310 likes | 557 Views
IP Address. IP Address. IP รุ่น 4 ใช้ไอพีแอดเดรสขนาด 32 บิต มีจำนวนแอดเดรสที่เป็นไปได้ทั้งสิ้น 2 32 (4,294,967,296) นิยมเขียนในรูปเลขฐานสิบตามแบบ “dotted decimal” โดยแบ่งตัวเลข 32 บิต ออกเป็น 4 ชุด ชุดละ 1 ไบต์ ( 8 บิต) แต่ละไบต์แทนด้วยเลขฐานสิบ 1 ตัว และคั่นด้วยจุด
E N D
IP Address • IP รุ่น 4 ใช้ไอพีแอดเดรสขนาด 32 บิต • มีจำนวนแอดเดรสที่เป็นไปได้ทั้งสิ้น 232 (4,294,967,296) • นิยมเขียนในรูปเลขฐานสิบตามแบบ “dotted decimal” โดยแบ่งตัวเลข 32 บิต ออกเป็น 4 ชุด ชุดละ 1 ไบต์ (8 บิต) แต่ละไบต์แทนด้วยเลขฐานสิบ 1 ตัว และคั่นด้วยจุด เช่น 10011110 01101100 00000010 00000001 จะเขียนได้เป็น ? 158.108.2.1
IP Address ประกอบด้วย Network ID และ Host ID • Network ID (หรือ net id) ระบุขอบเขตของเครือข่าย Network ID เหมือนกัน เครือข่ายเดียวกัน • Host ID ระบุหมายเลขโฮส (โฮส หมายถึง เครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์เครือข่าย)
Network ID and Host ID เช่น 202.150.80.11 Network ID Host ID
IP Address: 202.150.80.2 IP Address: 202.150.80.1 Host ID Network ID Network ID Host ID IP Address: 202.150.80.3 Network ID Host ID
202.150.80.2 202.150.80.3 202.150.80.1 202.150.12.2 202.150.12.1
Network ID and Host ID จงขีดเส้นใต้ส่วนที่เป็น Network ID • 202.15.101.1 • 98.100.20.30 • 128.10.100.1 • 190.20.30.5 • 61.113.20.8 • 150.220.170.108 • 212.100.200.40 • 170.200.100.85
Network ID and Host ID IP Address ใดบ้างที่อยู่เครือข่ายเดียวกัน • 202.15.101.1 • 170.100.30.100 • 98.10.20.3 • 170.100.50.40 • 170.120.30.100 • 202.14.101.200 • 202.15.101.100 • 170.120.20.4 • 98.50.33.4 1, 7 2, 4 3, 9 5, 8 6
แอดเดรสเครือข่าย • คือไอพีแอดเดรสที่บิตของ Host ID มีค่าเป็น 0 ทุกบิตมีไว้สำหรับอ้างอิงเครือข่าย เสมือนเป็นหมายเลขตัวแทนของทั้งเครือข่าย • เช่น ไอพีแอดเดรส 200.10.1.1 และ 200.10.1.2 อยู่ในคลาส C เนื่องจาก Network ID ของคลาส C คือ 24 บิตซ้าย ดังนั้น • ไอพีแอดเดรส 200.10.1.1 อยู่ในเครือข่าย 200.10.1.0 • ไอพีแอดเดรส 200.10.1.2 อยู่ในเครือข่าย 200.10.1.0 นั่นคือ ไอพีแอดเดรสทั้งสอง อยู่ในเครือข่ายเดียวกัน
200.10.1.2 200.10.1.1 เครือข่าย 200.10.1.0 200.10.1.3 165.202.12.2 165.202.12.1 เครือข่าย 165.202.0.0
บรอดคาสต์แอดเดรส (Broadcast Address) • เป็นไอพีแอดเดรสที่มีไว้สำหรับส่งข้อมูลกระจายไปยังทุกๆ เครื่องที่อยู่ในเครือข่ายเดียวกัน โดยบิตที่เป็น Host ID จะมีค่าเป็น 1 ทั้งหมด • แต่ละเครือข่ายจะมีบรอดคาสต์แอดเดรสเพียง 1 ไอพีแอดเดรสเท่านั้น • ดังนั้น ถ้ามีแอดเดรสเครือข่าย 165.202.0.0 เครือข่ายนี้จะมีบรอดคาสต์แอดเดรสเป็น 165.202.255.255 11111111 11111111
ถ้ากำหนดไอพีแอดเดรส 203.145.200.178 • ไอพีแอดเดรสนี้อยู่ในแอดเดรสเครือข่ายใด • เครือข่ายนี้มีบรอดคาสต์แอดเดรสเป็นเท่าใด • เครือข่ายนี้มีโฮสต์(จำนวนเครื่อง)สูงสุดเป็นเท่าใด 203.145.200.0 203.145.200.255 254
สรุปจำนวนโฮส • Class A แต่ละเครือข่ายมีโฮสต์ได้สูงสุด...............โฮสต์(เครื่อง) • Class B แต่ละเครือข่ายมีโฮสได้สูงสุด...............โฮสต์ (เครื่อง) • Class C แต่ละเครือข่ายมีโฮสได้สูงสุด...............โฮสต์ (เครื่อง) 2Host ID – 2 โฮสต์
ไอพีแอดเดรสเฉพาะกรณี • แอดเดรสเครือข่าย • คือไอพีแอดเดรสที่บิตของ Host ID มีค่าเป็น 0 ทุกบิต มีไว้สำหรับอ้างอิงเครือข่าย เสมือนเป็นหมายเลขตัวแทนของทั้งเครือข่าย • บรอดคาสต์แอดเดรส • คือไอพีแอดเดรสที่บิตของ Host ID มีค่าเป็น 1 ทุกบิต ใช้สำหรับส่งข้อมูลกระจายไปยังคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ทั้งหมดภายในเครือข่าย • ลูปแบ็กแอดเดรส • คือไอพีแอดเดรส 127.X.X.X สงวนไว้ใช้ทดสอบระบบภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ ค่า X มีค่าเท่าใดก็ได้ แต่โดยปกติแล้วจะนิยมใช้ 127.0.0.1
Private IP Address • ไอพีแอดเดรสที่ใช้เฉพาะเครือข่ายภายในองค์กร (Private IP Address) • ช่วยให้มีไอพีแอดเดรสใช้อย่างเพียงพอในเครือข่าย โดยองค์กรที่เชื่อมต่อเครือข่ายเข้ากับอินเทอร์เน็ตและประสบปัญหาไอพีแอดเดรสไม่พอใช้ • สามารถใช้ไอพีแอดเดรสภายในได้ แต่ต้องแยกส่วนของเครือข่ายที่ใช้ไอพีแอดเดรสภายในไม่ให้เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตโดยตรง
การแบ่งเครือข่ายย่อย (subnet) • เพิ่มความปลอดภัยของข้อมูลที่ส่งผ่านระบบเครือข่าย ป้องกันไม่ให้ข้อมูลถูกส่งไปยังหน่วยงานอื่น • ลดการกระจายข้อมูลในเครือข่ายให้น้อยลง การแบ่งซับเน็ตจะใช้วิธีแบ่งบางส่วนของ Host ID มาใช้เป็นเลขซับเน็ต หรือ Subnet ID เพื่อกำหนดว่าเป็นเครือข่ายย่อยที่เท่าใด
ตัวอย่าง เครือข่าย 158.108.0.0 ซึ่งอยู่ในคลาส B สมมติว่า ใช้ 8 บิตแรกของ Host ID มาเป็น Subnet ID พิจารณาจาก Subnet ID จะแบ่งได้ 28 – 2 ซับเน็ต ทำไมลบ 2 ? พิจารณาจาก Host ID แต่ละซับเน็ตจะมีโฮสต์ได้ 28 – 2 โฮสต์ ทำไมลบ 2 ?
ตัวอย่าง(ต่อ) เครือข่าย 158.108.0.0 ซึ่งอยู่ในคลาส B พิจารณาจาก Subnet ID จะแบ่งได้ 28 – 2 ซับเน็ต พิจารณาจาก Host ID แต่ละซับเน็ตจะมีโฮสต์ได้ 28 – 2 โฮสต์ • Subnet ID ที่ทุกบิตเป็น 0 และ 1 จะสงวนไว้ใช้งานเฉพาะ ดังนั้นจึงต้องลบจำนวนซับเน็ตออก 2 ซับเน็ต • ซึ่งเป็นที่มาของ 2Subnet ID – 2 • Host ID ที่ทุกบิตเป็น 0 และ 1 จะสงวนไว้สำหรับแอดเดรสเครือข่าย • บรอดคาสต์แอดเดรส • ดังนั้นจึงต้องลบจำนวนโฮสต์ออก 2 โฮสต์ • ซึ่งเป็นที่มาของ 2Host ID – 2
ตัวอย่าง(ต่อ) เครือข่าย 158.108.0.0 ซึ่งอยู่ในคลาส B Subnet Address จะ concept เดียวกันกับแอดเดรสเครือข่าย คือ ให้บิตของ Host ID ให้มีค่าเป็น 0 ทุกบิต ตัวอย่าง Subnet Address ที่ได้
ตัวอย่าง(ต่อ) เครือข่าย 158.108.0.0 ซึ่งอยู่ในคลาส B ตัวอย่าง Subnet Address ที่ได้ แต่ละซับเน็ตจะมีโฮสต์ได้ 28 – 2 โฮสต์ 158.108.1.0 (Subnet Address) 158.108.1.1 158.108.1.2 … 158.108.1.254 158.108.1.255 (บรอดคาสต์แอดเดรส) 254 Subnet Address ดังนี้: 158.108.1.0 158.108.2.0 … 158.108.253.0 158.108.254.0
ซับเน็ตมาสก์ (Subnet Mask) • ใช้ประโยชน์ในการตรวจสอบหาแอดเดรสเครือข่าย(ย่อย)ของแต่ละไอพีแอดเดรสได้ เช่น ไอพีแอดเดรส 158.108.1.2 เป็นสมาชิกของเครือข่ายย่อยใด? เราทราบแต่เพียงว่า 158.108.1.2 อยู่ในคลาส B นั่นคือเป็นสมาชิกของเครือข่าย 158.108.0.0 (ซึ่งเป็นเครือข่ายก่อนทำการแบ่งซับเน็ต) ดังนั้น จึงมีการกำหนด subnet mask เพื่อใช้หาคำตอบดังกล่าว
ซับเน็ตมาสก์ (Subnet Mask) • ซับเน็ตมาสก์เป็นตัวเลขขนาด 32 บิต ซึ่งเขียนอยู่ในรูป dotted-decimal เช่นเดียวกับการเขียนไอพีแอดเดรส โดย.. บิตที่ตรงกับ Network ID และ Subnet ID จะมีค่าเป็น 1 และ บิตที่ตรงกับ Host ID จะมีค่าเป็น 0
ซับเน็ตมาสก์ (Subnet Mask) ตัวอย่างเช่น เครือข่าย 158.108.0.0 ซึ่งจัดอยู่ในคลาส B มี Network ID คือ 16 บิตทางซ้าย สมมติถูกแบ่งซับเน็ตโดยให้มี Subnet ID และ Host ID อย่างละ 8 บิต ดังนั้นจะมีค่าซับเน็ตมาสก์เท่ากับ 255.255.255.0 ซึ่งคำนวณได้จากการกำหนดให้บิตในส่วนของ Network ID และ Subnet ID มีค่าเป็น 1 และกำหนดบิตในส่วนของ Host ID ให้มีค่าเป็น 0
ไอพีแอดเดรส 158.108.1.2 เป็นสมาชิกของเครือข่ายย่อยใด? • วิธีการ คือ นำไอพีแอดเดรสที่ต้องการตรวจสอบมาดำเนินการ “AND” กับค่าซับเน็ตมาสก์ ผลลัพธ์ที่ได้จากการดำเนินการ “AND” คือแอดเดรสเครือข่ายของไอพีแอดเดรสนั้นๆ AND
ดีฟอลต์ซับเน็ตมาสก์(Default Subnet Mask) ซึ่งคำนวณจากการกำหนดให้บิตในส่วนของ Network ID มีค่าเป็น 1 และกำหนดบิตในส่วนของ Host ID ให้มีค่าเป็น 0