1 / 23

การออกแบบการวิจัย Part II: Kerlinger’s concept

การออกแบบการวิจัย Part II: Kerlinger’s concept. ดร.ภิรดี วัชรสินธุ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต. ทบทวน ความหมายของการออกแบบการวิจัย ( research design). ความหมาย 1

Download Presentation

การออกแบบการวิจัย Part II: Kerlinger’s concept

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. การออกแบบการวิจัยPart II: Kerlinger’s concept ดร.ภิรดี วัชรสินธุ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต

  2. ทบทวนความหมายของการออกแบบการวิจัย (research design) ความหมาย 1 การกำหนดแบบแผนการดำเนินงานที่เชื่อมโยงกระบวนการการวิจัยที่จะต้องทำในแต่ละขั้นตอนเข้าด้วยกัน ได้แก่ การออกแบบการเลือกกลุ่มตัวอย่าง (sampling design) การออกแบบการวัด (measurement design) และการออกแบบการวิเคราะห์ข้อมูล (analysis design)

  3. ความหมายของการออกแบบการวิจัย (research design) ความหมาย 2 Kerlinger’s concept “A research design is a plan, structure and strategyof investigation so conceived so as to obtain answers to research questions or problems.” (Kerlinger, 1986: 279) การออกแบบการวิจัยเป็นการวางแผน วางโครงสร้างหรือเค้าโครงของกิจกรรมการวิจัย และการกำหนดกลยุทธ์หรือวิธีดำเนินการวิจัย (ที่เน้นการจัดการกับตัวแปร) เพื่อตอบปัญหาวิจัยได้อย่างถูกต้องเที่ยงตรง

  4. แผน (plan) หมายถึง ขอบข่ายของการดำเนินการวิจัยทั้งหมดที่นักวิจัยกำหนด ทั้งในด้านการกำหนดประชากร กลุ่มตัวอย่าง ตัวแปรทั้งตัวแปรต้นและตัวแปรตาม และการกำหนดวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล ตลอดจนระยะเวลาดำเนินการ • โครงสร้าง (structure) หมายถึง เค้าโครง แบบจำลองหรือโมเดล หรือรูปแบบของตัวแปรที่กำหนดในการวิจัย อาจกำหนดโดยเขียนเป็นกรอบแนวคิด (conceptual framework) • กลยุทธ์ (strategy) หมายถึง วิธีในการดำเนินการวิจัย (research method) ที่เน้นการจัดการกับข้อมูล สภาพการณ์ทดลองหรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล

  5. ความหมายของการออกแบบการวิจัย (research design) ความหมาย 3 (วรรณวิภา จัตุชัย, 2552) การอกแบบการวิจัย หมายถึง การกำหนดรูปแบบของการจัดกระทำกับตัวแปรต้นและตัวแปรอิสระที่ต้องการศึกษา โดยมีการควบคุมอิทธิพลของตัวแปรแทรกซ้อน รวมทั้งการวัดค่าของตัวแปรตาม ที่เป็นผลจากการกระทำของตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระนั้นๆ

  6. การออกแบบการวิจัยรวมถึง การเลือกประเภท// รูปแบบการวิจัย ระเบียบวิธีวิจัยที่ใช้ ตลอดจนการกำหนดวิธีการและแนวทางต่างๆ ที่นำมาใช้ เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่ตอบปัญหาของการวิจัย ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ การออกแบบการวิจัยจะนำเสนอในรูปของ โครงร่างการวิจัย (research proposal) ที่มีแบบแผน เป็นขั้นตอน

  7. รายละเอียดในโครงร่างการวิจัยรายละเอียดในโครงร่างการวิจัย • กรอบแนวคิดในการวิจัย • ระเบียบวิธีวิจัยที่ใช้ • การเลือกประชากร กลุ่มตัวอย่าง • การสร้างและใช้เครื่องมือวิจัย • การเก็บรวบรวมข้อมูล • การวิเคราะห์ข้อมูล • ระยะเวลาดำเนินการวิจัย • ชื่อเรื่อง • ความเป็นมาและความสำคัญ • วัตถุประสงค์การวิจัย • ขอบเขตการวิจัย • ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ • การสึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง • สมมุติฐานการวิจัย

  8. วัตถุประสงค์ของการออกแบบการวิจัยวัตถุประสงค์ของการออกแบบการวิจัย • เพื่อให้ได้คำตอบของคำถามวิจัยหรือปัญหาวิจัยที่สนใจศึกษา ตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยที่กำหนดไว้ • เพื่อให้การดำเนินการวิจัยเป็นไปอย่างเหมาะสม รอบคอบ รัดกุม เพื่อความถูกต้อง เที่ยงตรงของผลการวิจัย • เพื่อควบคุมหรือขจัดอิทธิพลของตัวแปรแทรกซ้อนหรือตัวแปรสอดแทรก ที่อาจส่งผลรบกวนทำให้การวัดค่าตัวแปรคลาดเคลื่อน ซึ่งอาจทำให้สรุปผลผิดพลาดได้

  9. ประโยชน์ของการออกแบบการวิจัยประโยชน์ของการออกแบบการวิจัย • เป็นกรอบแนวทางในการวางแผนจัดกระทำและควบคุมตัวแปร ก่อนเริ่มดำเนินการวิจัย • ช่วยในการเลือกระเบียบวิธีวิจัย กำหนดตัวแปร กำหนดประเภทและสร้างเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล เพื่อให้ได้ขข้อมูลที่มีความเที่ยงตรงและมีคุณภาพ • เป็นแนวทางให้นักวิจัยเลือกวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่เหมาะสม • ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการโครงการวิจัย (ด้านกำลังคน งบประมาณ เวลาที่ใช้)

  10. หลักการออกแบบการวิจัย“MAX MIN CON” PRINCIPLE (KERLINGER, 1986) • Maximization of experimental or systematic variance • Minimizationof error variance systematic error, random error • Control extraneous variableexternal factors, intrinsic to the subjects, experimenter and subjects

  11. Maximizationof experimental variance • การทำให้ความแปรปรวนอันเนื่องมาจากตัวแปรทดลอง (ตัวแปรอิสระหรือตัวแปรหลักในการวิจัย) มีค่าสูงสุด โดยออกแบบตัวแปรทดลองในการวิจัยให้มีความแตกต่างกันให้มากที่สุดตามหลักวิชา เช่น หากต้องการทดลองศึกษาผลของวิธีสอน ก็ต้องกำหนดวิธีสอนให้แตกต่างจากวิธีสอนปกติให้เห็นได้อย่างชัดเจน

  12. MINIMIZATIONOF ERROR VARIANCE • การทำให้ความแปรปรวนอันเนื่องมาจากความคลาดเคลื่อนมีค่าต่ำที่สุด โดยการจัดสภาพการณ์การทดลองหรือการวิจัยให้เป็นระบบ เพื่อลดความคลาดเคลื่อนอันเกิดจากความคลาดเคลื่อนจากการวัด เช่น เครื่องมือ บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการวัด และระยะเวลาที่ใช้ รวมทั้งความแตกต่างระหว่างบุคคล เช่น สภาพส่วนบุคคล ภูมิหลังของบุคคล ทัศนคติต่อการทดลอง หรือสถานการณ์ที่แต่ละคนได้รับแตกต่างกัน

  13. MINIMIZATIONOF ERROR VARIANCE • การลดความคลาดเคลื่อนทำได้โดยการ • สร้างและใช้เครื่องมือวิจัยที่มีคุณภาพ ควบคุมให้การวัดเที่ยงตรง • ควบคุมเงื่อนไขการทดลองให้เป็นระบบทำให้แต่ละคนได้รับปัจจัยต่างๆ เหมือนๆกัน เท่าๆกัน หรือใช้บุคคลเดียวกัน

  14. CONTROL EXTRANEOUS VARIABLE • การควบคุมหรือขจัดอิทธิพลของตัวแปรแทรกซ้อน ไม่ให้ตัวแปรเหล่านั้นมากระทบต่อการทดลองหรือการเก็บรวบรวมข้อมูลวิจัย

  15. CONTROL EXTRANEOUS VARIABLE • การควบคุมทำได้ ดังนี้ • การใช้กระบวนการสุ่ม (randomization) • การขจัดออกจากการทดลอง (elimination) • การนำตัวแปรนั้นเข้าสู่การทดลอง (built into design) • การจับคู่ (match group, map subject) • การควบคุมทางสถิติ (statistical control) • การออกแบบการวิจัย (research design)

  16. ความเที่ยงตรงของการวิจัยความเที่ยงตรงของการวิจัย • คุณภาพของงานวิจัย พิจารณาจากผลการวิจัยที่สามารถตอบปัญหาวิจัยได้ตรงตามวัตถุประสงค์ ซึ่งถือว่าการวิจัยนั้น มีความเที่ยงตรงของแบบการวิจัย • ความเที่ยงตรงของการวิจัย แบ่งเป็น 2 ชนิด คือความเที่ยงตรงภายในและความเที่ยงตรงภายนอก

  17. ความเที่ยงตรงภายใน • ความเที่ยงตรงภายใน (internal validity) หมายถึง งานวิจัยที่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าตัวแปรตามที่เกิดขึ้นเป็นผลอันเกิดจากตัวแปรอิสระหรือตัวแปรทดลองเท่านั้น โดยไม่มีตัวแปรแทรกซ้อนเกิดขึ้นเลย

  18. ความเที่ยงตรงภายใน เช่น ผู้สอนต้องการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ในการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียน 2 ห้องโดยใช้วิธีสอนที่แตกต่างกัน ซึ่งนักเรียน 2 ห้อง มีเกรดเฉลี่ยของทุกวิชาเท่ากัน แต่คะแนนเฉลี่ยของความสามารถพื้นฐานวิชาคณิตศาสตร์ต่างกัน ดังนั้น ความสามารถพื้นฐานวิชาคณิตศาสตร์เป็นตัวแปรแทรกซ้อน ซึ่งจะส่งผลให้งานวิจัยขาดคุณภาพในแง่ความตรงภายใน การที่จะทำให้งานวิจัยมีคุณภาพในแง่ความตรงภายในสูง ผู้วิจัยต้องกำจัดหรือควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนนั้น

  19. ความเที่ยงตรงภายนอก • ความเที่ยงตรงภายนอก (external validity) หมายถึง งานวิจัยที่สามารสรุปอ้างอิงผลการวิจัยไปสู่ประชากรเป้าหมายในวงกว้างได้อย่างถูกต้อง หรือกว่างได้ว่า ผลการวิจัยต้องสามารถอธิบายความจริงที่เกิดขึ้นกับประชากรในภาพรวมได้อย่างแท้จริง

  20. ความเที่ยงตรงภายนอก ผู้วิจัยต้องการศึกษาความคิดเห็นที่มีต่อหลักสูตรปฐมวัยของครูอนุบาล ซึ่งความคิดเห็นของครูแต่ละสังกัดนั้นแตกต่างกัน ในการวิจัย ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มครูสังกัดโรงเรียนของรัฐเท่านั้น แต่เมื่อสรุปผล ผู้วิจัยสรุปผลการวิจัยไปสู่ประชากรครูอนุบาลทั้งหมดทุกสังกัด งานวิจัยชิ้นนี้ถือได้ว่า เป็นงานวิจัยที่มีความตรงภายนอกต่ำ เนื่องจากการสรุปผลอ้างอิงไปสู่กลุ่มเป้าหมายไม่ถูกต้อง

  21. ความเที่ยงตรงภายนอก • การทำให้งานวิจัยมีความตรงภายนอกสูง ทำได้โดยการสุ่มตัวอย่าง ผู้วิจัยต้องใช้เทคนิคการสุ่มตัวอย่างที่เหมาะสม เพื่อให้ได้กลุ่มตัวอย่างที่มีจำนวนพอเหมาะ และเป็นตัวแทนที่ดีของประชากรเป้าหมาย

  22. ปัจจัยที่ส่งผลต่อความตรงภายนอกปัจจัยที่ส่งผลต่อความตรงภายนอก ปัจจัยที่ส่งผลต่อความตรงภายใน • การกำหนดรูปแบบการทดลองที่นำไปประยุกต์ใช้ได้ยาก • ผลจากการกระทำหรือทดลองหลายๆ ครั้ง • ฮอว์ทอร์นเอ็ฟเฟค (Hawthorne effect)– กลุ่มตัวอย่างมีการแสดงพฤติกรรมที่บิดเบือน ผิดจากความเป็นจริง • คุณภาพและลักษณะของเครื่องมือวิจัย • อิทธิพลจากการทดสอบ/วัดซ้ำ • ความลำเอียงในการเลือกหน่วยทดลองหรือสถานการณ์ • การขาดหายของกลุ่มตัวอย่าง • ประวัติ ภูมิหลังของกลุ่มตัวอย่าง • วุฒิภาวะของกลุ่มตัวอย่าง

  23. แบบแผนของการวิจัย • การวิจัยแบบไม่ทดลอง (non-experimental design) • การวิจัยแบบก่อนการทดลอง (pre-experimental design) • การวิจัยแบบกึ่งทดลอง (quasi-experimental design) • การวิจัยแบบทดลอง (อย่างแท้จริง) (true-experimental design) นักวิจัยพึงเลือกแบบแผนการวิจัยที่เหมาะสม เพื่อให้ผลการวิจัยมีความเที่ยงตรงทั้ง 2 ประการ

More Related