1 / 36

887110 Introduction to discrete structure บทที่ 4 ฟังก์ชัน (Function)

887110 Introduction to discrete structure บทที่ 4 ฟังก์ชัน (Function). ภาพรวมเนื้อหา. ความหมายของฟังก์ชัน การกำหนดฟังก์ชัน ตรวจสอบการเป็น / ไม่เป็นฟังก์ชัน คำศัพท์เกี่ยวกับฟังก์ชัน คุณสมบัติของฟังก์ชันจาก A ไป B ฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่งจาก A ไป B ฟังก์ชันจาก A ไปทั่วถึง B

ekram
Download Presentation

887110 Introduction to discrete structure บทที่ 4 ฟังก์ชัน (Function)

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. 887110 Introduction to discrete structureบทที่ 4ฟังก์ชัน (Function)

  2. ภาพรวมเนื้อหา • ความหมายของฟังก์ชัน • การกำหนดฟังก์ชัน • ตรวจสอบการเป็น/ไม่เป็นฟังก์ชัน • คำศัพท์เกี่ยวกับฟังก์ชัน • คุณสมบัติของฟังก์ชันจาก A ไป B • ฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่งจาก A ไป B • ฟังก์ชันจาก A ไปทั่วถึง B • ฟังก์ชันสมนัยหนึ่งต่อหนึ่งจาก A ไป B • ฟังก์ชันผกผัน • ฟังก์ชันคอมโพสิท • พีชคณิตของฟังก์ชัน

  3. ความหมายของฟังก์ชัน • ฟังก์ชัน คือ ความสัมพันธ์ซึ่งสองคู่อันดับใดๆ ของความสัมพันธ์นั้น ถ้าสมาชิกตัวหน้าเหมือนกันแล้ว สมาชิกตัวหลังต้องไม่ต่างกัน แทนด้วยf • เขียนเป็นภาษาคณิตศาสตร์ได้เป็น ถ้า (x1,y1)  r และ (x1,y2)  r แล้ว y1 = y2 • ตัวอย่างกำหนด A = {1,2,3,4} และ B = {0,1,2,3,4} ข้อใดเป็นฟังก์ชันจาก A ไป B • f = {(1,0) , (2,1) , (3,2) , (4,3)} • g = {(1,1) , (2,0) , (3,2) , (4,1) , (2,4)} • h = {(1,4) , (2,2) , (3,0)} เป็น ไม่เป็น ไม่เป็น

  4. การกำหนดฟังก์ชัน • กำหนดโดยเซตแบบแจกแจงสมาชิก • กำหนดโดยการบอกเงื่อนไขของสมาชิกในความสัมพันธ์ r เช่น f= {( x , y )  R x R | y = 2x + 1} • กำหนดโดยตารางคู่อันดับ เช่น

  5. การกำหนดฟังก์ชัน (ต่อ) • กำหนดโดยแผนภาพแสดงการจับคู่ระหว่างสมาชิกในเซต A B 1 a 2 b 3 c • กำหนดโดยกราฟ

  6. หลักในการพิจารณาว่าความสัมพันธ์เป็นฟังก์ชันหรือไม่หลักในการพิจารณาว่าความสัมพันธ์เป็นฟังก์ชันหรือไม่ • ถ้าความสัมพันธ์อยู่ในรูปแจกแจงสมาชิก ให้ดูว่าตัวหน้าของคู่อันดับซ้ำกันหรือไม่ ถ้าสมาชิกตัวหน้าของคู่อันดับซ้ำกัน แสดงว่าความสัมพันธ์นั้นไม่เป็นฟังก์ชัน • ถ้าความสัมพันธ์นั้นอยู่ในรูปของการกำหนดเงื่อนไขสมาชิก r = {(x,y) ∈ A× B | P(x,y) } ให้แทนค่าแต่ละสมาชิกของ x ลงในเงื่อนไข P(x,y) เพื่อหาค่า y ถ้ามี x ตัวใดที่ให้ค่า y มากกว่า 1 ค่า แสดงว่าความสัมพันธ์นั้นไม่เป็นฟังก์ชัน • พิจารณาจากกราฟของความสัมพันธ์ โดยการลากเส้นตรงขนานกับแกน y ถ้าเส้นตรงดังกล่าวตัดกราฟของความสัมพันธ์มากกว่า 1 จุด แสดงว่าความสัมพันธ์นั้นไม่เป็นฟังก์ชัน

  7. หลักในการพิจารณาว่าความสัมพันธ์เป็นฟังก์ชันหรือไม่ (ต่อ) • ตัวอย่างการพิจารณาจากกราฟความสัมพันธ์

  8. กิจกรรมที่ 1 • จงพิจารณาว่าความสัมพันธ์ต่อไปนี้เป็นฟังก์ชันหรือไม่ เพราะเหตุใด • y = x2 • |y| = x

  9. คำศัพท์ในเรื่องฟังก์ชันคำศัพท์ในเรื่องฟังก์ชัน กำหนดให้ f เป็นความสัมพันธ์จาก A ไป B โดยที่ f  A x B ถ้า (x,y)  f จะได้ว่า • เซต A คือ โดเมน (Domain) ของ f • เซต B คือ โคโดเมน (Co-Domain) ของ f • เรียก y ว่า อิมเมจ (image) ของ x • เรียก x ว่า พรีอิมเมจ (pre-image) ของ y • พิสัย (range) คือ เซตของค่าในโคโดเมนที่สมาชิกจากโดเมนจับคู่ไปยังค่านั้นจริง (เอาเฉพาะโคโดเมนที่ถูกจับคู่)

  10. ตัวอย่าง • กำหนด fเป็นฟังก์ชันจากเซต A ไปยัง B แผนภาพความสัมพันธ์แสดงดังนี้ A B 1 a 2 b 3 c 4 d 5 โดเมน {1,2,3,4,5} โคโดเมน {a,b,c,d} b เป็น อิมเมจของ 2 2 เป็น พรีอิมเมจของ b พิสัย คือ {a,b,c}

  11. กิจกรรมที่ 2-1 • กำหนดฟังก์ชัน f: PC โดยกำหนดให้ P = {Linda, Max, Kathy, Peter} C = {Boston, New York, Hong Kong, Moscow} f(Linda) = Moscow f(Max) = Boston f(Kathy) = Hong Kong f(Peter) = Moscow จงหาพิสัยของฟังก์ชันนี้ Boston Linda New York Max Hong Kong Kathy Moscow Peter

  12. กิจกรรมที่ 2-2 • กำหนดให้ f : ZR ที่กำหนดโดย f(x) = x2 • โดเมน และ โคโดเมนของฟังก์ชันนี้ • อิมเมจของ -3 • พรีอิมเมจของ 3 • พิสัยของ f(z)

  13. ฟังก์ชันจาก A ไป B • ฟังก์ชันจาก A ไป B fจะเป็นฟังก์ชันจาก A ไป B ก็ต่อเมื่อ fเป็นฟังก์ชันที่มีโดเมนคือเซต A และเรนจ์เป็นสับเซตของเซต B เขียนแทนด้วย f : A  B

  14. คุณสมบัติของฟังก์ชัน • ฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่งจาก A ไป B • ฟังก์ชันจาก A ไปทั่วถึง B • ฟังก์ชันสมนัยหนึ่งต่อหนึ่งจาก A ไป B

  15. ฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่ง (injective function) • ฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่งจาก A ไป B fเป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่งจาก A ไป B ก็ต่อเมื่อ f เป็นฟังก์ชันจาก A ไป B ซึ่งถ้า y  Rfแล้วมี x  Dfเพียงตัวเดียวเท่านั้นที่ทำให้ (x,y)  f หรือกล่าวได้ว่า fเป็น 1-1 จาก A ไป B ก็ต่อเมื่อ สมาชิกทุกตัวในพิสัยมีพรีอิมเมจเพียงตัวเดียว

  16. ตัวอย่าง • เราสามารถพิจารณาคุณสมบัติ 1-1 ของฟังก์ชันได้โดยการพิจารณาจากกราฟแบบมีทิศทาง ดังนี้ . . . . . . . . . . . . . . . . . . ไม่เป็น 1-1 เป็น 1-1

  17. กิจกรรมที่ 3 • จงพิจารณาว่าฟังก์ชันต่อไปนี้มีคุณสมบัติเป็น 1-1 หรือไม่ • กำหนด f ดังนี้ f(Linda) = Moscow , f(Max) = Boston f(Kathy) = Hong Kong , f(Peter) = Boston • กำหนด g ดังนี้ g(Linda) = Moscow , g(Max) = Boston g(Kathy) = Hong Kong , g(Peter) = New York

  18. ฟังก์ชันทั่วถึง (surjection function) • ฟังก์ชันจาก A ไปทั่วถึง B f เป็นฟังก์ชันจาก A ไปทั่วถึง B ก็ต่อเมื่อทุก y  B มี x  A จับคู่อยู่ หรือกล่าวได้ว่า ฟังก์ชัน f จะเป็นฟังก์ชันทั่วถึง ก็ต่อเมื่อ พิสัยเท่ากับ โคโดเมน

  19. ตัวอย่าง • เราสามารถพิจารณาคุณสมบัติ onto ของฟังก์ชันได้โดยการพิจารณาจากกราฟแบบมีทิศทาง ดังนี้ . . . . . . . . . . . . . . . . . . onto ไม่ onto

  20. ฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่งทั่วถึง (Bijection function) • ถ้า f เป็นฟังก์ชันที่มีคุณสมบัติของการเป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่ง และ เป็นฟังก์ชันทั่วถึง เราจะกล่าวได้ว่า fเป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่งทั่วถึง • เมื่อ f เป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่งทั่วถึง เราจะสามารถหาฟังก์ชันผกผัน (Inverse function) ของ fได้ เขียนแทนด้วย f-1

  21. ตัวอย่าง • เราสามารถพิจารณาคุณสมบัติ bijection ของฟังก์ชันได้โดยการพิจารณาจากกราฟแบบมีทิศทาง ดังนี้ . . . . . . . . . . . ไม่เป็น bijection bijection

  22. กิจกรรมที่ 4 • ให้พิจารณาฟังก์ชันที่กำหนดให้ต่อไปนี้ว่ามีคุณสมบัติเรื่องใดบ้าง • F : Z  R กำหนดโดย f(x) = x2 • F : Z  Z กำหนดโดย f(x) = 2x • F : R  R กำหนดโดย f(x) = x3 • F : Z  N กำหนดโดย f(x) = |x|

  23. ฟังก์ชันผกผัน (Inverse Function) • ถ้า f เป็นฟังก์ชันที่แทนความสัมพันธ์จาก A ไป B ฟังก์ชันผกผันของ f เขียนแทนด้วย f-1จะเป็นความสัมพันธ์จาก B ไป A • เขียนแทนด้วย f-1 = {(y,x) | (x,y)  f } • การหาฟังก์ชันผกผัน • ที่ใดมี x แทนด้วย y และที่ใดมี y แทนด้วย x • พยายามทำให้อยู่ในรูป y = f(x)

  24. ตัวอย่าง • กำหนดฟังก์ชันดังนี้ จงหา f-1 f(Linda) = Moscow f(Max) = Boston f(Kathy) = Hong Kong f(Peter) = Sidney f(Helena) = New York f-1 (Moscow) = Linda f-1 (Boston) = Max f-1 (Hong Kong) = Kathy f-1 (Sidney) = Peter f-1 (New York) = Helena เนื่องจากฟังก์ชันนี้เป็น bijectionsดังนั้น เราสามารถหาฟังก์ชันผกผันได้

  25. กิจกรรมที่ 5 • กำหนดให้ f: ZZ และ f(x) = x + 1 จงแสดงว่า f หาฟังก์ชันผกผันได่หรือไม่ ถ้าหาได้ จงหา f-1 • กำหนดให้ f: ZZ และ f(x) = x2 จงแสดงว่า f หาฟังก์ชันผกผันได่หรือไม่ ถ้าหาได้ จงหา f-1

  26. ฟังก์ชันคอมโพสิท (Composite function) • เป็นการกระทำตั้งแต่ 2 ฟังก์ชันขึ้นไป โดยมีลักษณะเหมือนกับการนำฟังก์ชันนั้นมาเชื่อมกัน • กำหนดให้ f เป็นฟังก์ชันจาก A ไป และ g เป็นฟังก์ชันจาก B ไป C เราสามารถสร้างฟังก์ชันจาก A ไป C ได้โดยเขียนแทนด้วย gof(x) = g(f(x)) • เราจะสร้าง gof(x) ได้ก็ต่อเมื่อ โคโดเมนของ f ต้องเป็นสับเซตของโดเมน g

  27. ตัวอย่าง • กำหนดให้ f เป็นฟังก์ชันจาก A ไปยัง A โดยที่ A = {a,b,c} ซึ่ง f(a) = b, f(b) = c และ f(c) = a และ g เป็นฟังก์ชันจาก A = {a,b,c} ไปยัง B = {1,2,3} ซึ่ง g(a) = 3, g(b) = 2 และ g(c) = 1 จงหา gof วิธีทำ gof(a) = g(f(a)) = g(b) = 2 gof(b) = g(f(b)) = g(c) = 1 gof(c) = g(f(c)) = g(a) = 3 แต่เราไม่สามารถหา fog ได้ เนื่องจากพิสัยของ g ไม่เป็นสับเซตของโดแมนของ f

  28. กิจกรรมที่ 6 • กำหนดให้ f และ g เป็นฟังก์ชันจากเซต Z ไปยัง Z ซึ่งกำหนดโดย f(x) = 2x + 3 และ g(x) = 3x + 2 จงหา fog และ gof

  29. Repeated Composition • เมื่อเซตของโดเมนและโคโดเมนเท่ากัน ฟังก์ชันนั้นอาจประกอบเข้ากับตัวเองได้ การประกอบกันของฟังก์ชันตัวเดียวซ้ำๆจะเขียนอยู่ในรูปของการยกกำลังของฟังก์ชัน • แทนด้วยสัญลักษณ์ fn(x) = f  f f … f(x) ซึ่งหมายความว่า f(x) ประกอบกัน n ครั้ง n

  30. ตัวอย่าง • กำหนดให้ f : ZZ , f(x) = x2จงหา f4 f4(x) = x(2*2*2*2) = x16 • กำหนดให้ g : ZZ , g(x) = x+ 1 จงหา gn gn(x) = x + n

  31. การเท่ากันของฟังก์ชันการเท่ากันของฟังก์ชัน • ถ้า f และ g เป็นฟังก์ชันเราจะกล่าวว่า f = g ก็ต่อเมื่อ • โดเมนของ f กับโดเมนของ g เป็นเซตเดียวกัน และ • โคโดเมนของ f กับ โคโดเมนของ g เป็นเซตเดียวกัน และ • f(x) = g(x) ทุก ๆ x ในโดเมน • ตัวอย่าง ให้ f = {(x,y) | x,y R และ y – x = 1} และ g = {(x,y) | x,y  จำนวนเต็มบวก และ y – x = 1} จงหาว่า f = g หรือไม่ วิธีทำ เนื่องจากโดเมนและ โคโดเมนของ f เป็นจำนวนจริง แต่ โดเมน และ โคโดเมนของ g เป็นจำนวนเต็มบวก เราจะเห็นว่า เซตสองเซตนี้มีโดเมน และ โคโดเมนต่างกัน ดังนั้น f  g

  32. พีชคณิตของฟังก์ชัน • คือ การนำฟังก์ชันตั้งแต่ 2 ฟังก์ชันขึ้นไปมาบวก ลบ คูณ หาร กันเพื่อให้ได้ฟังก์ชันใหม่ • การหาผลลัพธ์ของพีชคณิตฟังก์ชัน ทำได้โดยการนำโคโดเมนของคู่อันดับของฟังก์ชันที่มีโดเมนเหมือนกันมา บวก ลบ คูณ หาร กัน • นิยาม กำหนดให้ f และ g เป็นฟังก์ชันในเซตของจำนวนจริง • f + g = {(x,y) | y = f(x) + g(x) และ x  Df  Dg • f – g = {(x,y) | y = f(x) - g(x) และ x  Df  Dg • f . g = {(x,y) | y = f(x) . g(x) และ x  Df  Dg • f / g = {(x,y) | y = f(x) / g(x) และ x  Df  Dg และ g(x)  0

  33. ตัวอย่าง • กำหนด f = {(1,2), (3,8), (5,6), (7,9)} และ g = {(1,6), (2,5), (3,4), (7,3)} จงหา f + g , f – g, f .g และ f/g วิธีทำf+g = {(1,2+6), (3,8+4), (7,9+3)} = {(1,8),(3,12),(7,12)} f-g = {(1,2-6), (3,8-4), (7,9-3)} = {(1,-4),(3,4),(7,6)} f . g={(1,2 6),(3,8 4),(7,9 3)} = {(1,12),(3,32),(7,27)} f /g = {(1,2/6),(3,8/4),(7,9/3)} = {(1,1/3),(3,2),(7,3)} สรุป พีชคณิตของฟังก์ชัน คือ การนำตัวหลังของคู่อันดับที่มีตัวหน้าเหมือนกันมา บวก ลบ คูณ หารกัน แต่ต้องระวัง กรณีการหารต้องไม่ให้ตัวหารเป็นศูนย์

  34. ตัวอย่าง 2 • นิยามฟังก์ชัน h = f.g = {(x,y) | y = f(x) . g(x) สำหรับทุกจำนวนจริง x >1} ถ้า f(x) = และ h(x) = จงหาค่าของ g(5) วิธีทำ จาก h(x) = f(x) . g(x) จะได้ว่า g(x) = h(x) / f(x) จะได้ว่า g(5) = h(5) / f(5) เนื่องจาก h(5) = 1 / 24 และ f(5) = 5/ ดังนั้น g(5) = h(5) / f(5) = =

  35. ฟังก์ชันปัดเศษลง (Floor) • ฟังก์ชันปัดเศษลงของ x เขียนแทนด้วย x หมายถึง จำนวนเต็มที่มากที่สุดที่  x • ตัวอย่างเช่น • 2.3 = 2 • 2 = 2 • 0.5 = 0 • -3.5 = -4

  36. ฟังก์ชันปัดเศษขึ้น (Ceiling) • ฟังก์ชันปัดเศษขึ้นของ x เขียนแทนด้วย x หมายถึง จำนวนเต็มที่น้อยที่สุดที่  x • ตัวอย่างเช่น • 2.3 = 3 • 2 = 2 • 0.5 = 1 • -3.5 = -3

More Related