1 / 46

บทที่ 2

บทที่ 2. ระบบย่อยของ ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ. โครงสร้างองค์กร. โครงสร้างองค์กรตามหน้าที่การทำงาน ( Functional structure). โครงสร้างองค์กร. โครงสร้างตามฝ่าย ( Division structure) โครงสร้างองค์กรที่จัดตามฝ่ายที่เน้นกลุ่มสินค้า. โครงสร้างองค์กร. โครงสร้างตามฝ่าย ( Division structure)

Download Presentation

บทที่ 2

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. บทที่ 2 ระบบย่อยของ ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ

  2. โครงสร้างองค์กร โครงสร้างองค์กรตามหน้าที่การทำงาน (Functional structure)

  3. โครงสร้างองค์กร โครงสร้างตามฝ่าย (Division structure) โครงสร้างองค์กรที่จัดตามฝ่ายที่เน้นกลุ่มสินค้า

  4. โครงสร้างองค์กร โครงสร้างตามฝ่าย (Division structure) โครงสร้างตามฝ่ายที่เน้นพื้นที่การขาย

  5. โครงสร้างองค์กร โครงสร้างตามโครงการ (Project structure)

  6. โครงสร้างองค์กร โครงสร้างองค์กรแบบเมทริกซ์ (Matrix structure)

  7. ระบบย่อยของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการระบบย่อยของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ แบ่งออกเป็น 4 ระบบ • ระบบปฏิบัติการทางธุรกิจ (transaction processing system) • ระบบจัดทำรายงานสำหรับการจัดการ (management reporting system) • ระบบสารสนเทศสำนักงาน (office information system :OIS) • ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (decision supporting system)

  8. ระบบย่อยของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการระบบย่อยของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ ระบบสารสนเทศที่เกี่ยวกับการดำเนินงานภายในองค์การ สนับสนุนการดำเนินงานในแต่ละวันขององค์การให้เรียบร้อย ระบบที่รวบรวม ประมวลผล และจัดทำรายงานหรือเอกสารสำหรับใช้ในการบริหาร ระบบที่จัดเตรียมข้อมูลสำหรับผู้บริหารเพื่อช่วยในการตัดสินใจ ระบบที่ช่วยในการทำงานในสำนักงานให้มีประสิทธิภาพ OIS จะประกอบด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ และเทคโนโลยีเครื่องใช้สำนักงาน

  9. 1.ระบบปฏิบัติการทางธุรกิจ(transaction processing system:TPS) • ระบบสารสนเทศที่ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้นเพื่อให้ทำงานเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานภายในองค์การ • ใช้เครื่องมือทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์เข้ามาเป็นอุปกรณ์หลัก • สนับสนุนการดำเนินงานในแต่ละวันขององค์กร

  10. TPS มีหน้าที่หลักอยู่ 3 ประการ • การทำบัญชี (bookkeeping)ทำหน้าที่ในการเก็บบันทึกการปฏิบัติงานหรือเหตุการณ์ทางการบัญชีที่เกิดขึ้นในแต่ละวันขององค์การ โดยการปฎิบัติงานที่เกิดขึ้นมักจะเกี่ยวข้องกับบุคคล 2 กลุ่มคือ ลูกค้า และ ผู้ขายวัตถุดิบ • การออกเอกสาร (document issuance)ทำหน้าที่เกี่ยวกับการออกเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานในแต่ละวันขององค์การ

  11. TPS 3. การทำรายงานควบคุม (control reporting)ทำหน้าที่เกี่ยวกับการออกเอกสารต่างๆ ที่มีผลมาจากการดำเนินงานขององค์การ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบและควบคุมการดำเนินงานขององค์การ

  12. TPS

  13. ประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศต่องานทางธุรกิจประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศต่องานทางธุรกิจ • ความผิดพลาดที่เกิดจากความสะเพร่าโดยทั่วไปการดำเนินงานโดยใช้แรงงานมนุษย์อาจเกิดการผิดพลาดได้ง่าย • ใช้แรงงานมาก การบันทึกลงในระบบข้อมูลหลายประเภท อาจทำให้เกิดการทำงานที่ซ้ำๆ กัน • การสูญหายของข้อมูล อาจเกิดจากการเก็บแฟ้มเอกสารผิดพลาด ทำให้ไม่สามารถค้นหาข้อมูลได้เมื่อผู้ใช้เกิดความต้องการ • การตอบสนองที่ล่าช้า การทำงานโดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์สนับสนุนทำให้การตอบสนองต่อสถานการณ์รวดเร็ว ตลอดจนช่วยให้การพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือการให้บริการมีประสิทธิภาพสูงขึ้น

  14. วงจรการทำงานของระบบปฏิบัติงานทางธุรกิจวงจรการทำงานของระบบปฏิบัติงานทางธุรกิจ • การป้อนข้อมูล (data entry)ซึ่งเป็นส่วนแรกหรือจุดเริ่มต้นของวงจรการปฏิบัติงานทางธุรกิจโดยข้อมูลส่วนมากจะเป็นข้อมูลที่ได้มาจากเอกสารที่เกิดจากการดำเนินงานของธุรกิจในแต่ละวัน เช่นใบสั่งซื้อสินค้า ใบส่งสินค้า เป็นต้น • การประมวลผลหรือการปฏิบัติงานกับข้อมูล (transaction processing)ซึ่งทำหลังจากป้อนข้อมูลเสร็จซึ่งมี 2 แบบ - batch processing เป็นการรวบรวมข้อมูลไว้ระยะหนึ่ง เพื่อรอให้มีปริมาณข้อมูลเพียงพอแล้วจึงทำการประมวลผล เพื่อให้ได้สารสนเทศสำหรับการใช้งานการประมวลผลแบบครั้งต่อครั้ง

  15. วงจรการทำงานของระบบปฏิบัติงานทางธุรกิจวงจรการทำงานของระบบปฏิบัติงานทางธุรกิจ - real time processing เป็นการประมวลผลที่เกิดขึ้นทันทีที่ข้อมูลถูกป้อนเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ จะเป็นสารสนเทศที่เป็นไปตามสถานการณ์ การประมวลผลแบบนี้เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องตอบสนองกับสิ่งแวดล้อมอย่างรวดเร็ว 3) การปรับปรุงฐานข้อมูล(file/database updating) ผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผล จะถูกนำไปปรับปรุงและจัดเก็บอย่างเป็นระบบในฐานข้อมูล การปรับปรุงจะทำเป็นระยะ เช่น รายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือน

  16. 4) การผลิตรายงานและเอกสาร (document and report generation) - เอกสารที่เกี่ยวกับสารสนเทศ (information document) เป็นเอกสารแสดงให้เห็นรายละเอียดของการทำงานในแต่ละกระบวนการที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน เช่น ใบเสร็จรับเงิน ใบรายงานการสั่งซื้อสินค้า - เอกสารการปฏิบัติการ (action document) เป็นเอกสารที่ก่อให้เกิดการปฏิบัติงานของผู้รับเอกสาร เช่น ใบสั่งซื้อสินค้า - เอกสารหมุนเวียน (circulating document) เป็นเอกสารที่ถูกส่งออกไปแล้วจะมีการหมุนเวียนไปยังผู้เกี่ยวข้องต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกองค์การ เช่น ใบเรียกเก็บเงินลูกค้า

  17. 5) การให้บริการสอบถาม (inquiring processing)เช่นลูกค้าต้องการอยากทราบถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจก็จะทำการสอบถาม เช่น ยอดบัญชีค้างชำระ หรือยอดเงินฝากในบัญชีธนาคาร

  18. วงจรการทำงานของระบบปฏิบัติงานทางธุรกิจวงจรการทำงานของระบบปฏิบัติงานทางธุรกิจ

  19. ระบบย่อยของระบบปฏิบัติการทางธุรกิจระบบย่อยของระบบปฏิบัติการทางธุรกิจ • ระบบจ่ายเงินเดือน (Payroll Processing System) • ระบบบันทึกคำสั่งซื้อ (Order Entry System) • ระบบสินค้าคงคลัง (Inventory System) • ระบบใบกำกับสินค้า (Invoicing System) • ระบบส่งสินค้า (Shipping System)

  20. ระบบย่อยของระบบปฏิบัติการทางธุรกิจระบบย่อยของระบบปฏิบัติการทางธุรกิจ 6. ระบบบัญชีลูกหนี้ (Accounts Receivable System) 7. ระบบสั่งซื้อสินค้า (Purchasing System) 8. ระบบรับสินค้า (Receiving System) 9. ระบบบัญชีเจ้าหนี้ (Account Payable) 10.ระบบบัญชีแยกประเภททั่วไป (General Ledger System)

  21. ระบบย่อยของระบบปฏิบัติการทางธุรกิจระบบย่อยของระบบปฏิบัติการทางธุรกิจ 1 ระบบจ่ายเงินเดือน (Payroll Processing System) ควบคุมการจ่ายเงินเดือน การคำนวณหักภาษี ณ ที่จ่าย ซึ่งแต่ละที่จะมีการบริหารจัดการเงินเดือนที่หลากหลาย 2 ระบบบันทึกคำสั่งซื้อ (Order Entry System) เพื่อบันทึกการสั่งซื้อสินค้าจากลูกค้า ให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าไม่บกพร่อง

  22. ระบบย่อยของระบบปฏิบัติการทางธุรกิจระบบย่อยของระบบปฏิบัติการทางธุรกิจ 3 ระบบสินค้าคงคลัง (Inventory System) ดูแลให้สินค้าแต่ละชนิดมีปริมาณและสภาพที่เหมาะสมต่อการดำเนินงานธุรกิจ ไม่ให้เกิดค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษา หรือค่าเสียโอกาสทางการค้ามากเกินไป 4 ระบบใบกำกับสินค้า (Invoicing System) เพื่อออก Packing Slip และใบกำกับสินค้าส่งไปยังลูกค้า เพื่อสะดวกในการอ้างอิง ตรวจสอบการจัดส่ง และตรวจรับสินค้า

  23. ระบบย่อยของระบบปฏิบัติการทางธุรกิจระบบย่อยของระบบปฏิบัติการทางธุรกิจ 5 ระบบส่งสินค้า (Shipping System) • ควบคุมการจัดส่งตามวิธีการที่กำหนด เช่น ทางอากาศ ทางเรือ ทางบก • ตรวจสอบสภาพสินค้าในตำแหน่งต่างๆ เปรียบเทียบกันได้ 6 ระบบบัญชีลูกหนี้ (Accounts Receivable System) • ดูแลการสั่งซื้อสินค้า การชำระเงิน ยอดงบดุลของลูกค้าแต่ละคน • เพื่อทราบสถานะของลูกค้า เพื่อประกอบการตัดสินใจในการขายและให้สินเชื่ออย่างมีประสิทธิภาพ

  24. ระบบย่อยของระบบปฏิบัติการทางธุรกิจระบบย่อยของระบบปฏิบัติการทางธุรกิจ 7 ระบบสั่งซื้อสินค้า (Purchasing System) เพื่อจัดซื้อสินค้าตามความต้องการในการดำเนินธุรกิจ ปัจจุบันสามารถเชื่อมต่อระบบสั่งซื้อสินค้า ทั้งผู้ขายวัตุดิบและลูกค้า เพื่อให้การซื้อ ขาย และจัดส่ง มีประสิทธิภาพ 8 ระบบรับสินค้า (Receiving System) อยู่ในแผนกตรวจรับสินค้า เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้ในการตรวจรับสินค้าที่ส่งมาจากผู้ขายวัตถุดิบ โดยตรวจสอบคุณภาพของสินค้าก่อนที่ได้รับ หรือทำการปฏิเสธสินค้าที่จะรับ หากสินค้าไม่ตรงกับความต้องการ

  25. ระบบย่อยของระบบปฏิบัติการทางธุรกิจระบบย่อยของระบบปฏิบัติการทางธุรกิจ 9 ระบบบัญชีเจ้าหนี้ (Account Payable) ช่วยให้ผู้ใช้ดูแลการจ่ายเงินให้แก่ผู้ขายวัตถุดิบ ตามใบกำกับสินค้าที่ส่งมาพร้อมสินค้า รวมถึงการจ่ายเช็คเพื่อออกเงิน และกำหนดเวลาการจ่ายหนี้ที่เหมาะสม 10 ระบบบัญชีแยกประเภททั่วไป (General Ledger System) รวบรวมข้อมูลทางการบัญชีจากระบบย่อยอื่นๆ โดยจะประมวลผลข้อมูลทางการบัญชี การวางแผนงบประมาณทางธุรกิจ เป็นแหล่งข้อมูลในการจัดทำสารสนเทศสำหรับการบริหาร

  26. 2. ระบบจัดทำรายงานสำหรับการจัดการ(management reporting system:MRS) • เพื่อรวบรวมข้อมูล ประมวลผลข้อมูล จัดระบบและจัดทำรายงานหรือเอกสาร • ช่วยในการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับการบริหาร • ถูกใช้สำหรับการวางแผน การตรวจสอบ และการควบคุมการจัดการ

  27. คุณสมบัติของ MRS • สามารถที่จะสนับสนุนการตัดสินใจทั้งที่เป็นแบบโครงสร้างและกึ่งโครงสร้างอย่างประสิทธิภาพเนื่องจากปัญหาของผู้บริหารจะมีความหลากหลายและไม่มีรูปแบบที่แน่นอน ดังนั้นจึงต้องยืดหยุ่นในการจัดการสารสนเทศให้เหมาะสม(ประเภทการตัดสินใจ) • ผลิตเอกสารหรือรายงานตามตารางที่กำหนด และนำเสนอให้ผู้จัดการหรือผู้ใช้เพื่อทำการตรวจสอบ แก้ไข • ถูกผลิตออกมาในรูปแบบที่คงที่หรือถูกกำหนดไว้ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถนำไปใช้งานตามความต้องการ ตลอด

  28. คุณสมบัติของ MRS 4. สารสนเทศที่อยู่ในรูปรายงานหรือเอกสาร มักเป็นสารสนเทศที่เกิดขึ้นในอดีต MRS จะรวบรวมและประมวลผลข้อมูลที่เกิดขึ้นแล้วเสนอต่อผู้จัดการเพื่อทำการศึกษา วิเคราะห์ และตัดสินใจ 5. เอกสารส่วนใหญ่ผลิตในรูปแบบของกระดาษ ซึ่งจะใช้กับผู้จัดการที่ไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีสารสนเทศที่ไม่ใช้กระดาษ

  29. ประเภทของรายงาน (report) 1. รายงานที่ออกตามตาราง (schedule report) - เป็นรายงานที่จัดทำขึ้นตามระยะเวลาที่กำหนดแน่นอน เช่นประจำวัน ประจำสัปดาห์ หรือประจำเดือน - จะสรุปผลการดำเนินงานในแต่ละช่วงที่ผ่านมา 2. รายงานที่ออกในกรณีพิเศษ (exception report) - เป็นรายงานที่จัดทำขึ้นเมื่อมีสิ่งผิดปกติหรือปัญหาเฉพาะหน้าเกิดขึ้น ซึ่งต้องให้ผู้บริหารรับทราบ - เช่น รายชื่อลูกคค้าที่ค้างชำระ

  30. ประเภทของรายงาน (report) 3. รายงานที่ออกตามความต้องการ (demand report) - เป็นรายงานที่จัดทำขึ้นตามความต้องการของผู้บริหารเพื่อให้ผู้บริหารเกิดความเข้าใจปัญหาและสามารถตัดสินใจอย่างเหมาะสม 4. รายงานที่ออกเพื่อพยากรณ์ (predictive report) - เป็นรายงานที่ให้ข้อสารสนเทศที่ช่วยในการตัดสินใจของผู้บริหาร - ช่วยให้ผู้บริหารสามารถมีแนวทางในการเลือกตัดสินใจ

  31. คุณสมบัติของสารสนเทศในระบบการจัดทำรายงาน 1. ตรงประเด็น (relevance) รายงานที่ออกควรจะบรรจุด้วยสารสนเทศที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริหาร 2. ความถูกต้อง (accuracy)รายงานต้องมีสารสนเทศที่ถูกต้อง ไม่มีข้อผิดพลาด และเป็นที่เชื่อถือ 3. ถูกเวลา (timeliness)จะต้องเป็นสารสนเทศที่ทันสมัยและทันเวลา 4. สามารถพิสูจน์ได้ (verifiability)สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาได้ และเป็นที่น่าเชื่อถือเพียงใด

  32. คุณสมบัติของสารสนเทศในระบบการจัดทำรายงาน ตรงประเด็น Relevance คุณสมบัติ ถูกต้อง Accuracy สามารถพิสูจน์ได้ Verifiability ถูกเวลา Timeliness

  33. 3.ระบบสารสนเทศสำนักงาน(office information system:OIS) • ประกอบขึ้นจากเทคโนโลยีสารสนเทศและเทคโนโลยีเครื่องใช้สำนักงานที่ถูกออกแบบให้ปฏิบัติงานร่วมกัน • เพื่อช่วยให้การทำงานในสำนักงานมีประสิทธิภาพ • เพื่อที่จะอำนวยความสะดวกในการติดต่อสื่อสารระหว่างพนักงานภายในองค์การเดียวกัน

  34. ประเภทของงานใน office

  35. ประเภทของระบบสารสนเทศสำนักงานประเภทของระบบสารสนเทศสำนักงาน ระบบจัดการเอกสาร ระบบควบคุมและส่งผ่านข่าวสาร ระบบสารสนเทศสำหรับสำนักงาน ระบบประชุมทางไกล ระบบสนับสนุนการดำเนินงานในสำนักงาน

  36. 1.ระบบจัดการเอกสาร (document management system)ถูกพัฒนาขึ้นให้มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับการจัดทำ กระจาย และเก็บรักษาเอกสารต่างๆ ภายในองค์การ ประกอบไปด้วยเครื่องมือสำคัญต่อไปนี้ - การประมวลคำ (word processing)เช่น การจัดรูปแบบงานพิมพ์ การทำตาราง การจัดเรียงหน้า การจัดทำสารบัญ และการตรวจสอบคำผิด - การผลิตเอกสารหลายชุด (repropaphics)เป็นการผลิตเอกสารแบบเดียวกันหลายๆชุด เพื่อที่จะเผยแพร่ทั้งภายในและภายนอกสำนักงาน

  37. - การออกแบบเอกสาร (desktop publishing)เป็นชุดคำสั่งที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถผลิตเอกสารและสิ่งพิมพ์ให้มีคุณภาพ ออกแบบและจัดรูป เช่น สามารถใส่ตัวหนังสือ รูปภาพ หรือลวดลายต่างๆ ลงบนหน้ากระดาษ • การประมวลรูปภาพ (image processing)นำรูปภาพจากเอกสารต่างๆ มาเก็บไว้ในฐานข้อมูล และสามารถเรียกกลับมาทำการดัดแปลงเพื่อใช้งานได้ - การเก็บรักษา (archival storage)เป็นการเก็บรักษาข้อมูลในหน่วยความจำสำรอง เช่น เทปแม่เหล็ก ไมโครฟิลม์ (microfilm) แผ่นจานแม่เหล็กหรือแผ่น CD เป็นต้นโดยเฉพาะ

  38. 2. ระบบควบคุมและส่งผ่านข่าวสาร (message–handling system)เป็นระบบสารสนเทศที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อควบคุมการกระจายและการใช้งานข่าวสารในสำนักงาน ประกอบด้วย - โทรสาร (facsimile)หรือที่เรียกว่า เครื่องแฟกซ์ (FAX) - ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (electronic mail)หรือที่เรียกว่า e-mail - ไปรษณีย์เสียง (voice mail)เป็นการส่งผ่านข่าวสารที่เป็นเสียงจากที่หนึ่งไปสู่อีกทีหนึ่งโดยผ่านระบบโทรศัพท์

  39. 3. ระบบประชุมทางไกล (teleconferencing)เป็นระบบเชื่อมโยงบุคคลตั้งแต่ 2 คนซึ่งอยู่กันคนละที่ให้สามารถประชุมหรือโต้ตอบกันได้ แบ่งออกได้เป็น 5 ประเภท - การประชุมทางไกลที่ใช้ทั้งภาพและเสียง (video teleconferencing)เป็นระบบที่สนับสนุนให้คู่สนทนาสามารถมองเห็นและได้ยินเสียงซึ่งกันและกันได้ โดยรวมเอาเทคโนโลยีทางด้านเสียงและภาพโทรทัศน์เข้าด้วยกัน - การประชุมทางไกลใช้เฉพาะเสียง (audio teleconferencing)เป็นระบบที่สนับสนุนให้คู่สนทนาสามารถได้ยินเสียงและโต้ตอบกันอย่างมีประสิทธิภาพ

  40. การประชุมโดยใช้คอมพิวเตอร์ (computer conferencing)เป็นระบบที่ใช้ส่งข่าวสารหรือช่วยให้คู่สนทนาสามารถโต้ตอบและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันโดยผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ - โทรทัศน์ภายใน (in-house television)การสร้างห้องส่งและออกอากาศรายการโทรทัศน์ภายในองค์การ โดยอาจเป็นการถ่ายทอดสดหรือการบันทึกเทปและนำมาออกอากาศหมุนเวียนกันเพื่อให้สมาชิกภายในองค์การได้รับทราบและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน -การปฏิบัติงานผ่านระบบสื่อสารทางไกล (telecommuting)โดยต่อเชื่อมคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์การทำงานเข้ากับระบบเครือข่ายของสำนักงาน ซึ่งจะช่วยให้บุคคลสามารถทำงานอย่างเต็มที่โดยไม่เสียเวลาให้กับการเดินทาง

  41. 4 ระบบสนับสนุนการดำเนินงานในสำนักงาน(office support system)เป็นระบบสารสนเทศที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยให้พนักงานในสำนักงานเดียวกันใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ในสำนักงานให้เกิดประโยชน์ในการทำงานร่วมกันอย่างเต็มที่ โดยแบ่งได้เป็นหลายระบบดังต่อไปนี้ - ชุดคำสั่งสำหรับกลุ่ม (group ware)เพื่อที่จะสนับสนุนให้พนักงานสามารถใช้บริการของอุปกรณ์หรือชุดคำสั่งที่ช่วยอำนวยความสะดวกในองค์การร่วมกัน เช่น E-mail, Word Processing, Fax, และ Voice Mail เป็นต้น

  42. - ระบบจัดระเบียบงาน (desktop organizers)เป็นระบบที่ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัดการกับตารางเวลา จดบันทึก และรายชื่อ ตลอดจนเลขหมายโทรศัพท์ของบุคคลที่เกี่ยวข้องอย่างมีประสิทธิภาพ - คอมพิวเตอร์ช่วยในการออกแบบ (computer aide design : CAD)เป็นการทำงานที่นำคอมพิวเตอร์มาช่วยในการออกแบบ โดยผู้ใช้สามารถออกแบบ ดูภาพเสมือน และทดสอบผลงานบนหน้าจอ

  43. - การนำเสนอประกอบภาพ (presentation graphics)ช่วยให้การจัดเตรียมและการนำเสนองานมีประสิทธิภาพ โดยผู้ใช้สามารถวางแผน จัดขั้นตอนการนำเสนอข้อมูลและรูปภาพอย่างสอดคล้องกัน - กระดาษข่าวสารในสำนักงาน (in-house electronic bulletin board)เป็นระบบการเผยแพร่ข่าวสารทางอิเล็กทรอนิกส์ภายในสำนักงานผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เพื่อกระจายและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารภายในหน่วยงานโดยไม่เสียเวลาและทรัพยากร

  44. ประเภทการตัดสินใจ • การตัดสินใจแบบโครงสร้าง( Structure)บางครั้งเรียกว่าแบบกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว( programmed) เป็นการตัดสินใจเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นประจำ จึงมีมาตรฐานในการตัดสินใจเพื่อแก้ปัญหาอยู่แล้ว โดยวิธีการในการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดจะถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจน ตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ - เช่น การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับสินค้าคงคลัง จะต้องสั่งของเข้า( Order Entry) ครั้งละเท่าไร เมื่อใด

  45. ประเภทการตัดสินใจ 2. การตัดสินใจแบบไม่เป็นโครงสร้าง ( Unstructure)บางครั้งเรียกว่า แบบไม่เคยกำหนดล่วงหน้ามาก่อน ( Nonprogrammed) เป็นการตัดสินใจเกี่ยวกับปัญหาซึ่งมีรูปแบบไม่ชัดเจนหรือมีความซับซ้อน จึงไม่มีแนวทางในการแก้ปัญหาแน่นอน เป็นปัญหาที่ไม่มีการระบุวิธีแก้ไว้อย่างชัดเจนว่าต้องทำอะไรบ้าง การตัดสินใจกับปัญหาลักษณะนี้ จะไม่มีเครื่องมืออะไรมาช่วย มักเป็นปัญหาของผู้บริหารระดับสูง ต้องใช้สัญชาตญาณ ประสบการณ์ และความรู้ของผู้บริหารในการตัดสินใจ เช่น การวางแผนการบริการใหม่ , การว่าจ้างผู้บริหารใหม่เพิ่ม หรือการเลือกกลุ่มของโครงงานวิจัยและพัฒนาเพื่อนำไปใช้ในปีหน้า

  46. ประเภทการตัดสินใจ 3. การตัดสินใจแบบกึ่งโครงสร้าง ( Semistructure ) เป็นการตัดสินใจแบบผสมระหว่างแบบโครงสร้างและแบบไม่เป็นโครงสร้าง คือบางส่วนสามารถตัดสินใจแบบโครงสร้างได้ แต่บางส่วนไม่สามารถทำได้ โดยปัญหาแบบกึ่งโครงสร้างนี้ จะใช้วิธีแก้ปัญหาแบบมาตรฐานและการพิจารณาโดยมนุษย์รวมเข้าไว้ด้วยกัน คือมีลักษณะเป็นกึ่งโครงสร้าง แต่มีความซับซ้อนมากขึ้น ขั้นตอนจึงไม่ชัดเจนว่า จะมีขั้นตอนอย่างไร ปัญหาบางส่วนเขียนเป็นแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ได้ แต่ปัญหาบางส่วนไม่สามารถเขียนออกมาในรูปของแบบจำลองได้ - ตัวอย่างการตัดสินใจแบบกึ่งโครงสร้าง เช่น การทำสัญญาทางการค้า , การกำหนดงบประมาณทางการตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ BACK

More Related