110 likes | 362 Views
ลัทธิคลาสสิคใหม่ Neoclassical Economics. Mr.Natthapart. ลัทธิคลาสสิคใหม่ หรือ Cambridge School. เกิดขึ้นลังจากลัทธิคลาสสิคประมาณ 114 ปี ( 1890) ผู้นำลัทธิคือ Marshall เป็นการอธิบายทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ ด้วยหลักการทางคณิตศาสตร์และสถิติ
E N D
ลัทธิคลาสสิคใหม่Neoclassical Economics Mr.Natthapart
ลัทธิคลาสสิคใหม่ หรือ Cambridge School • เกิดขึ้นลังจากลัทธิคลาสสิคประมาณ 114 ปี(1890) • ผู้นำลัทธิคือ Marshall • เป็นการอธิบายทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ ด้วยหลักการทางคณิตศาสตร์และสถิติ • เน้นการวิเคราะห์ระบบเศรษฐกิจที่แยกเป็น 2 ทาง คือ การวิเคราะห์ดุลยภาพบางส่วน และดุลยภาพทั่วไป • ใช้หลักการอนุมาณ ในการพัฒนาทฤษฎี • นักเศรษฐศาสตร์คนสำคัญได้แก่ Alfred Marshall(1842 – 1924) J.B.Clark, Irving Fisher , Marie EspitI’eonWalras , Vifredo F.D. Pereto , AuthurcecilPigou
ข้อแตกต่างของลัทธิคลาสสิคใหม่กับลัทธิคลาสสิคข้อแตกต่างของลัทธิคลาสสิคใหม่กับลัทธิคลาสสิค • ทฤษฎีราคา(มูลค่า) • คลาสสิค แบ่งมูลค่าออกเป็น มูลค่าการใช้งานและมูลค่าการแลกเปลี่ยน • คลาสสิคใหม่ เห็นว่าราคาถูกกำหนดด้วยดุลยภาพของอุปสงค์กับอุปทาน ซึ่งต่างฝ่ายจะยึดประโยชน์สูงสุดของตนเอง • การแบ่งสรรรายได้ • คลาสสิค แบ่งสรรรายได้เป็น ดอกเบี้ย ค่าเช่า กำไร และค่าจ้าง • คลาสสิคใหม่ กำหนดการแบ่งสรรรายได้ว่าควรจะกำหนดอย่างไร เท่าไร • ลัทธิการมองในแง่ร้าย(Pessimism) • Ricardo และMaithus อธิบายกฎประชากร ในแง่ร้าย • คลาสสิคใหม่ มองว่าประชากรเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญ นำไปสู่การพัฒนาประเทศ
ทฤษฎีตลาดของ Say • Say : อุปทานสร้างอุปสงค์ • คลาสสิคใหม่ ในระยะสั้นไม่เกิดขึ้น แต่ในระยะยาวอาจเกิดขึ้นได้
Alfred Marshall(1842 – 1924) • ทฤษฎีการกำหนดอุปทานและอุปสงค์ • อธิบายถึงความเกี่ยวข้องด้านเวลา แบ่งออกเป็น 3 ระยะได้แก่ • ระยะเพียงชั่วครู่ (momentary chang) • ระยะสั้น(short run chang) • ระยะยาว(long run chang) • ทฤษฎีส่วนเกินผู้บริโภค(Consumer’s surplus)
ส่วนเกินของผู้บริโภค ราคา ส่วนเกินผู้บริโภคต่อหน่วย = ส่วนที่ผู้บริโภครับ P MU – P a Δ ABP1 = 0P1AQ1 – oPAQ1 A P1 b 0 Q1 ปริมาณ
ส่วนเกินที่ผู้บริโภคได้รับส่วนเกินที่ผู้บริโภคได้รับ • มูลค่าทางสวัสดิการ(welfare value) • ความพอใจสูงสุดที่เรามีกับสินค้านั้นหรือจะเรียนประโยชน์ที่เพิ่มเข้ามานั่นเอง(MU) • ราคาที่ผู้ขายตั้งไว้สูงกว่าเป็นจริงแล้ว ยอมลดให้ผู้ซื้อ
ความยืดหยุ่น(elasticity • การยืดหยุ่นได้แก่ เปอร์เซ็นต์ของการเปลี่ยนแปลงในปริมาณที่มีผู้ต้องการซื้อหารด้วยเปอร์เซ็นต์ของการเปลี่ยนแปลงของราคา
Irving Fisher • ทฤษฎีการแลกเปลี่ยน(Equation of Exchange) MV + M’V’ = PT
J.B. Clark • ทฤษฎีประสิทธิผลเพิ่ม (Marginal Productivity Theory in Distribution) • ประสิทธิผลเพิ่มเพิ่มเป็นตัวกำหนดมูลค่าของปัจจัยการผลิตคนงานเพิ่ม เป็นผู้กำหนดค่าจ้างมาตรฐาน