1 / 69

Chap 04

Chap 04. การกำหนด Competency ( มี Workshop ในห้องเรียน). การกำหนด Core Competency. ใครกำหนด Core Competency โดยทั่วไปก็ต้องทุกคนในองค์กร แต่ในความเป็นจริงแล้วจะมาจากผู้บริหารสูงสุดเพียงคนเดียว ถ้าจะให้ดีก็ควรจะมาจากผู้บริหารทุกระดับเข้ามามีส่วนร่วม จำนวน Core Competency

Download Presentation

Chap 04

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. Chap 04 การกำหนด Competency (มี Workshop ในห้องเรียน)

  2. การกำหนด Core Competency • ใครกำหนด Core Competency • โดยทั่วไปก็ต้องทุกคนในองค์กร แต่ในความเป็นจริงแล้วจะมาจากผู้บริหารสูงสุดเพียงคนเดียว ถ้าจะให้ดีก็ควรจะมาจากผู้บริหารทุกระดับเข้ามามีส่วนร่วม • จำนวน Core Competency • ทั่ว ๆ ไปมักจะมีประมาณ 3-5 ตัว เพราะมากเกินไป มันก็ไม่ใช่ Core แล้ว และข้อสำคัญต้องไม่ลืมว่า Core Competency ต้องใช้ได้กับทุกระดับขององค์กร ยกตัวอย่างเช่น เมื่อกำหนดว่า การวางแผนกลยุทธ์ เป็น Core Competency แล้ว พนักงานในระดับปฏิบัติการจะใช้ไม่ได้ เพราะเข้าไม่ได้เกี่ยวข้องกับส่วนนี้

  3. ขั้นตอนการกำหนด Core Competency • จากวิสัยทัศน์/พันธกิจ/กลยุทธ์ (ที่เขียนว่า “จาก” ก็เพราะว่า มันต้องเกิดแล้ว มันต้องมีขึ้นมาแล้ว เพราะถ้ายังไม่มีมันจะกำหนด Core Competency ไม่ได้) • 1) สำรวจความคิดเห็นจากผู้บริหาร • ให้ออกแบบสำรวจเพื่อสอบถามความคิดเห็นของผู้บริหารทุก ๆ หน่วยงานว่า ถ้าจะให้บรรลุ วิสัยทัศน์/พันธกิจ/กลยุทธ์ ที่องค์กรกำหนดไว้แล้วนั้น ผู้บริหารแต่ละคนคิดว่า ควรจะกำหนดเรื่องใดเป็น Core Competency • เมื่อได้รับแบบสำรวจมาแล้ว ให้รวบรวมและสรุปออกมา เป็นตารางแล้วเลือกเอาตัวซ้ำ ๆ กันมากที่สุดออกมา สัก 10 ตัว ดังรูป • จากนั้นส่งไปให้ผู้บริหารลงความเห็นว่า ตัวไหนสำคัญที่สุด 10 ตัว โดยตัวที่สำคัญมากที่สุดให้คะแนน 10 คะแนน ตัวที่สำคัญน้อยที่สุดให้ 1 คะแนน จากนั้นเอาคะแนนมาเฉลี่ยกันเพื่อจัดลำดับความสำคัญ

  4. ตัวอย่าง บริษัท ABC-TWT • Case Study (จากหนังสือ การค้นหาและวิเคราะห์เจาะลึก Competency ภาคปฏิบัติ โดย ปิยะชัย จันทรวงส์ไพศาล หน้า 31) • บริษัท ABC – TWT (ABC-Thai Wooden Toys) จำกัด เป็นบริษัทที่เติบโตมาจากธุรกิจครอบครัว โดยแต่เดิมเป็นบริษัทที่ผลิตและส่งออกเฟอร์นิเจอร์ไม้ยางพาราเป็นหลัก แต่เพิ่งเปลี่ยนแนวธุรกิจมาเป็นผลิตภัณฑ์ของเล่นที่ทำจากไม้ยางพารา เมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา ผู้บริหารปัจจุบันเป็นเครื่อญาติครอบครัวรุ่นที่ 3 แล้ว โดยมีพี่น้องรวม 4 คน ทั้งหมดสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีเป็นอย่างต่ำ บางคนก็สำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศ จึงเป็นตัวแปรหลักที่ทำให้ธุรกิจของครอบครัวเปลี่ยนแปลงไป

  5. พี่ชายคนโต เป็นกรรมการผู้จัดการ คนรองเป็นผู้จัดการโรงงาน คนที่สามจบการศึกษาระดับปริญญาโท MBA จากต่างประเทศ จึงคุมการตลาด และน้องสาวคนเล็กเพิ่งสำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศ สาขาศึกษาจิตวิทยาเด็ก เป็นผู้จัดการฝ่ายวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ พนักงานส่วนใหญ่มีอายุงานโดยเฉลี่ย 7-8 ปี จึงมีความชำนาญสูงมาก โดยเฉพาะผู้จัดการฝ่ายผลิตและหัวหน้างานจะมีอายุโดยเฉลี่ย 10 ปี ขึ้นไป แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงมีปัญหาเรื่องพนักงานรายวัน ที่มีอัตราลาออกสูงอยู่บ้าง

  6. ปัจจุบันบริษัทมียอดขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้นทุกปี ๆ ละประมาณ 8-10% หากคิดเฉพาะยอดขาย บริษัทอยู่ลำดับที่ 12 ของผู้ผลิตและจำหน่ายของเล่นเด็กที่ทำจากไม้ทั้งหมด สัดส่วนตลาดต่างประเทศมีเพียง 25% ตลาดในประเทศ 75% เมื่อ 1-2 ปีที่ผ่านมา บริษัทเพิ่งซื้อเครื่องจักรตัวใหม่ที่ทันสมัยที่สุดจากเยอรมันมาทดแทนเครื่องเดิมที่หมดอายุไป แต่ยังมีความสามารถในการผลิตเหลืออยู่ถึง 40% จึงต้องหางานอื่นมาเสริม นอกจากจะประกอบธุรกิจผลิตของเล่นจากไม้แล้ว ครอบครัวยังมีธุรกิจแปรรูปน้ำยางพาราอีกซึ่งได้กำไรดีมาก เพราะราคาน้ำยางสูงขึ้นในรอบ 3-4 ปีที่ผ่านมา โดยมีสวนยางพาราแถวจังหวัดตราดและจันทบุรีประมาณ 1,190 ไร่ และอีก 880 ไร่ทางภาคใต้ ส่วนโรงงานแปรรูปเฟอร์นิเจอร์จากไม้ยางพาราก็ยังมีอยู่ แต่ผลิตเป็น House’s brand ขายในประเทศเท่านั้น นอกจากนี้ น้องสาวคนเล็กยังเปิดโรงเรียนระดับอนุบาลและเด็กเล็กเป็นหลักสูตร Bilingual School อีกด้วย ด้านสถานะทางการเงินของบริษัทเข้มแข็งมาก มีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนต่ำมาก หนี้สินที่เกิดขึ้นทั้งหมดใช้เพื่อการซื้อเครื่องจักรและขยายโรงงาน

  7. 1 วิสัยทัศน์ • บริษัท ABD-TWT จำกัด มุ่งมั่นจะก้าวหน้าขึ้นเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของเล่นเด็กที่ทำจากไม้ (Wooden Toys) รายใหญ่ใน 5 ลำดับแรกของประเทศ • พันธกิจ • 1 ขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น • 2 เพิ่มการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ • 3 ปรับโครงสร้างองค์กรให้มีความยืดหยุ่น

  8. 2 กลยุทธ์ระดับองค์กร • 2.1 ทำแผน Road Map สินค้าในต่างประเทศ โดยเจาะกลุ่มลูกค้าในสหรัฐอเมริการและยุโรปปีละ 3 ครั้ง • 2.2 ขยายตัวแทนจำหน่ายสินค้าที่สหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นจาก 2 ราย เป็น 5 ราย และยุโรปจาก 1 ราย เป็น 3 ราย • 2.3 รับจ้างผลิตให้ House’s brand ต่างประเทศเพิ่มขึ้น 3 ราย • 2.4 ปรับเปลี่ยนวัตถุดิบให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น แทนที่จะใช้ไม้ยางพาราเพียงอย่างเดียว จะใช้ไม้ชนิดอื่น ๆ ภายในประเทศรวมทั้งไม้นำเข้หรือไม้จากแหล่งที่ลูกค้าต้างการสั่งผลิตตามตัวอย่าง

  9. 2.5 เพิ่มการลงทุนด้านอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ บุคลากรและเครื่องจักร ในการสร้างต้นแบบสำหรับการวิจัยและพัฒนาเป็น 20% ของยอดขาย • 2.6 ลดระดับตำแหน่งจาก 19 ขั้น ให้เหลือเพียง 5 ขั้น • 2.7 นำระบบจัดการคนเก่ง (Talent Management System) มาใช้ในการบริหารทรัพยากรบุคคล • 2.8 นำระบบบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม (ISO 14001) และระบบการบริหารจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย (OHSAS 18001) มาผนวกใช้ร่วมกับระบบคุณภาพ ISO 9001:2000 ที่มีอยู่แล้ว

  10. 3 จุดแข็ง (Strength) • 3.1 ฐานะทางการเงินมีความมั่นคงและเข้มแข็ง • 3.2 มีแหล่งวัตถุดิบที่สำคัญ คือ ไม้ยางพารา เป็นของตนเอง • 3.3 มีเครื่องจักรที่ทันสมัย • 3.4 พนักงานมีความชำนาญในการผลิต • 3.5 มีโรงเรียนอนุบาลเป็นของตนเองเพื่อใช้เป็นสถานที่ทดสอบผลิตภัณฑ์

  11. 4) การมุ่งเน้นตลาด (Market focus) • 4.1 ตลาดส่งออกมีเพียง 25% ส่วนที่เหลืออีก 75% เป็นตลาดในประเทศ • 4.2 นอกจากผลิตของเล่นเด็กจากไม้ยางพาราภายใต้ Brand ของบริษัทเองแล้ว จะรับจ้างผลิตเป็น House’s brand ของลูกค้าต่างประเทศด้วย ซึ่งในขณะนี้มีลูกค้าที่มีศักยภาพอยู่ 1 ราย โดยตลาดของลูกค้ารายนี้จะหลากหลายมาก บางสินค้าถูกนำไปประกอบกับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ก่อนจำหน่าย บางรายการจะเป็นสินค้าสำเร็จรูปขั้นสุดท้าย • 4.3 ตลาดแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 เป็นตลาดระดับเด็กก่อนวัยเรียน อายุระหว่าง 1-3 ขวบ (25%) ส่วนที่ 2 เป็นตลาดระดับเด็กอนุบาล อายุระหว่าง 3-6 ขวบ (60%) และส่วนที่ 3 เป็นตลาดระดับเด็กประถม อายุระหว่าง 6-8 ขวบ (15%)

  12. 5) ความแตกต่างของผลิตภัณฑ์และบริการ (Product differentiated) • ผลิตภัณฑ์ของเด็กเล่นที่ทำจากไม้ของบริษัทจะเลือกใช้ไม้ยางพาราที่มีคุณภาพและทนทาน และของเล่นเด็กทุกรุ่นจะผ่านการทดสอบความเหมาะสมในการเล่นและการเสริมทักษะของเด็กจากนักการศึกษาและนักจิตวิทยาเด็ก ก่อนที่จะผลิตออกจำหน่าย

  13. 6) ความสามารถหลักขององค์กร (Organizational core competency)การวิเคราะห์ความสามารถหลักขององค์กร

  14. ดังนั้น ความสามารถหลักขององค์กร ควรจะเป็นดังนี้ • “ความสามารถหลักของ ABC-TWT คือ การผลิตของเล่นเด็กที่ทำจากไม้เพื่อเสริมสร้างทักษะโดยผ่านการทดสอบความเหมาะสมจากนักการศึกษาและนักจิตวิทยาเด็ก”

  15. หมายเหตุ จะสังเกตเห็นว่า ผู้เขียนไม่ระบุถึงของเล่นเด็กที่ทำจากวัตถุดิบที่เป็นไม้ยางพารา ซึ่งน่าจะเป็นจุดแข็งขององค์กร ทั้งนี้เพราะว่า เมื่อองค์กรตั้งกลยุทธ์เพื่อการส่งออกมากขึ้น การใช้ไม้ยางพาราแต่เพียงอย่างเดียวเพื่อผลิตสินค้าอาจจะไม่เป็นที่ยอมรับของลูกค้าต่างประเทศ ซึ่งอาจสั่งผลิตโดยใช้ไม้นำเข้าจากต่างประเทศที่ประเทศนั้น ๆ รับรอง หรือ เนื้อไม้อื่น ๆ ในกรณีเช่นนี้การใช้ไม้ยางพาราเพียงอย่างเดียวอาจจะเป็นข้อจำกัดในการขยายตลาด ทั้งในและต่างประเทศได้ ดังนั้น จึงหาจุดแข็งอื่น ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องของเด็กเล่นที่ผ่านการทดสอบความเหมาะสมจากนักการศึกษาและนักจิตวิทยาเด็ก

  16. 2) นำเข้าที่ประชุมเพื่ออภิปรายหาข้อสรุป โดยให้ทำการแสดงความคิดเห็น Competency แต่ละตัว ในกรณีนี้บางตัวอาจถูกตัดออกไป บางตัวอาจถูกเพิ่มเข้ามาก็ได้ • ที่ประชุมควรเลือก Competency ให้เหลือ 3-5 ตัวเท่านั้น และต้องได้รับความเห็นชอบอย่างเป็นเอกฉันท์ • เมื่อได้ Competency แล้ว ให้ที่ประชุมร่วมกันกำหนดความหมายและพฤติกรรมที่องค์กรคาดหวังจากบุคลากร ดังตัวอย่าง

  17. เมื่อเรียงตามลำดับจำนวนจากมากไปสู่น้อย 5 ลำดับแรก จะเป็นดังนี้ • การมุ่งเน้นที่เป้าหมาย (Goal orientation) 12 คะแนน • การให้ความสำคัญกับลูกค้า (Customer focus) 12 คะแนน • การทำงานเป็นทีม (Teamwork) 11 คะแนน • การแก้ปัญหา (Problem Solving) 11 คะแนน • การให้บริการที่ดี (Service mind) 10 คะแนน • จะเห็นว่าการให้บริการที่ดีนั้นจะเป็นส่วนเกื้อหนุนกับการให้ความสำคัญลูกค้า คือ การให้ความสำคัญลูกค้าจะครอบคลุมมากกว่า จึงตัดการให้บริการที่ดีออกไป

  18. Competency Weight (Wt) & Expectation (Exp) Weight ระดับความสำคัญของ Competency ต่อระดับตำแหน่ง; 10 = Low , 60 = Medium, 100 = High Expectation ระดับความคาดหวังของ Competency ต่อระดับตำแหน่ง; 1=Low, 3=Meet, 5=High

  19. 3) กำหนดแนวทาง/แผนงานในการนำไปใช้ • เมื่อผู้บริหารร่วมกันกำหนด Core Competency แล้ว ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น ฝ่าย HR ก็ต้องนำ Core Competency นั้นไปดำเนินการดังต่อไปนี้ • สื่อสารให้พนักงานทั้งองค์กรรับทราบและเข้าใจ เห็นถึงความสำคัญของ Core Competency ที่มีต่อองค์กรและตัวพนักงานเอง • กำหนดกลยุทธ์/แผนงาน/โครงการ/กิจกรรม ทั้งระยะสั้นและระยะยาวเพื่อแปลงความหมายของ Core Competency ไปสู่การปฏิบัติและสร้างให้เกิดผลในเชิงพฤติกรรมที่คาดหวังให้เป็นรูปธรรม • ประชาสัมพันธ์ให้บุคคลที่เกี่ยวข้องกับองค์กรได้รับทราบผ่านช่องทางสื่อสารต่าง ๆ ที่มี

  20. สรุป • การกำหนดและจัดทำ Core Competency นี้จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับองค์กรได้ว่า วิสัยทัศน์ ภารกิจ และกลยุทธ์ที่กำหนดไว้จะมีโอกาสสำเร็จมากยิ่งขึ้น เพราะ Core Competency จะกำหนดกรอบแนวทางของพฤติกรรมการแสดงออกของคนในองค์กรให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ดังนั้น องค์กรใดที่ยังไม่ได้กำหนด Core Competency จึงควรกำหนดขึ้นมา องค์กรใดกำหนดขึ้นมาแล้วก็ควรนำไปปฏิบัติให้เกิดผลต่อพฤติกรรมของคนในองค์กรให้มากยิ่งขึ้น

  21. การกำหนด Job Competency • Job Competency หรือ ความสามารถประจำตำแหน่งงาน มีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไปเช่น • ความสามารถในสายงาน (Functional Competency) • ความสามารถทางเทคนิค (Technical Competency) • ความสามารถเฉพาะบทบาทหน้าที่ (Role Specific Competency) • ทักษะความชำนาญประจำตำแหน่ง (Job Skills)

  22. ขั้นตอนในการวิเคราะห์ Job Competency • 1) กำหนดแนวทางในการเก็บข้อมูล • 2) ดำเนินการเก็บข้อมูล • 3) วิเคราะห์ Competency เบื้องต้น • 4) ตรวจสอบความถูกต้อง • 5) สรุป Competency ขั้นสุดท้าย

  23. 1) กำหนดแนวทางในการเก็บรวบรวมข้อมูล • สามารถทำได้หลายวิธี เช่น • ก) การสัมภาษณ์เป็นรายบุคคล (One-by-One interview) • ข้อดี • ผู้ถูกสัมภาษณ์ไม่รู้สึกอึดอัดหรือลำบากใจที่จะพูด • สามารถเจาะลึกรายละเอียดของข้อมูลได้มากขึ้น • ข้อจำกัด • ใช้เวลามาก

  24. ข) การสัมภาษณ์เป็นกลุ่ม (Focus Group) • การสัมภาษณ์เป็นกลุ่มควรอยู่ระหว่าง 5-9 คน เพราะถ้าน้อยเกินไปจะเปิดโอกาสให้ใครบางคนมีอิทธิพลเหนือกลุ่ม แต่ถ้าจำนวนคนมากเกินไป อาจจะทำให้แต่ละคนมีเวลาพูดน้อย ทำให้ได้ข้อมูลไม่เต็มที่ • ข้อดี • ได้ข้อมูลที่เกิดจากความคิดเห็นร่วมของกลุ่มคน ซึ่งอาจหาไม่ได้จากการสัมภาษณ์ทีละคน • ใช้เวลาไม่มาก แต่ได้จำนวนคนมากกว่า

  25. ข้อจำกัด • คนบางคนอาจจะไม่ค่อยกล้าแสดงออกเมื่ออยู่ต่อหน้ากลุ่มคน หรือ อยู่ต่อหน้าคนที่เกรงใจทำให้ไม่กล้าพูด • บางครั้งอาจได้ข้อมูลที่เป็นกลาง ๆ เกินไป เพราะเป็นความคิดเห็นของกลุ่ม จึงเกิดการประนีประนอมระหว่างบุคคลในกลุ่มเอง

  26. ตัวอย่างคำถามรายบุคคลตัวอย่างคำถามรายบุคคล • งานหลักที่คุณรับผิดชอบคืออะไร • คุณคิดว่าอะไรคือความยากหรือความท้าทายของงานในตำแหน่งที่รับผิดชอบ • คุณเคยเจอปัญหาอะไรบ้างจากการทำงานในตำแหน่งนี้ แล้วจัดการอย่างไร • ปัญหาใดที่คุณประสบความสำเร็จในการจัดการ เพราะอะไร • ปัญหาใดที่คุณไม่ค่อยประสบความสำเร็จในการจัดการ เพราะอะไร • คุณคิดว่าคนแบบใดที่จะทำงานในตำแหน่งนี้ได้ดี เพราะอะไร • คุณคิดว่าคนแบบใดที่ไม่น่าจะประสบความสำเร็จในตำแหน่งนี้ เพราะอะไร • ความรู้ ทักษะ และพฤติกรรมอะไรบ้างที่คนประสบความสำเร็จในตำแหน่งนี้ ควรจะมี เพราะอะไร • ฯลฯ

  27. ตัวอย่างคำถามในการทำ Focus Group • ท่านคิดว่าความรับผิดชอบหลักของตำแหน่ง…….คืออะไร? • ท่านคิดว่าคนที่ดำรงตำแหน่ง…… ควรจะมีทักษะ หรือความรู้อะไรบ้าง? เหตุผล? • ข้อให้ยกตัวอย่างความสำเร็จในการแก้ปัญหาของผุ้ดำรงตำแหน่งนี้ ในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา และทำไมท่านจึงคิดว่าเขาประสบความสำเร็จในกาแก้ไขปัญหาดังกล่าว • มีปัญหาอะไรบ้างที่เกิดกับตำแหน่ง ……. แล้วผู้ดำรงตำแหน่งไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้สำเร็จ เพราะอะไร? • อะไรคือความแตกต่างระหว่างคนที่ประสบความสำเร็จและไม่ประสบความสำเร็จในการดำรงตำแหน่ง ………. ? • ผู้ดำรงตำแหน่ง …….. ต้องติดต่อกับหน่วยงานไหนบ้าง อะไรคือปัจจัยสู่ความสำเร็จในการติดต่อระหว่างหน่วยงาน ? • ฯลฯ

  28. เทคนิคการตั้งคำถาม • ควรจะเตรียมคำถามไว้ล่วงหน้าว่า จะถามอะไรบ้าง ควรจะถามคำถามไหนก่อนหลัง แต่ละคำถามควรจะใช้เวลาประมาณเท่าไหร่ • ควรถามทั้งคำถามปลายเปิดและคำถามปลายปิด • คำถามปลายเปิด (Opened-Ended Question) เป็นการถามเพื่อให้ผู้ถูกสัมภาษณ์ได้อธิบายรายละเอียดต่าง ๆ ที่เราต้องการ เช่น ขอให้เล่าถึงงานที่รับผิดชอบให้ฟังหน่อย • คำถามปลายปิด (Closed-Ended Question) เป็นการถามเพื่อต้องการให้มั่นใจว่าสิ่งที่เราเข้าใจนั้นถูกต้องหรือไม่ เช่น ตำแหน่งงานนี้ต้องประสานงานเก่งใช่หรือไม่ • ถ้าเราจะถามเรื่องหรือเหตุการณ์ในอดีต จะต้องถามให้ครอบคลุมประเด็นดังต่อไปนี้ • ทำอะไร (What) ทำอย่างไร (How) ผลออกมาเป็นอย่างไร (Results) • เช่น คุณเคยเจอปัญหาในการบริหารคนอะไรบ้าง …(ฟังคำตอบ)... คุณจัดการอย่างไร …(ฟังคำตอบ)… ได้ผลอย่างไร …. (ฟังคำตอบ)….

  29. 2) ดำเนินการเก็บข้อมูล • การจดบันทึก เป็นวิธีการที่สะดวก แต่อาจไม่สมบูรณ์ ถ้าผู้จดบันทึกจดไม่ละเอียด • การบันทึกเทป จะทำให้ผู้เก็บข้อมูลเกิดความสะดวกขึ้น เพราะไม่ต้องพะวงกับการจดบันทึก ไม่ขัดจังหวะในการสัมภาษณ์ แต่อาจจะทำให้ผู้ถูกสัมภาษณ์กังวลและแสดงความคิดเห็นได้ไม่เต็มที่

  30. สังเกตการปฏิบัติงานจริงสังเกตการปฏิบัติงานจริง • เพื่อให้มั่นใจได้ว่า ข้อมูลที่เราได้จากการสัมภาษณ์นั้นมีความถูกต้องน่าเชื่อถือ ผู้สัมภาษณ์จึงควรเข้าไปสังเกตการปฏิบัติงานจริงของผู้ถูกสัมภาษณ์ • การสังเกตควรจะทำต่อเนื่องทันทีหลังจากสัมภาษณ์ เพื่อไม่ให้ผู้ถูกสัมภาษณ์รู้สึกว่า มีคนแปลกหน้าเข้ามานั่งสังเกตพฤติกรรมการทำงานของเขา เราอาจจะบอกเขาว่า ขอที่นั่งทำงานเพื่อสรุปข้อมูลบางอย่างจากการสัมภาษณ์ก็ได้ • การสังเกตพฤติกรรมการปฏิบัติงานจริงเป็นเพียงแนวทางหนึ่งที่จะช่วยสนับสนุนให้ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์มีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้นเท่านั้น

  31. ตัวอย่างการเก็บข้อมูลตัวอย่างการเก็บข้อมูล • ตำแหน่ง :ผู้จัดการฝ่ายบริหารทรัพยากรมนุษย์ • วันที่ : 28 มิถุนายน 2551 • เวลา : 13:00 – 15:300 น. • สัมภาษณ์โดย : เอกวิทย์ บ้านอยู่ใกล้คลอง • ผู้ให้สัมภาษณ์ :สมชาย บ้านอยู่ริมฝั่ง • เนื้อหาเป็นดังหน้าถัดไป

  32. ผมรับผิดชอบงานทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ “คน” ทุกวันต้องเจอและแก้ปัญหาเกี่ยวกับคน ต้องให้คำปรึกษาหน่วยงานต่าง ๆ ในเรื่องของคน งานในตำแหน่งนี้ทะเลาะกับใครไม่ได้เลย เพราะเราต้องติดต่อกับคนทุกระดับทุกหน่วยงาน ทั้งในแง่ของการให้คำปรึกษา ขอความร่วมมือในการทำกิจกรรมต่าง ๆ บางครั้งเราต้องอาศัยความสัมพันธ์ส่วนบุคคลเข้าช่วย ถึงจะสามารถคลี่คลายปัญหาบางอย่างลงได้ • สำหรับงานอีกด้านหนึ่งที่ผมต้องรับผิดชอบคือ ต้องแสวงหาแนวทางต่าง ๆ ในการพัฒนาคน เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ต้องกำหนดกลยุทธ์ในการพัฒนาคนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว • ปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ คือ การรองรับอารมณ์ของคนรอบด้าน ทั้งเจ้านาย เพื่อนร่วมงาน และพนักงาน เราต้องทำงานอยู่ตรงกลาง คอยประสานผลประโยชน์ให้กับคนทุกกลุ่ม จะเอนเอียงไปด้านใดด้านหนึ่งมากไม่ได้

  33. 3) วิเคราะห์ Competency เบื้องต้น • เมื่อเก็บรวบรวมข้อมูลเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้นำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อหา Competency เบื้องต้น โดยวิธีการวิเคราะห์เพื่อแลงข้อมูลให้เป็น Competency นั้น สามารถทำได้ 2 แบบ ดังนี้ • แบบที่ 1 • แทรก Competency ลงในข้อมูล (ข้อมูลก่อนการวิเคราะห์) • แบบที่ 2 • กำหนด Competencies ก่อนแล้วหาข้อมูลสนับสนุน (ข้อมูลก่อนการวิเคราะห์) • ดูจากตัวอย่างที่แจกให้ในห้องเรียน

  34. แบบที่ 1 • ผมรับผิดชอบงานทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ “คน” ทุกวันต้องเจอและแก้ปัญหาเกี่ยวกับคน ต้องให้คำปรึกษาหน่วยงานต่าง ๆ ในเรื่องของคน (_______________) งานในตำแหน่งนี้ทะเลาะกับใครไม่ได้เลย เพราะเราต้องติดต่อกับคนทุกระดับทุกหน่วยงาน ทั้งในแง่ของการให้คำปรึกษา ขอความร่วมมือในการทำกิจกรรมต่าง ๆ (________________) บางครั้งเราต้องอาศัยความสัมพันธ์ส่วนบุคคลเข้าช่วยถึงจะสามารถคลี่คลายปัญหาบางอย่างลงได้ (__________________) • สำหรับงานอีกด้านหนึ่งที่ผมต้องรับผิดชอบคือ ต้องแสวงหาแนวทางต่าง ๆ ในการพัฒนาคน เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ต้องกำหนดกลยุทธ์ในการพัฒนาคนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว (____________________) • ปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ คือ การรองรับอารมณ์ของคนรอบด้าน ทั้งเจ้านาย เพื่อนร่วมงาน และพนักงาน (__________________) เราต้องทำงานอยู่ตรงกลาง คอยประสานผลประโยชน์ให้กับคนทุกกลุ่ม จะเอนเอียงไปด้านใดด้านหนึ่งมากไม่ได้ (__________________)

  35. เขียน Competency ใส่ลงไป • ผมรับผิดชอบงานทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ “คน” ทุกวันต้องเจอและแก้ปัญหาเกี่ยวกับคน ต้องให้คำปรึกษาหน่วยงานต่าง ๆ ในเรื่องของคน (การให้คำปรึกษา) งานในตำแหน่งนี้ทะเลาะกับใครไม่ได้เลย เพราะเราต้องติดต่อกับคนทุกระดับทุกหน่วยงาน ทั้งในแง่ของการให้คำปรึกษา ขอความร่วมมือในการทำกิจกรรมต่าง ๆ(การประสานงาน) บางครั้งเราต้องอาศัยความสัมพันธ์ส่วนบุคคลเข้าช่วยถึงจะสามารถคลี่คลายปัญหาบางอย่างลงได้ (มนุษยสัมพันธ์) • สำหับงานอีกด้านหนึ่งที่ผมต้องรับผิดชอบคือ ต้องแสวงหาแนวทางต่าง ๆ ในการพัฒนาคน เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ต้องกำหนดกลยุทธ์ในการพัฒนาคนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว (การวางแผนกลยุทธ์) • ปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ คือ การรองรับอารมณ์ของคนรอบด้าน ทั้งเจ้านาย เพื่อนร่วมงาน และพนักงาน (การควบคุมอารมณ์) เราต้องทำงานอยู่ตรงกลาง คอยประสานผลประโยชน์ให้กับคนทุกกลุ่ม จะเอนเอียงไปด้านใดด้านหนึ่งมากไม่ได้ (การประนีประนอม)

  36. สรุป Competency ที่ได้ • 1) การให้คำปรึกษา • 2) การประสานงาน • 3) มนุษยสัมพันธ์ • 4) การวางแผนกลยุทธ์ • 5) การควบคุมอารมณ์ • 6) การประนีประนอม

  37. แบบที่ 2

  38. จากนั้นกรอกข้อมูลสนับสนุนลงไปจากนั้นกรอกข้อมูลสนับสนุนลงไป

  39. จากนั้นเขียนออกมาให้เป็นเอกสาร เช่น • ตัวอย่างการเขียน Competency Model • ตำแหน่งงาน :ผู้จัดการฝ่ายบริหารทรัพยากรมนุษย์ • 1) การให้คำปรึกษา (Counseling) • ผู้จัดการ HR ที่ประสบความสำเร็จเป็นคนที่พนักงานทุกระดับทั้งองค์กรสามารถเดินเข้ามาหาเพื่อขอคำปรึกษาในทุกเรื่องได้ เป็นนักฟังที่ดี เข้าใจและมีจิตวิทยาในการฟัง พูด และให้คำแนะนำผู้อื่น ให้เขาสามารถแก้ไขปัญหาด้วยตัวเของเขาเอง • 2) การประสานงาน (Coordinating) • ผู้จัดการ HR ที่ประสบความสำเร็จจะต้องสามารถประสานงานในเรื่องต่าง ๆ กับบุคคลทั้งภายในและภายนอกองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ในการประสานงาน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการและได้รับความร่วมมือจากทุกหน่วยงานเป็นอย่างดี

  40. 3) มนุษยสัมพันธ์ (Human Relationship) • ผู้จัดการ HR ที่ประสบความสำเร็จจะต้องมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลทุกประเภท ทุกระดับในองค์กร รวมทั้งบุคคลภายนอกอีกด้วย สามารถริเริ่มการสร้างความคุ้นเคย พัฒนาและรักษาระดับความสัมพันธ์ส่วนบุคคลได้อย่างต่อเนื่อง • 4) การวางแผนกลยุทธ์ (Strategic Planning) • ผู้จัดการ HR ที่ประสบความสำเร็จจะต้องสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ทั้งภายในและภายนอกได้ กำหนดทางเลือกในการบริหารงานบุคคลให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ขององค์กรทั้งระยะสั้นและระยะยาวได้

  41. 5) การควบคุมอารมณ์ (Emotional Control) • ผู้จัดการ HR ที่ประสบความสำเร็จจะต้องสามารถควบคุมอารมณ์ได้ในทุกสถานการณ์ และต้องมีความอดทนอดกลั้นต่อการยั่วยุของบุคคลต่าง ๆ ได้ดี และต้องรักษาความเป็นกลางด้วยการมีสติอยู้ตลอดเวลา ไม่เอนเอียงไปด้านใดด้านหนึ่งเพราะอารมณ์ในขณะนั้น ต้องตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลข้อเท็จจริง • 6) การประนีประนอม (Compromising) • ผู้จัดการ HR ที่ประสบความสำเร็จต้องสามารถประสานผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มในองค์กรได้ โดยต้องเข้าใจวัตถุประสงค์ ข้อจำกัด และจุดยืนของแต่ละกลุ่ม แล้วนำมาคิดหารเทคนิค วิธีการที่จะช่วยให้คนทุกกลุ่มเป็นผู้ชนะ (Win-Win Approach) หรือ หาข้อสรุปในลักษณะที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับได้ (Compromised Approach)

  42. นอกจากนั้นเราอาจเห็นว่า ผู้จัดการ HR ในปัจจุบันย่อมต้องมีความรู้เกี่ยวกับ HR การใช้คอมพิวเตอร์ ความรู้เกี่ยวกับธุรกิจ การใช้ภาษาอังกฤษ เราก็สามารถใส่เพิ่มเข้าไปได้ เช่น • 7) ความรู้เกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรมนุษย์ (HR Knowledge) • ผู้จัดการ HR ที่ประสบความสำเร็จจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในทุก ๆ ด้าน ทั้งด้านการวางแผนกำลังคน การสรรหาว่าจ้าง การบริหารผลตอบแทน การพัฒนาฝึกอบรม การบริหารระบบพนักงานสัมพันธ์ รวมถึงต้องมีความรู้ด้านกฏหมายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารบุคลากร

  43. 8) ความรู้เกี่ยวกับธุรกิจ (Business Knowledge) • ผู้จัดการ HR ที่ประสบความสำเร็จจำเป็นต้องเข้าใจลักษณะของการดำเนินธุรกิจ ตัวสินค้าและบริการ รวมถึงการเข้าใจการจัดโครงสร้างการบริหารของหน่วยงานต่าง ๆ ภายในองค์กร และต้องสามารถสร้างระบบในการติดตามความเคลื่อนไหวของส่วนต่าง ๆ ขององค์กรได้ตลอดเวลา • 9) ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ (Computer Literacy) • ผู้จัดการ HR ที่ประสบความสำเร็จต้องสามารถใช้คอมพิวเตอร์เพื่อจัดการทำรายงาน นำเสนอและติดต่อสื่อสารทั้งภายในและภายนอกองค์กรได้เป็นอย่างดี

  44. 10) ทักษะด้านภาษาอังกฤษ (English Skills) • ผู้จัดการ HR ที่ประสบความสำเร็จต้องสามารถ ฟัง พูด อ่าน เขียนภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดี เพื่อให้สามารถติดต่อ ค้นคว้าหาข้อมูล การร่วมประชุม การสัมมนา ที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างมีประสิทธิภาพ

More Related