250 likes | 386 Views
ถั่วอินคา ( Sacha I nchi ). คุณสมบัติน้ำมันถั่วอินคา. souce : http://www.inkanatural.com/en/sachainchi/sacha_inchi_oil.html. น้ำมันพืชชนิดต่างๆ. Source: HAZEN & STOEWSAND, 1980 - DUCLOS, 1980 . ถั่วอินคา (Plukenetia Volúbilis Linneo).
E N D
คุณสมบัติน้ำมันถั่วอินคาคุณสมบัติน้ำมันถั่วอินคา souce: http://www.inkanatural.com/en/sachainchi/sacha_inchi_oil.html
น้ำมันพืชชนิดต่างๆ Source: HAZEN & STOEWSAND, 1980 - DUCLOS, 1980
ถั่วอินคา (Plukenetia Volúbilis Linneo) • ถั่วอินคา เป็นพืชท้องถิ่นแถบประเทศเปรู เขตลุ่มน้ำอเมซอน มาหลายพันปี • การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันแสดงให้เห็นว่า น้ำมันถั่วอินคา เป็นน้ำมันที่ดีที่สุด • ด้วยคุณลักษณะที่มีปริมาณและคุณภาพทางโภชนาการสูง • มีความเหมาะสมต่อการบริโภคเพื่อสุขภาพ
ประโยชน์ของโอเมกา 3 ต่อสุขภาพ • ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน ร่างกาย และระบบหมุนเวียนโลหิต
โอเมกา 3 ต่อหัวใจ • ป้องกันหัวใจเต้นผิดปกติป้องกัน และลดความเสี่ยงของอาการหัวใจวายและปัญหาโรคหัวใจและหลอดเลือด • ควบคุมระดับคอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ • รักษาความยืดหยุ่นของผนังหลอดเลือด, รักษาความคงที่ของจังหวะการเต้นของหัวใจและช่วยในการควบคุมความดันโลหิต.
คอเลสเตอรอล/เลือด/หลอดเลือดแดงคอเลสเตอรอล/เลือด/หลอดเลือดแดง • ป้องกันการแข็งตัวของเลือดโดยการคงสภาพไขมันอิ่มตัวให้เคลื่อนที่ในกระแสเลือดซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจ • ช่วยเพิ่ม HDL แก่ร่างกาย (คอเลสเตอรอลที่ดี) และลดอันตรายจากไตรกลีเซอไรด์ • ลดปริมาณเกล็ดเลือดและป้องกันการแข็งตัวของเลือดมากเกินไป • ยับยั้งความหนาของหลอดเลือดแดงโดยการลดการผลิตเซลล์บุผนังหลอดเลือด ของปัจจัยการเจริญเติบโตของเกล็ดเลือดที่ได้มาจาก ผนังด้านในของหลอดเลือดแดงที่ประกอบด้วยเซลล์เยื่อบุผนังหลอดเลือด • เพิ่มกิจกรรมของสารเคมีอื่นที่ได้มาจากเซลล์เยื่อบุผนังหลอดเลือด (endothelium ที่ได้มาจากไนตริกออกไซด์) ซึ่งเป็นสาเหตุของหลอดเลือดแดงที่จะผ่อนคลายและขยาย • ลดการผลิตสารเคมีที่เรียกว่าสารไซโตไคน์ซึ่งมีส่วนร่วมในการตอบสนองการอักเสบที่เกี่ยวข้องกับหลอดเลือด. • ลดปริมาณของไขมันเช่นคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ ที่ไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือด
ด้านสมอง • บำรุงสมองและทั้งยังเพิ่มความสามารถในการทำงานของสมอง • ปรับปรุงระบบสมอง เช่น ความจำ • ปรับปรุงการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง. • ส่งเสริมสุขภาพจิตและความมั่นคงทางอารมณ์
ระบบย่อยอาหาร • เพิ่มกระบวนการเผาผลาญของร่างกาย และ ลดอาการท้องผูก
ไต • ช่วยรักษาการทำงานของไตและของเหลวในไตให้เป็นปกติ
กระดูกและเนื้อเยื่อเกี่ยวพันกระดูกและเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน • ช่วยลดการสูญเสีย มวลกระดูก ช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียม ของกระดูกและช่วยรักษาความหนาแน่นของกระดูก
ต้อหิน • ควบคุมความดันในดวงตาและความดันเลือดในดวงตา และการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน.
การอักเสบ • ป้องกันไม่ให้เกิดการอักเสบของปอดที่เกิดจากหมอกควันและยาสูบ • ช่วยลดอาการของโรคอักเสบต่างๆเช่น Crohnของโรคลำไส้อักเสบ, โรคข้ออักเสบรูมาติก, ลำไส้ใหญ่อักเสบเป็นแผล, หอบหืด, โรคปอดบวมไวรัสและแบคทีเรียในหมู่คนอื่น ๆ • ช่วยการเสื่อมของเซลล์ปอด • ขัดขวางการก่อตัวของไขมันในตับและ จำกัดการผลิตสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบ
การตั้งครรภ์ ทารก และเด็ก • ช่วยลดความเสี่ยงของอัตราความดันโลหิตสูงที่เชื่อมโยงกับการตั้งครรภ์ • จำเป็นสำหรับการพัฒนาระบบประสาทของทารกในครรภ์ • จำเป็นสำหรับการพัฒนาของเนื้อเยื่อประสาทของทารกในครรภ์ในช่วงสามเดือน • จะช่วยเพิ่มการพัฒนาจิตประสาทของทารกแรกเกิดและน้ำหนักไม่ให้ต่ำกว่าเกณฑ์ • ช่วยเพิ่มการเจริญเติบโตของเด็ก และการพัฒนาระบบประสาทและ ระบบการมองเห็น • ทำให้เกิดผลในเชิงบวกในการพัฒนาจิต อารมณ์
ผลด้านต่อต้านมะเร็ง • ลดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งในมนุษย์ • ก่อให้เกิดการฟื้นตัวของระบบภูมิคุ้มกันในรูปแบบที่แตกต่างกันของโรคมะเร็ง. • ลดปริมาณและระยะเวลาของการรักษาด้วยเคมีบำบัด.
ข้อดีของน้ำมันถั่วอินคาเมื่อเทียบกับน้ำมันปลาข้อดีของน้ำมันถั่วอินคาเมื่อเทียบกับน้ำมันปลา • ย่อยง่ายกว่าน้ำมันปลา • รสชาติและกลิ่นดีกว่าน้ำมันปลา • ไม่ก่อให้เกิดกรด และความระคายเคือง • ไม่ก่อให้เกิดก๊าซในลำไส้เช่นน้ำมันปลา • มีสัดส่วนของกรดไขมันที่จำเป็น (84.41%) • มีสัดส่วนที่สูงของกรดไขมันไม่อิ่มตัว (93.69%) น้ำมันปลามีความยาวน้อยไม่อิ่มตัว (65%) • มีปริมาณไขมันอิ่มตัว (6.39%) ในขณะที่น้ำมันปลามีสูงปริมาณไขมันอิ่มตัว (40%)
ข้อดีของน้ำมันถั่วอินคาเมื่อเทียบกับน้ำมันปลา(ต่อ)ข้อดีของน้ำมันถั่วอินคาเมื่อเทียบกับน้ำมันปลา(ต่อ) • เหมาะสมกับกระบวนการเผาผลาญในร่างกายมนุษย์มากกว่าน้ำมันปลา • มีหน้าที่ทางสรีรวิทยามากขึ้นในร่างกายมนุษย์ กว่าน้ำมันปลา • น้ำมันถั่วอินคาได้มาจากกระบวนการสกัดเย็น แต่น้ำปลาสกัดด้วยอุณหภูมิสูง ตัวทำละลายและสารเคมี • มีสารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติที่สำคัญเช่นอัลฟาโทโคฟีรอ วิตามินอี, วิตามินซี คาโรทีนอยด์ • ผลิตภัณฑ์น้ำมันปลาสัมผัสกับการปนเปื้อนในน้ำทะเล: ก๊าซปรอท เบนโซไพรีน และสารปนเปื้อนอื่น ๆ • น้ำมันถั่วอินคาไม่มี คอเลสตอรอล
ข้อบ่งใช้ • สามารถนำมากับสลัด ต้มพาสต้า สามารถใช้ผสมเครื่องปรุงอาหาร เช่นเดียวกับน้ำมันมะกอก • รับประทาน วันละ 1 ช้อนโต๊ะต่อวัน • สามารถเก็บได้ใน 1 ปี
กรดไขมันโอเมก้า 6 ความสำคัญที่ถูกมองข้าม • กรดไขมันโอเมก้า 6 ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก ทั้งที่จริงๆ แล้วกรดไขมันโอเมก้า 6 คือตัวถ่วงสมดุลของกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งร่างกายเราจะใช้ประโยชน์ทั้ง 2 ชนิด • กรดไขมันโอเมก้า 6 คือ กรดไขมันไลโนเลอิก (Linoleic acid : LA)และกรดไขมันอะราคิโดนิก(Arachidonic acid : ARA) • ร่างกายเราจะใช้ประโยชน์ของกลุ่มกรดโอเมก้า 3 กับโอเมก้า 6 คล้ายคลึงกัน คือ กรดไขมันโอเมก้า 3 จะสร้างไอโคซานอยด์ ทำให้เลือดไหล ยับยั้งการอักเสบ แต่กลุ่มของกรดไขมันโอเมก้า 6 จะทำให้ เลือดแข็งตัว ซึ่งจะทำงานตรงข้ามและถ่วงดุลกัน • กรดไขมันโอเมก้า 6 พบได้ในน้ำมันพืช ถั่วชนิดต่างๆ ในปลาเพียงเล็กน้อย รวมทั้งอาหารทั่วไป ทั้งนี้ ในความเป็นจริงแล้วคนเราต้องกินทั้ง 2 กลุ่มกรดไขมันให้สมดุลกัน ซึ่งร่างกายเราต้องการกรดไขมันโอเมก้า 6 มากกว่ากรดไขมันโอเมก้า 3 ประมาณ 3 : 1 จนถึง 5 : 1 • ดังนั้น แท้จริงแล้วร่างกายมีความต้องการทั้งกรดไขมันโอเมก้า 3 และกรดไขมันโอเมก้า 6 การโฆษณาความสำคัญของกรดไขมันโอเมก้า ๓ มากนั้น อาจทำให้ผู้บริโภคลืมความสำคัญของกรดไขมันโอเมก้า 6 ด้วย
โอเมก้า3 • โอเมก้า 3 เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่มีพันธะหลายตำแหน่ง กรดไขมันโอเมก้า 3 มีอยู่ 3 ชนิดที่สำคัญคือ • 1. กรดไขมันแอลฟาไลโนเลนิก (Alpha linolenic acid : ALA) • 2. กรดไขมันอีพีเอ (Eicosapentaenic acid : EPA) • 3. กรดไขมันดีเอชเอ (Docosahexaenoic acid : DHA) ซึ่งเป็นตัวที่ได้ยินค่อนข้างบ่อยในโฆษณา เพราะเป็นตัวหนึ่งที่ผู้ประกอบการนิยมเติมลงไปในผลิตภัณฑ์ • กรดไขมันแอลฟาไลโนเลนิก : ALAเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่มีพันธะคู่หลายตำแหน่ง โดยมีความสำคัญต่อร่างกายคือ เป็นกรดไขมันที่ร่างกายเราไม่สามารถสร้างเองได้ ต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น • กรดไขมันแอลฟาไลโนเลนิก : ALAเป็นกรดไขมันต้นตอที่ร่างกายนำไปสร้างเป็นกรดไขมันอีพีเอ : EPAและกรดไขมันดีเอชเอ : DHAได้ หากเรากินอาหารที่ไม่มีกรดไขมันแอลฟาไลโนเลนิก : ALAเลย เราอาจจะขาดกรดไขมันโอเมก้า 3 ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วกรดไขมันโอเมก้า 3 มีอยู่ในอาหารหลายชนิดด้วยกัน http://www.tigerdragon.in.th/?p=1336