1 / 50

321450 Management of Information Technology

321450 Management of Information Technology. Chapter 7b E-Commerce Part II Asst. Prof. Wichai Bunchua E-mail : wichai@buu.ac.th http:// www.informatics .buu.ac.th/~wichai. Chapter Outlines. แนะนำการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ แรงผลักดันให้มีการพัฒนา E-Commerce คุณลักษณะสำคัญของ E-Commerce

Download Presentation

321450 Management of Information Technology

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. wichai@buu.ac.th

  2. 321450Management of Information Technology Chapter 7b E-Commerce Part II Asst. Prof. Wichai Bunchua E-mail : wichai@buu.ac.th http://www.informatics.buu.ac.th/~wichai

  3. Chapter Outlines • แนะนำการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ • แรงผลักดันให้มีการพัฒนา E-Commerce • คุณลักษณะสำคัญของ E-Commerce • ข้อแตกต่างระหว่างการทำธุรกิจทั่วไปและ E-Commerce • ประเภทของ E-Commerce • แบบจำลองธุรกิจของ E-Commerce • การประยุกต์ใช้งาน E-Commerce • ระบบชำระเงินใน E-Commerce • การพัฒนา E-Commerce wichai@buu.ac.th

  4. 7. ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งาน E-Commerce wichai@buu.ac.th

  5. 7. ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งาน E-Commerce 1. การค้าปลีกอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Retailing: E-Retailing หรือ E-Tailing)คือการขายสินค้าและบริการให้กับผู้บริโภคโดยตรงผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยไม่ต้องผ่านคนกลางเรียกบริษัทที่ทำธุรกิจนี้ว่า ผู้ค้าปลีกอิเล็กทรอนิกส์ (E-Retailer หรือ E-Tailer) สินค้าและบริการที่เสนอขายด้วยวิธีนี้มีอยู่หลายชนิด เช่น หนังสือ ดนตรี เสื้อผ้า เครื่องประดับ หรือเครื่องใช้สำนักงาน เป็นต้น wichai@buu.ac.th

  6. 7. ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งาน E-Commerce(ต่อ) การค้าปลีกอิเล็กทรอนิกส์ช่วยขจัดคนกลาง อันได้แก่ ผู้ค้าปลีก (Retailer) และผู้ค้าส่ง (Wholesaler) เพื่อให้ผู้ผลิตติดต่อกับผู้บริโภคโดยตรงแทน ส่งผลให้วงจรของห่วงโซ่อุปทานในส่วนของช่องทางการจำหน่ายสินค้าสั้นลง ผู้บริโภคจึงได้รับสินค้าเร็วขึ้น ส่วนผู้ผลิตเองก็เข้าใจความต้องการของผู้บริโภคได้ดีขึ้น เพราะต้องติดต่อกับผู้บริโภคโดยตรง นอกจากนี้ การค้าปลีกอิเล็กทรอนิกส์บางชนิด ยังช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานลงได้ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่าสถานที่ และการจ้างพนักงาน เป็นต้น wichai@buu.ac.th

  7. 7. ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งาน E-Commerce(ต่อ) 2. E-Commerce สำหรับอุตสาหกรรมบริการเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า สมาชิก หรือแม้แต่พนักงานในองค์กรเอง ตัวอย่างบริการ • ธนาคารอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Banking) • การชำระเงินออนไลน์ (Online Bill-Paying Service) • ตลาดนัดแรงงาน (Electronic Job Market) • การเดินทางและการท่องเที่ยว (Travel and Tourism Service Online) • ชุมชนอิเล็กทรอนิกส์ (Communities Service) • ประกันภัยออนไลน์ (Insurance Online) • การซื้อขายหุ้นออนไลน์ (Stock Trading Online) • และอีเลิร์นนิ่ง (E-Learning) wichai@buu.ac.th

  8. 7. ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งาน E-Commerce(ต่อ) 3. การโฆษณาบนเว็บ (Web Advertising) เป็นการติดต่อสื่อสารแบบ 2 ทาง (Two-way Communication) ระหว่างผู้ประกอบการกับผู้บริโภค โดยผู้บริโภคสามารถคลิกผ่านโฆษณาเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ของผู้ประกอบการ เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมและยังสามารถฝากอีเมล์ เพื่อสอบถามรายละเอียดของสินค้าได้ ทั้งนี้ ผู้ประกอบการต้องเลือกใช้สื่อโฆษณาหรือวิธีการนำเสนอที่น่าสนใจ เพื่อกระตุ้นความอยากรู้ของผู้บริโภคให้มากขึ้นด้วย wichai@buu.ac.th

  9. 7. ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งาน E-Commerce(ต่อ) แสดงสัดส่วนของการโฆษณาบนเว็บโดยใช้สื่อโฆษณาชนิดต่างๆ คิดเป็นร้อยละ [สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2550] โฆษณาผ่านกระดานข่าว 58.0 โฆษณาทางอีเมล์ 48.8 โฆษณาทางเสิร์ชเอนจิ้น 45.4 โฆษณาทางแบนเนอร์ 25.4 ระบบการแจ้งข่าวสารประชาสัมพันธ์ 15.7 การตลาดออนไลน์ผ่านตัวแทนโฆษณา 10.6 โฆษณาผ่านโทรศัพท์มือถือ 3.0 โฆษณารูปแบบอื่นๆ 6.6 wichai@buu.ac.th

  10. 7. ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งาน E-Commerce(ต่อ) 4. การประมูลอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Auction: E-Auction) หมายถึง การเสนอขายสินค้าหรือบริการระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายที่เข้ามาแข่งขันกันเสนอราคาในช่วงเวลาที่กำหนดไว้ โดยอาศัยตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์ ทำหน้าที่เป็นคนกลางหรือนายหน้าจัดการประมูล รวมถึงกำหนดกฎเกณฑ์ กติกา และมารยาทที่ใช้ในระหว่างการประมูล เพื่อให้การประมูลเป็นไปอย่างราบรื่น บริสุทธิ์ และยุติธรรม wichai@buu.ac.th

  11. 7. ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งาน E-Commerce(ต่อ) การประมูลอิเล็กทรอนิกส์ (ต่อ) จุดเด่นคือ ไม่มีการกำหนดราคาสินค้าแบบตายตัว แต่จะให้ผู้ซื้อและผู้ขายเจรจาต่อรองราคากันเอง โดยแต่ละฝ่ายสามารถเสนอราคาได้หลายครั้ง จนกว่าจะถึงระดับราคาที่ทั้งสองฝ่ายพึงพอใจ จึงจะยุติการประมูลลง การประมูลอิเล็กทรอนิกส์ จึงเป็นรูปแบบธุรกิจที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการซื้อ-ขายสินค้าให้กับผู้ซื้อและผู้ขาย ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ซื้อและผู้ขายสามารถเข้าร่วมการประมูลได้ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดก็ตาม และยังช่วยให้ทั้งสองฝ่ายพึงพอใจกับสินค้าที่ได้รับด้วย wichai@buu.ac.th

  12. 7. ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งาน E-Commerce(ต่อ) 5. รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Government: E-Government) • หมายถึง วิธีบริหารจัดการหน่วยงานราชการสมัยใหม่ โดยการนำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการให้แก่ประชาชน การประชาสัมพันธ์ข่าวสาร การดำเนินธุรกิจกับภาคเอกชน ตลอดจนการส่งเสริมภาพลักษณ์อันดีของหน่วยงาน • การปรับเปลี่ยนจะต้องอาศัยความร่วมมืออย่างจริงจังจากทุกฝ่าย ได้แก่ ประชาชน ภาคเอกชน และหน่วยงานรัฐด้วย wichai@buu.ac.th

  13. 7. ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งาน E-Commerce(ต่อ) รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ 4 รูปแบบ • Government-to-Citizen: G2C เป็นบริการพื้นฐานที่รัฐจัดให้กับประชาชนผ่านช่องทางเครือข่ายสารสนเทศ เช่น การชำระเงินภาษี การสอบถามข้อมูล หรือการจ่ายเงินค่าปรับ เป็นต้น • Government-to-Business: G2B เป็นบริการพื้นฐานที่รัฐจัดให้กับภาคธุรกิจ เช่น ให้ข้อมูลสำหรับการลงทุน การส่งออกและนำเข้า และการจัดซื้อจัดจ้างอิเล็กทรอนิกส์ (E-Procurement) เป็นต้น wichai@buu.ac.th

  14. 7. ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งาน E-Commerce(ต่อ) • Government-to-Government: G2G เป็นการดำเนินงานที่เกิดขึ้นภายในหน่วยงานราชการนั้นหรือต่างหน่วยงานกันก็ได้ เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร (Data Exchange) การทำงานร่วมกัน (Collaboration) รวมถึงการเชื่อมโยงข้อมูล (Link) ไปยังแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น • Government-to-Employee: G2E เป็นบริการของภาครัฐที่มีให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐผ่านเครือข่ายสารสนเทศของรัฐ เช่น การฝึกอบรมออนไลน์ หรือการตรวจสอบเบี้ยเลี้ยง เป็นต้น wichai@buu.ac.th

  15. 7. ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งาน E-Commerce(ต่อ) 6. โมบายคอมเมิร์ซ (Mobile Commerce: M-Commerce) • เป็นรูปแบบหนึ่งของ ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน โมบายคอมเมิร์ซจะทำงานผ่านระบบเครือข่ายแบบไร้สาย และอาศัยอุปกรณ์เชื่อมโยงแบบไร้สายด้วย เช่น เครื่องพีดีเอ เครื่องปาล์ม) และโทรศัพท์มือถือ • โปรโตคอล WEP(Wireless Application Protocol) เป็นสื่อกลางในการติดต่อสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ต้นทางและปลายทาง wichai@buu.ac.th

  16. 7. ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งาน E-Commerce(ต่อ) ปัจจุบัน มีการประยุกต์ใช้โมบายคอมเมิร์ซหลากหลายรูปแบบ • M-GPS เช่น บริการติดตามรถยนต์ เครื่องบิน หรือเรือยนต์ • M-Billing เช่น การแจ้งค่าบริการ การนำเสนอ การชำระเงิน • M-care เช่น บริการลูกค้าสัมพันธ์ ดูแลสุขภาพ เป็นต้น • M-Entertainment เช่น เกมส์ เพลง วีดีโอ เป็นต้น • M-Messaging เช่น การติดต่อสื่อสาร การทำงานร่วมกัน • M-Commerce เช่น การซื้อขายสินค้าและบริการ การจองตั๋ว • M-Banking เช่น การโอนเงิน การชำระเงิน เป็นต้น wichai@buu.ac.th

  17. 7. ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งาน E-Commerce(ต่อ) 7. E-Commerce แบบ B2B คือ การทำธุรกรรมทางการค้าระหว่างองค์กรธุรกิจผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น เครือข่ายอินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต หรือเอ็กซ์ทราเน็ต เป็นต้น โดย “องค์กรธุรกิจ” ในที่นี้หมายถึง องค์กร บริษัท หรือหน่วยงานทั้งที่หวังกำไรและไม่หวังกำไรเป็นผลตอบแทน wichai@buu.ac.th

  18. 7. ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งาน E-Commerce(ต่อ) E-Commerce แบบ B2B เกิดขึ้นจากแรงผลักดันของผู้จำหน่ายวัตถุดิบ (Supplier) กับลูกค้าระดับองค์กรที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายและระยะเวลาในการจักซื้อลดลง ตลอดจนปรับปรุงการดำเนินงานระหว่างองค์กรให้มีประสิทธิภาพ และมีความปลอดภัยในการติดต่อสื่อสารบนเครือข่ายมากยิ่งขึ้น B2B จำแนกตามจำนวนของผู้ซื้อ ผู้ขาย และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องได้ 4 ประเภท ดังนี้ wichai@buu.ac.th

  19. 7. ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งาน E-Commerce(ต่อ) 1. ตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์ฝั่งผู้ขาย (Sell-Side E-Marketplace) เป็นการค้าที่มีผู้ขายเพียงราคาเดียว ขายสินค้าหรือบริการให้กับผู้ซื้อหลายราย (One-to-Many) ตัวอย่างเช่น การขายตรงผ่านแคทตาล็อก การขายผ่านคนกลาง และการประมูลขาย wichai@buu.ac.th

  20. 7. ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งาน E-Commerce(ต่อ) 2. ตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์ฝั่งผู้ซื้อ (Buy-Side E-Marketplace) เป็นการค้าที่มีผู้ขายหลายราย ขายสินค้าหรือบริการให้กับผู้ซื้อเพียงราคาเดียว (Many-to-One) ตัวอย่างเช่น การจัดซื้อจัดจ้างอิเล็กทรอนิกส์ และการประมูลการซื้อ wichai@buu.ac.th

  21. 7. ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งาน E-Commerce(ต่อ) 3. การแลกเปลี่ยนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Exchange) เป็นการค้าที่มีผู้ซื้อและผู้ขายหลายราย (Many-to-Many) มาซื้อ-ขายสินค้ากันผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ดังนั้น วิธีนี้จึงเป็นการค้าแบบเปิด (Public E-Marketplace) ที่ทุกองค์กรสามารถเข้าร่วมทำธุรกรรมได้ ซึ่งจะแตกต่างกับการค้าทั้ง 2 แบบข้างต้นที่เป็นการค้าแบบปิด (Private E-Marketplace) ที่อนุญาตให้บางองค์กรเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้าร่วมทำธุรกรรม wichai@buu.ac.th

  22. 7. ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งาน E-Commerce(ต่อ) 4. การจัดการห่วงโซ่อุปทาน และการพาณิชย์เชิงร่วมมือ (Supply Chain Management and CollaborativeCommerce) เป็นการจัดการกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับผู้มีส่วนร่วมทางธุรกิจทั้งหมด อันได้แก่ ผู้ขายปัจจัยการผลิต โรงงานผู้ผลิตร้านค้าปลีก ผู้บริโภค ตลอดจนองค์กรที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมของบริษัท ให้สามารถดำเนินงานได้ wichai@buu.ac.th

  23. 8 ระบบชำระเงินใน E-Commerce wichai@buu.ac.th

  24. 8 ระบบชำระเงินใน E-Commerce อีกองค์ประกอบที่สำคัญใน E-Commerce คือ ระบบชำระเงิน (Payment System) ซึ่งเป็นรูปแบบการชำระเงินผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ถูกพัฒนาขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมให้ผู้ซื้อสามารถชำระเงินได้ทันที แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ระบบชำระเงินแบบจ่ายก่อน (Pre-paid Payment System) และระบบชำระเงินแบบจ่ายทีหลัง (Post-paid Payment System) wichai@buu.ac.th

  25. 8 ระบบชำระเงินใน E-Commerce (ต่อ) 1. ระบบชำระเงินแบบจ่ายก่อนได้แก่ เงินสดดิจิตอล และบัตรสะสมมูลค่า เงินสดดิจิตอล (Digital Cash) หรือ Electronic Money (E-Money) หรือ Electronic Cash (E-Cash) เป็นการชำระเงินผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยจะแปลงเงินจริงให้อยู่ในรูปแบบดิจิตอล เพื่อใช้ชำระค่าสินค้าให้กับผู้ขาย wichai@buu.ac.th

  26. 8 ระบบชำระเงินใน E-Commerce (ต่อ) บัตรสะสมมูลค่า (Stored Value Card)เป็นบัตรที่จัดเก็บเงินสดดิจิตอล เพื่อใช้ชำระค่าสินค้าและบริการ ใช้โดยโอนเงินเป็นส่วนลด หรือจัดเก็บข้อมูลสุทธิประโยชน์ของผู้ถือบัตรได้ การชำระเงินด้วยวิธีนี้ ผู้ซื้อจะต้องจ่ายเงินเพื่อซื้อบัตรที่มีมูลค่าตามจำนวนที่ต้องการเอาไว้ก่อน เมื่อซื้อสินค้าในคราวต่อไป จึงใช้บัตรนี้แทนการชำระเงินด้วยเงินสด แต่สามารถใช้ได้เฉพาะร้านค้าที่ร่วมรายการเท่านั้น wichai@buu.ac.th

  27. 8 ระบบชำระเงินใน E-Commerce (ต่อ) 2. ระบบชำระเงินแบบจ่ายทีหลังเป็นระบบชำระเงินที่ผู้ซื้อจะชำระเงินค่าสินค้าให้กับผู้ขายด้วยข้อมูลที่ใช้แทนเงินไปก่อน จากนั้นจึงชำระด้วยเงินจริงในภายหลัง ระบบชำระเงินในรูปแบบนี้ ได้แก่ เช็คอิเล็กทรอนิกส์ บัตรแถบแม่เหล็ก และบัตรอัจฉริยะ 2.1 เช็คอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Check: E-Check)เป็นการใช้เช็คอิเล็กทรอนิกส์ของผู้ซื้อ ชำระเงินให้กับผู้ขาย ผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยจะต้องนำ E-Check ไปเข้ารหัสก่อนที่จะส่งไปให้กับผู้ขายทุกครั้งเพื่อความปลอดภัยและป้องกันการโจรกรรมข้อมูล wichai@buu.ac.th

  28. 8 ระบบชำระเงินใน E-Commerce (ต่อ) 2.2 บัตรแถบแม่เหล็ก (Magnetic Strip Card) เป็นบัตรพลาสติกขนาดเล็ก โดยจะบันทึกข้อมูลไว้ในแถบแม่เหล็กที่อยู่บนบัตร และจะมีการเข้ารหัสข้อมูลตามมาตรฐาน ISO แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 2.2.1 Online Magnetic Strip Card เป็นบัตรที่ถูกอ่านได้เพียงอย่างเดียว ไม่สามารถแก้ไขข้อมูลที่อยู่บนบัตรได้ ได้แก่ บัตรเอทีเอ็ม บัตรเดบิต และบัตรเครดิต • ATM Card เป็นบัตรที่ใช้ถอนเงินสดจากเครื่อง ATM ซึ่งยอดเงินคงเหลือในบัญชีจะถูกหักออกตามยอดเงินที่ถูกถอนออกไป wichai@buu.ac.th

  29. 8 ระบบชำระเงินใน E-Commerce (ต่อ) • บัตรเดบิต (Debit Card) มีคุณสมบัติเหมือนกับบัตร ATM แต่ต่างกันตรงที่สามารถชำระเงินด้วยบัตรแทนการชำระเงินสดได้ โดยยอดเงินที่ชำระไปจะถูกหักออกจากยอดเงินคงเหลือในบัญชี • บัตรเครดิต (Credit Card) มีคุณสมบัติเหมือนบัตรเดบิต แต่ต่างกันตรงที่การชำระเงินด้วยบัตรเครดิต ค่าสินค้าไม่ได้ถูกหักออกจากยอดเงินคงเหลือในบัญชี แต่จะถูกหักออกจากวงเงินคงเหลือของบัตรเครดิต ซึ่งสถาบันการเงินที่เป็นผู้ออกบัตรจะกำหนดเงินนี้เอาไว้ให้ wichai@buu.ac.th

  30. 8 ระบบชำระเงินใน E-Commerce (ต่อ) 2.2.2 Offline Magnetic Strip Cardเป็นบัตรที่ข้อมูลบนแถบแม่เหล็กจะถูกอ่านและเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้โดยใช้เครื่องอ่านบัตร ตัวอย่างของบัตรชนิดนี้ ได้แก่ บัตรโทรศัพท์ 2.2.3 Hybrid Magnetic Strip Card เป็นบัตรแถบแม่เหล็กที่ผสมผสานการทำงานแบบออนไลน์และแบบออฟไลน์ โดยบัตรจะประกอบด้วยแถบแม่เหล็ก 2 แถบ คือ แถบบนเป็นแถบออนไลน์ ส่วนแถบล่างจะเป็นแบบออฟไลน์ wichai@buu.ac.th

  31. 8 ระบบชำระเงินใน E-Commerce (ต่อ) 3. บัตรอัจฉริยะ (Smart Card) พัฒนามาจากแถบแม่เหล็ก โดยฝังไมโครชิพไว้ที่บัตรเพื่อใช้เก็บข้อมูลบนบัตร จึงช่วยลดปัญหาข้อมูลเสียหายจากรอยขีดข่วนบนแถบแม่เหล็กได้ บัตรอัจฉริยะแบ่งตามลักษณะของการอ่านข้อมูลบนบัตรออกเป็น 2 ประเภท wichai@buu.ac.th

  32. 8 ระบบชำระเงินใน E-Commerce (ต่อ) 3.1 Contact Smart Card ต้องใช้เครื่องอ่านบัตร (Smart Card Reader) เพื่ออ่าน บันทึกหรือประมวลผลข้อมูลบนบัตร จะมีแผ่นทองคำที่มีลักษณะเป็นวงกลมขนาดเล็ก มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.5 นิ้ว ติดอยู่ด้านหน้าของบัตร เมื่อสอดบัตรเข้าเครื่องอ่านแผ่นทองคำดังกล่าวจะเป็นตัวติดต่อกับเครื่องอ่านบัตร เพื่อให้เครื่องอ่านสามารถอ่าน บันทึก หรือประมวลผลข้อมูลจากไมโครชิพได้ wichai@buu.ac.th

  33. 8 ระบบชำระเงินใน E-Commerce (ต่อ) 3.2 Contactless Smart Card บัตรประเภทนี้ นอกจากจะมีไมโครชิพฝังอยู่ที่บัตรแล้ว ยังมีสายอากาศ ฝังอยู่ที่บัตรด้วย ซึ่งการบันทึก อ่าน หรือประมูลผลข้อมูลของบัตรจะอยู่ในรูปแบบไร้สาย โดยข้อมูลจะส่งผ่านสายอากาศที่ฝังอยู่ในบัตรจะส่งผ่านสายอากาศของอุปกรณ์อ่านบัตร บัตรนี้จึงเหมาะสมกับแอปพลิเคชันที่ต้องการความเร็วในการประเมินผล เช่น การเก็บเงินค่าทางด่วน เป็นต้น wichai@buu.ac.th

  34. 8 ระบบชำระเงินใน E-Commerce (ต่อ) Electronic Wallet (E-wallet)หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Digital Wallet เป็นซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นมา โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญ 3 ประการ คือ • (1) เพื่อพิสูจน์ตัวตนของลูกค้าโดยใช้ใบรับรองดิจิตอล หรือเทคนิคการเข้ารหัสอื่นๆ • (2) เพื่อจัดเก็บและโอนถ่ายข้อมูลสำคัญส่วนตัวของลูกค้าในการทำธุรกรรม • และ (3) เพื่อรักษาความปลอดภัยในขั้นตอนชำระเงินระหว่างลูกค้าและร้านค้า wichai@buu.ac.th

  35. 8 ระบบชำระเงินใน E-Commerce (ต่อ) การกรอกรายละเอียดลงในแบบฟอร์มแต่ละครั้ง จะต้องใช้เวลาพอสมควร โดยเฉพาะหากผู้ซื้อต้องการสินค้าจากหลายๆเว็บไซต์ ก็จะต้องเสียเวลากรอกข้อมูลใหม่ทุกครั้ง ดังนั้น จึงได้มีการพัฒนาซอฟต์แวร์ E-Wallet ขึ้นมา เพื่อจัดเก็บข้อมูลสำคัญของผู้ซื้อในรูปแบบไฟล์ข้อมูลที่มีการเข้ารหัสเอาไว้เพื่อความปลอดภัย เมื่อผู้ซื้อเข้าไปในเว็บไซต์จำหน่ายสินค้าที่มีซอฟแวร์นี้ติดตั้งอยู่ ก็สามารถโอนถ่ายไฟล์ข้อมูลนี้ไปร้านค้าโดยไม่ต้องเสียเวลากรอกข้อมูลใหม่ ตัวอย่างซอฟแวร์ E-Wallet ที่นิยมใช้งาน เช่น Microsoft’s Passport และ Qwallet เป็นต้น wichai@buu.ac.th

  36. กฎหมายการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์กฎหมายการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ กฎหมายการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ • เป็นกรอบที่กำหนดขึ้นมาให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมปฏิบัติตาม เพื่อให้เกิดความเรียบร้อยในการดำเนินธุรกิจ ในปี พ.ศ. 2541 คณะรัฐมนตรีได้ลงมติเห็นชอบให้มีการจัดทำโครงการพัฒนากฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยมีการจัดตั้งคณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติ ทำหน้าที่ร่างกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสนอให้มีการประกาศบังคับใช้ต่อไป โดยกฎหมายที่คณะกรรมการเสนอขึ้นมามีทั้งหมด 6 ฉบับ ดังนี้ wichai@buu.ac.th

  37. กฎหมายการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (ต่อ) • กฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (เดิมเรียกว่า “กฎหมายแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์”) • กฎหมายว่าด้วยลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ • กฎหมายว่าด้วยการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ • กฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (เดิมเรียกว่า “กฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์”) • กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล • กฎหมายว่าด้วยการพัฒนาโครงการพื้นฐานสารสนเทศ wichai@buu.ac.th

  38. กฎหมายการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (ต่อ) กฎหมายทั้ง 6 ฉบับนั้น มีทั้งการประกาศใช้แล้ว คือ “พระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2544”และ “พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2551” นอกจากนี้ ยังมีกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจ E-commerce เช่น พระราชบัญญัติว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญา และคุ้มครองผู้บริโภค เป็นต้น wichai@buu.ac.th

  39. กฎหมายการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (ต่อ) หมายเหตุ • ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับกฎหมายพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ได้ที่เว็บไซต์ http://www.krisdika.go.th และ http://www.mict.go.th/home/819D38.html • นอกจากปัจจัยด้านกฎหมายแล้ว การทำ E-Commerce ยังต้องคำนึงปัจจัยอื่นๆ อีก เช่น จริยธรรม การละเมิดสิทธิส่วนบุคคลในการเก็บข้อมูล และการหมิ่นประมาท เป็นต้น wichai@buu.ac.th

  40. 9. ข้อดีและข้อเสียของการพัฒนา E-commerce wichai@buu.ac.th

  41. ข้อดีและข้อเสียของการพัฒนา E-commerce ข้อดีของการพัฒนา E-Commerce แบ่งออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่ ด้านองค์กรธุรกิจ ผู้บริโภค และสังคม 1. ด้านองค์กรธุรกิจ (ผู้ประกอบการ) • ช่วยเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้ามากขึ้น โดยสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ทั่วทุกมุมโลก • สามารถประหยัดต้นทุนในการดำเนินงาน เช่น การจัดจ้างพนักงาน การเช่าสถานที่ และการให้ส่วนลดกับพ่อค้าคนกลางจึงทำให้มีผลกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น wichai@buu.ac.th

  42. ข้อดีและข้อเสียของการพัฒนา E-commerce(ต่อ) ด้านองค์กรธุรกิจ (ผู้ประกอบการ) (ต่อ) • สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้โดยตรงและมีประสิทธิภาพ • สามารถจัดการสินค้าคงคลังได้อย่างเหมาะสม เนื่องจากทราบยอดขายก่อนจึงไม่จำเป็นต้องเก็บสินค้าไว้ในคลังสินค้ามากนัก • องค์กรขนาดเล็กก็สามารถดำเนินธุรกิจแข่งขันกับองค์กรขนาดใหญ่ได้ • การบริการหลังการขายทำได้สะดวกขึ้น โดยจะทำผ่านเครื่องมือ เช่น กระดานข่าว (Web board) ห้องสนทนา (Chat) หรืออีเมล์ (E-Mail) เป็นต้น wichai@buu.ac.th

  43. ข้อดีและข้อเสียของการพัฒนา E-commerce(ต่อ) 2. ด้านผู้บริโภค • สามารถสั่งซื้อสินค้าและบริการได้จากทุกที่ทุกเวลาผ่านเว็บไซต์บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต • สามารถซื้อสินค้าและบริการได้ในราคาที่ต่ำกว่าเดิม เนื่องจากผู้ประกอบการมีต้นทุนการดำเนินงานลดลง • สามารถเปรียบเทียบสินค้าและบริการได้สะดวกขึ้น โดยจะทำผ่านเครื่องมือ เช่น กระดานข่าว (Web board) ห้องสนทนา (Chat) หรืออีเมล์ (E-Mail) เป็นต้น wichai@buu.ac.th

  44. ข้อดีและข้อเสียของการพัฒนา E-commerce(ต่อ) ด้านผู้บริโภค (ต่อ) • ประหยัดเวลาในการเดินทางไปเลือกซื้อสินค้าจากหน้าร้านค้า • มีส่วนร่วมในการเจรจาต่อรอง หรือประมูลซื้อขายสินค้าและบริการได้ • สามารถรับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสินค้าและบริการได้ตลอดเวลาผ่านทางบริการอีเมล์ (E-Mail) หรือผ่านทางการเยี่ยมชมในหน้าเว็บขององค์กรธุรกิจนั้น wichai@buu.ac.th

  45. ข้อดีและข้อเสียของการพัฒนา E-commerce(ต่อ) 3. ด้านสังคม • ประชาชนสามารถรับรู้ข่าวสารผ่านทางเทคโนโลยีใหม่ๆ ตลอดเวลาทำให้เกิดการเรียนรู้ และสร้างทักษะความชำนาญได้มากขึ้น • สนับสนุนและส่งเสริมด้านเศรษฐกิจโดยรวม ทำให้มีการเจริญเติบโต มั่งคง และยั่งยืนต่อไป • ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสาธารณะต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เช่น ด้านการศึกษา สุขภาพ และการบริการ ของภาครัฐต่างๆ wichai@buu.ac.th

  46. ข้อเสียของการพัฒนา E-commerce(ต่อ) ข้อเสียของการพัฒนา E-commerce • มาตรฐานด้านสุขภาพ ความปลอดภัย และระดับความน่าเชื่อถือต่อ E-Commerce ยังไม่มีความแน่นอน • ผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่นในคุณภาพของสินค้า เนื่องจากเป็นการซื้อขายสินค้าที่เห็นเพียงแค่รูปภาพเท่านั้น แต่ไม่สามารถเห็นหรือจับต้องสินค้าตัวจริงได้ • E-Commerce ยังเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่บางองค์กรอาจลังเล และไม่กล้านำมาใช้งาน wichai@buu.ac.th

  47. ข้อดีและข้อเสียของการพัฒนา E-commerce(ต่อ) ข้อเสียของการพัฒนา E-commerce (ต่อ) • การประยุกต์ E-Commerce ร่วมกับแอปพลิเคชัน (Application) และฐานข้อมูล (Database) มีความซับซ้อนจำเป็นต้องใช้ทักษะหรืออาศัยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในการพัฒนา • ต้นทุนในการพัฒนาเว็บไซต์ E-Commerce ค่อนข้างสูง ทั้งในด้านซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ การเชื่อมโยงเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ตลอดจนบุคลากรที่คอยดูแลระบบ wichai@buu.ac.th

  48. Questions? wichai@buu.ac.th

  49. Assignment#7 7b คุณต้องการทำการค้าประเภทแผ่นซีดีเพลงทางอินเทอร์เน็ต คุณดำเนินการอย่างไรเรื่องการชำระเงินค่าสินค้า wichai@buu.ac.th

  50. ส วั ส ดี wichai@buu.ac.th

More Related