคราะห์
เสียงเพลง (Music) เสียงเพลง (Music) นับเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของการสื่อสารของมนุษย์เช่นเดียวกับเสียงพูด สามารถใช้เสียงเพลงเพื่อสื่อถึงอารมณ์ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลที่ต้องการนำเสนอได้ ขั้นตอนการนำเสียงมาใช้งาน ไม่ว่าจะใช้มัลติมีเดียบนระบบ Macintosh หรือ Windowsต้องมั่นใจว่าเมื่อนำเสียงไปใช้กับงานมัลติมีเดียแล้ว จะทำให้งานมีคุณภาพมากขึ้น
สรุป เสียง(Audio) เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่นิยมนำมาใช้กับงานด้านมัลติมีเดีย ซึ่งสามารถถ่ายทอดบรรยากาศและอารมณ์ต่างๆไปยังผู้ชมได้ คลื่นเสียงประกอบด้วยคุณสมบัติทางฟิสิกส์ ได้แก่ แอมพลิจูด (Amplitude)ความถี่(Frequency) รูปแบบคลื่น(Waveform)และความเร็ว (Speed) ที่ใช้สำหรับถ่านทอดเสียง เสียงจากธรรมชาติที่สามารถนำมาใช้บนคอมพิวเตอร์ ด้วยกระบวนการบันทึก (Record) จัดการ (Manipulate) และเล่นเสียง (Playback) แต่ก่อนที่จะผ่านกระบวนการเหล่านี้ -เสียงจากธรรมชาติที่สามารถนำมาใช้บนคอมพิวเตอร์ ด้วยกระบวนการบันทึก (Record) จัดการ (Manipulate) และเล่นเสียง (Playback) แต่ก่อนที่จะผ่านกระบวนการเหล่านี้ -อุปกรณ์สำคัญที่ควบคุมสำหรับการทำงานและเล่นไฟล์เสียง -การจัดเก็บไฟล์เสียงในมัลติมีเดีย สามารถจัดเก็บได้หลากหลายรูปแบบ -ซอฟต์แวร์ใช้งานเกี่ยวกับภาพและเสียงมีอยู่มากมาย -การนำเสียงมาประยุกต์ใช้งานกับมัลติมีเดีย มีวัตถุประสงค์หลัก คือ ทำให้สามารถเข้าใจถึงเนื้อหาที่ต้องการนำเสนอได้ดีขึ้น และลดการสื่อสารในรูปแบบที่ซ้ำซ้อน