310 likes | 2.03k Views
อำนาจและการเสริมสร้างอำนาจ Power and Empowerment รศ.ดร.เอก ตั้งทรัพย์วัฒนา ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ. มิติที่ 1 ของอำนาจ : Dahl. A มีอำนาจเหนือ B ตราบเท่าที่ A สามารถทำให้ B ทำในสิ่งที่ A ต้องการได้
E N D
อำนาจและการเสริมสร้างอำนาจPower and Empowermentรศ.ดร.เอก ตั้งทรัพย์วัฒนาภาควิชาการปกครองคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ
มิติที่ 1 ของอำนาจ: Dahl • A มีอำนาจเหนือ B ตราบเท่าที่ A สามารถทำให้ B ทำในสิ่งที่ A ต้องการได้ • เกี่ยวกับการที่ A ประสบความสำเร็จในการพยายามให้ B ทำในสิ่งที่ A ต้องการ = มีการใช้อำนาจที่เกิดขึ้นจริง (exercise of actual power) ที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งแตกต่างจากการครอบครองอำนาจ (possession of power]
ดังนั้น การที่ A มีอำนาจเหนือ B หมายถึง การที่พฤติกรรมหรือการกระทำของ A จะเป็นแบบสม่ำเสมอและคาดเดาได้ว่า จะทำให้ B ทำตามแม้ B จะไม่ต้องการทำก็ตาม • มีพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจริงสังเกตเห็นได้
การศึกษาการใช้อำนาจในทางการเมืองการศึกษาการใช้อำนาจในทางการเมือง • เพื่อที่จะศึกษาถึงการกระทำที่เป็นรูปธรรมของการที่ใครทำอะไรและมีผลต่อผู้ใดนั้น เราจะต้องไปดูที่สถานการณ์ของการตัดสินใจที่จะยอมรับหรือไม่ยอมรับ (จากการใช้อำนาจ) • การที่เราดูว่าบุคคลใดที่สามารถควบคุมการตัดสินใจในเรื่องต่างๆได้นั้น เป็นวิธีการที่ดีที่สุดที่จะบอกว่าคนๆใดหรือกลุ่มๆใดเป็นผู้ที่มีอำนาจเหนือผู้อื่น • ในทางการเมือง เราสามารถไปดูที่การตัดสินใจในนโยบายสาธารณะของรัฐบาล • ดังนั้นมิติที่ 1 ของอำนาจนั้นจำกัดตัวมันเองอยู่ที่ การตัดสินใจที่เกิดขึ้นจริง
ประเด็นที่ขัดแย้งจะเป็นการทดสอบที่ดีของขีดความสามารถในการใช้อำนาจเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ตนเองต้องการประเด็นที่ขัดแย้งจะเป็นการทดสอบที่ดีของขีดความสามารถในการใช้อำนาจเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ตนเองต้องการ • ดังนั้น “การตัดสินใจ” จะเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้น “โดยตรง” อย่าง “ชัดแจ้ง” และ “สังเกตเห็นได้” โดยมี “ประเด็นสำคัญๆ” ที่เป็นกรณีพิพาทที่ไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้น • ความขัดแย้งจะเกิดขึ้นท่ามกลางความต้องการ (preferences) ที่แตกต่างของแต่ละคน ดังนั้นแต่ละคนจะตระหนักในความต้องการของตนเอง
มิติที่ 2 ของอำนาจ: Bachrach and Baratz • การไม่ตัดสินใจในฐานะที่เป็นการตัดสินใจแบบหนึ่ง (non-decision making as decision-making) = การกลบความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้น โดยป้องกันและกีดกันไม่ให้ประเด็นต่างๆ เข้ามาสู่วาระของการตัดสินใจ • ถ้าบุคคลใดหรือกลุ่มใด สามารถกีดกันไม่ให้การตัดสินใจในความขัดแย้งทางนโยบายเข้ามาเป็นวาระของการตัดสินใจได้ คนหรือกลุ่มนั้นๆจะถือว่ามีอำนาจ
การไม่ตัดสินใจ (non-decision) คือ “การตัดสินใจในรูปแบบหนึ่งที่ทำให้เกิดการกีดกันไม่ให้เกิดการท้าทาย ทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อผลประโยชน์ของผู้ที่ทำการตัดสินใจ” • ดังนั้นการไม่ตัดสินใจคือ วิธีการที่จะทำให้ความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงหยุดก่อนที่มันจะเกิด ซึ่งก็คือการกันประเด็นแห่งความขัดแย้งไม่ให้เข้ามาเกี่ยวข้องกับเวทีการตัดสินใจ • การที่ A ป้องกันความขัดแย้งโดยกันไม่ให้ความต้องการของ B กลายมาเป็นประเด็นทางการเมืองที่ต้องมีการตัดสินใจ เท่ากับ A ประสบความสำเร็จในการทำให้ตนเองไม่ถูกท้าทายหรือสูญเสียผลประโยชน์ของตน
มิติแรกจะเน้นที่ความขัดแย้งแบบชัดแจ้ง แต่ในมิติที่สองนี้จะครอบคลุมไปถึงความขัดแย้งที่ซ่อนเร้นด้วย เท่ากับว่ามิติที่สอง • ซ่อนเร้นเพราะอะไร? • แม้ความขัดแย้งจะซ่อนเร้น แต่ก็สามารถสังเกตเห็นได้ (observable) เพราะแม้ว่าจะไม่มีความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจริงเพราะความขัดแย้งได้ถูกกีดกันไปก่อนจากการไม่ตัดสินใจ แต่การไม่ตัดสินใจที่ทำให้เกิดผลในการกีดกันความขัดแย้งไม่ให้เกิดขึ้นมานั้นก็เป็น “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง”
ความไม่เปลี่ยนแปลงก็สามารถถูกสัเกตเห็นได้ว่ามันไม่เปลี่ยนแปลงความไม่เปลี่ยนแปลงก็สามารถถูกสัเกตเห็นได้ว่ามันไม่เปลี่ยนแปลง • เหมือนกับมิติแรก เพราะเชื่อว่าผลประโยชน์จะถูกเรียกร้อง โดยผู้เรียกร้องมีความตระหนักในสิ่งที่ตนเองต้องการ
มิติที่ 3 ของอำนาจ: Lukes • การสร้างอุดมการณ์หรือความคิดความเชื่อเพื่อครอบงำ • A อาจมีอำนาจเหนือ B โดยทำให้ B ทำในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากทำ (มิติที่ 1) หรือกีดกันเรื่องต่าง ๆ ออกไปจากการตัดสินใจ (มิติที่ 2) แต่ที่เหนือไปกว่านั้นคือ A สามารถที่จะมีอิทธิพล หล่อหลอม และกำหนด ความคิดความต้องการของ B • การใช้อำนาจในขั้นสูงสุดคือ การทำให้คนอื่นๆมีความต้องการตรงกับสิ่งที่เราต้องการ ซึ่งก็คือการควบคุมความคิดและความต้องการของคนนั่นเอง
การป้องกันไม่ให้ผู้อื่นขัดแย้งกันตนโดยการหล่อการรับรู้และความต้องการของผู้อื่น เพื่อให้ยอมรับในสิ่งที่เราต้องการนั้น อาจทำได้โดย • ทำให้รู้สึกว่าไม่มีทางเลือกอื่น • ทำให้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องปกติตามธรรมชาติและเปลี่ยนแปลงไม่ได้ • ทำให้รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและมีประโยชน์
ในมิติที่ 3 ต้องศึกษาความขัดแย้งไปถึงความขัดแย้งที่ซ่อนเร้นและแฝงฝังอยู่ ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นเป็นเหตุการณ์ที่สังเกตเห็นได้ • ทำไมถึงแฝงฝังอยู่และสังเกตเห็นไม่ได้? • มิติที่3 พิจารณาว่าผลประโยชน์ยังมีในรูปแบบของผลประโยชน์ที่แท้จริง ซึ่งแม้แต่ตัวผู้ได้รับผลประโยชน์เองอาจจะไม่แสดงออก เรียกร้อง หรือตระหนักในผลประโยชน์ที่แท้จริงนั้นๆ(ต่างกับ 2 มิติแรกที่เราจะตระหนักในผลประโยชน์ของตนเอง)
และเปลี่ยนความคิดเห็นประสบการณ์ที่ได้สัมผัสกับการใช้อำนาจตามมิติที่ 1 2 และ 3
มิติที่ 4ของอำนาจ:Foucault • อำนาจ การต่อต้าอำนาจ และการเสริมสร้างอำนาจ (Power, Resistance, and Empowerment) • 2 ด้านของเหรียญเดียวกันระหว่างอำนาจและการต่อต้านอำนาจ การเสริมสร้างอำนาจ • วาทกรรม (Discourse) = การสื่อสารภายใต้ภาษา/การรับรู้ที่ถูกสร้างขึ้น • การผสมผสานระหว่างการสร้างความรู้ (Knowledge) และความจริง (Truth) ให้คนรับรู้ + เครือข่ายสถาบันทางในการใช้อำนาจของรัฐ อำนาจ/ความรู้ (Power/knowledge)
มิติที่ 4ของอำนาจ:Foucault • การสถาปนาวาทกรรมลงในตัวบุคคลที่ทำให้บุคคลเป็นตัวตน (Subject) ที่ทุกกระทำ (โดยตัวเอง) = การสร้างวาทกรรมเพื่อให้คนที่อยู่ใต้วาทกรรมทำการกำกับตัวเอง = เราเป็นตัวตนที่ถูกกระทำโดยตัวเราเอง (จากวาทกรรมที่ถูกสร้างขึ้นมา) • อำนาจ = การผสานระหว่างวาทกรรม ความรู้ ความจริง และตัวอำนาจเอง • แต่อำนาจเกิดขึ้นได้จากขั้วที่แตกต่างเพราะอำนาจเกิดขึ้นมาพร้อมกับการต่อต้านอำนาจ
ในขณะที่มีอำนาจเกิดขึ้นจะมีการกดทับผู้ที่/สิ่งที่มีอำนาจน้อยกว่าไปด้วยในตัว เช่น สิ่งที่ถูกคิดว่าดีจะกดทับสิ่งที่ถูกคิดว่าเลว • ในวาทกรรมหลักครอบงำจะมีวาทกรรมรองซึ่งถูกกดทับอยู่ และจำทำให้เกิดการการต่อต้านขึ้นมา เพราะฉะนั้นอำนาจและการต่อต้านก็คือ 2 ด้านของเหรียญเดียวกัน เพราะอำนาจ/วาทกรรมถูกสร้างขึ้นมาจากการต่อต้าน • การต่อต้านอำนาจ (จากวาทกรรมรอง) ที่มีต่ออำนาจ (วาทกรรมหลัก) ในลักษณะ 2 ด้านของเหรียญ ทำ
การต่อต้านอำนาจ (จากวาทกรรมรอง) ที่มีต่ออำนาจ (วาทกรรมหลัก) ภายใต้ 2 ด้านของเหรียญเดียวกัน ทำให้อำนาจมีลักษณะที่ลื่นไหลและเปลี่ยนแปลงจากการต่อต้านอำนาจอยู่ตลอดเวลา • การสะสมการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้อำนาจกับผู้ถูกใช้อำนาจที่มีอยู่ตลอดเวลา จะทำให้อำนาจของผู้มีอำนาจสั่นคลอนลง Empowerment (ที่มาจากการต่อต้าน)
ตัวอย่างของ Micro-politics + อาวุธของผู้ที่อ่อนแอกว่า • ปัญหาระหว่าง Empowerment กับ Mob rule แลกเปลี่ยนความคิดเห็นประสบการณ์จากการการต่อต้านอำนาจ