1 / 51

Immunity System

ระบบภูมิคุ้มกัน. Immunity System. ระบบของร่างกายที่มีกลไกการป้องกันและทำลายเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอม. เชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกายแล้วทำให้ร่างกายเกิดปฏิกิริยาต่อต้าน. แอนติเจน. แบคทีเรีย. เชื้อรา. สารเคมี. ฝุ่นละออง. เกสรดอกไม้. ไวรัส. กลไกการป้องกัน. ผิวหนัง.

Download Presentation

Immunity System

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. ระบบภูมิคุ้มกัน Immunity System ระบบของร่างกายที่มีกลไกการป้องกันและทำลายเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอม เชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกายแล้วทำให้ร่างกายเกิดปฏิกิริยาต่อต้าน แอนติเจน แบคทีเรีย เชื้อรา สารเคมี ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ ไวรัส กลไกการป้องกัน ผิวหนัง เซลล์เม็ดเลือดขาว ระบบน้ำเหลือง

  2. ด่านแรกที่ทำหน้าที่ป้องกันร่างกายจากเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมด่านแรกที่ทำหน้าที่ป้องกันร่างกายจากเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม ผิวหนังไม่ฉีกขาด ไม่เป็นรอยแผล ผิวหนัง กรดแลกติกที่ปนกับเหงื่อสามารถป้องกันการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย แอนติเจนบางชนิดอาจเข้าสู่ร่างกาย บริเวณต่อมเหงื่อ และรูขุมขน

  3. Skin Structures Epidermis Dermis subcutaneous tissue www.med.cmu.ac.th/.../human/lesson/lesson4.php

  4. Sweat gland Keratin Epidermis Melanin หนังกำพร้า Collagen เส้นเลือด / เส้นประสาท Elastic Cellulite เซลล์ไขมัน หนังแท้ ชั้นไขมัน ต่อมไขมัน ต่อมเหงื่อ เส้นขน Dermis subcutaneous tissue www.sweathelp.org/english/PFF_Hyperhidrosis_O...

  5. ช่องเปิด และท่อต่างๆภายในร่างกาย ด่านแรกที่ทำหน้าที่ป้องกันร่างกายจากเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม บุด้วยเยื่อบุผิว น้ำลาย ช่องปาก B ไม่ก่อโรค มีหลายชั้นทำให้แอนติเจนบางชนิดผ่านไม่ได้ ช่องจมูก ซิเลีย กระเพาะอาหาร ช่องคอ โบกพัดแอนติเจน B ไม่ก่อโรค ท่อทางเดินหายใจ กลไกป้องกัน ท่อปัสสาวะ กรดอ่อนๆ หลั่งเมือกเหนียวเพื่อดักจับแอนติเจน เยื่อบุอวัยวะสืบพันธุ์ น้ำตา เยื่อบุตาและเปลือกตา ลำไส้ใหญ่ B ไม่ก่อโรค ช่องคลอด ผิวหนัง B ไม่ก่อโรค

  6. น้ำเลือด เม็ดเลือดแดง เพลตเลต เซลล์เม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดขาว (Leucocyte หรือ White blood corpuscle) ปกติจะใหญ่กว่าเซลล์เม็ดเลือดแดงเกือบ 2 เท่า ไม่มีสี เพราะไม่มีฮีโมโกลบิน เซลล์ลีบเล็กผ่านผนังของเส้นเลือดฝอยออกมาได้ เซลล์เม็ดเลือดขาวจะมีอายุสั้น ประมาณ 2 - 6 วัน (บางชนิดอาจมีอายุ 100 - 300 วัน) เซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์เม็ดเลือดขาว เซลล์เม็ดเลือดขาว มีหน้าที่โอบล้อมและจับกินเชื้อโรคแบบฟาโกไซโตซิส (phagocytosis) และอาจสร้างแอนติบอดี (antibody) ออกมาต่อต้านและทำลายสิ่งแปลกปลอม http://medlib.med.utah.edu/WebPath/TUTORIAL/IRON/IRON002.html Access date : 23/09/04 

  7. แหล่งสร้างเม็ดเลือดขาวแหล่งสร้างเม็ดเลือดขาว สร้างจาก ไขกระดูกสีแดง (red bone marrow) ต่อมน้ำเหลือง ต่อมไทมัส และม้าม (การสร้างขึ้นอยู่กับระดับของสเตอร์รอยด์ฮอร์โมนจากต่อมหมวกไตชั้นนอก) กาจำแนกชนิดเซลล์ของเม็ดเลือดขาวแบบที่ 1 ของไลโซโซมจำนวนมากในไซโทพลาสซึม ตามลักษณะของอนุภาคเล็กๆ (granule) 1. พวกแกรนูลโลไซต์ มีอายุประมาณ 2 - 4 วัน พวกที่มีแกรนูลของไลโซโซมจำนวนมากในไซโทพลาสซึม พวกนี้จะสร้างมาจากไขกระดูก - นิวโตรฟิล (neutrophil) - บาโซฟิล (basophil) - อีโอซิโนฟิล (eosinophil หรือ acidophil)

  8. 2. พวกอะแกรนูลโลไซต์ มีอายุประมาณ 100 - 300 วัน 5 - 6 วัน เป็นพวกที่ไม่มีแกรนูลของไลโซโซมอยู่ในโตพลาสซึม พวกนี้ถูกสร้างไขกระดูกและจากอวัยวะน้ำเหลือง ได้แก่ ต่อมไทมัส ต่อมน้ำเหลือง ม้าม - โมโนไซต์ (monocyte) - ลิมโฟไซต์ (lymphocyte) การจำแนกชนิดเซลล์เม็ดเลือดขาวแบบที่ 2 ในปัจจุบัน มีการจำแนกชนิดของเซลล์เม็ดเลือดขาวตามหน้าที่ เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1. ฟาโกไซโตซิส (phagocytosis) 2. ลิมโฟไซต์ (lymphocyte) - ลิมโฟไซต์ชนิด B (B - lymphocyte) หรือ B - cell - ลิมโฟไซต์ชนิด T (T - lymphocyte) หรือ T - cell

  9. 1. ฟาโกไซโตซิส (phagocytosis) เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำลายเชื้อโรคโดยวิธี phagocytosis พวกนี้จะเจริญพัฒนาที่ไขกระดูก และอวัยวะน้ำเหลือง บางชนิดมีนิวเคลียสขนาดใหญ่ บางชนิดมีแกรนูลจำเพาะ 1. พวกแกรนูลโลไซต์ สร้างมาจากไขกระดูก มีมาก 60 - 70 % เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวประเภทแรกที่ร่างกายใช้กำจัดสิ่งแปลกปลอม และเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว เมื่อย่อยสิ่งแปลกปลอมโดยเฉพาะแบคทีเรียและเนื้อเยื่อที่ตายแล้วนิวโทรฟิลจะตายด้วย จากนั้นจะรวมตัวกันกลายเป็นหนอง หรือPusและนูนขึ้นมาจากผิวหนังกลายเป็น ฝี รูปภาพแสดงลักษณะการติดสีของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด neutrophil http://hsc.usf.edu/2005/bloodpictures.html   Access date : 6/02/04

  10. Acidophilแอซิโดฟิล 1. ฟาโกไซโตซิส (phagocytosis) รูปภาพแสดงลักษณะการติดสีของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด eosinophil สร้างมาจากไขกระดูก ทำหน้าที่กำจัดสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้ามาในร่างกาย สารโปรไฟบริโนไลซิน มี 2 - 4 % เลือดคงสภาพเป็นของเหลว สร้างมาจากไขกระดูก 1. พวกแกรนูลโลไซต์ เลือกกินเฉพาะองค์ประกอบรวมของแอนติเจน - แอนติบอดี (antigen - antibody complex) เท่านั้น ทำลายสารที่เป็นพิษที่ทำให้เกิดการแพ้สารของร่างกายเช่นโปรตีนในอาหาร ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ พบจำนวนมากขึ้นเมื่อเกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ และเมื่อเกิดการติดเชื้อปรสิต เช่น หนอนพยาธิ http://www.med.univ-angers.fr/discipline/lab_hema/img_hema/sn6.jpg Access date : 6/2/04

  11. 1. ฟาโกไซโตซิส (phagocytosis) ทำหน้าที่จับสิ่งแปลกปลอมโดยวิธีฟาโกไซโตซิส แต่ความสามารถจะด้อยกว่า ทำหน้าที่หลั่งสาร haparin เป็นสารที่ป้องกันการแข็งตัวของเลือด 1. พวกแกรนูลโลไซต์ มี 0.5 - 1% สร้างมาจากไขกระดูก มีสาร ฮีสตามีน ปล่อยเมื่อเนื้อเยื่อเกิดการบาดเจ็บ และตอบสนองปฏิกิริยาภูมิแพ้ รูปภาพแสดงลักษณะการติดสีของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด basophil http://image.bloodline.net/stories/storyReader$1586 Access date : 9/3/05

  12. 1. ฟาโกไซโตซิส (phagocytosis) รูปภาพแสดงลักษณะการติดสีของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด monocyte มีประมาณ 3 - 5 % มีอายุ 5 - 6 วัน สามารถแบ่งตัวเองเพื่อกินสิ่งแปลกปลอมเพิ่ม มีขนาดใหญ่ กินแบคทีเรียบางชนิดได้ดี และกินเชื้อโรคที่มีขนาดใหญ่ Macrophage 2. พวกอะแกรนูลโลไซต์ ทำหน้าที่กำจัดสิ่งแปลกปลอมด้วยวิธีฟาโกไซโตซิส มีความสามารถสูงพอๆกับ neutrophil

  13. 2. ลิมโฟไซต์ (lymphocyte) รูปภาพแสดงลักษณะการติดสีของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด lymphocyte - ลิมโฟไซต์ชนิด B (B - lymphocyte) หรือ B - cell เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวที่สร้างสาร antibodyขึ้นมาต่อต้านสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรค Immunity การสร้างภูมิคุ้มกันทางด้านฮิวเมอรัล ภูมิคุ้มกัน มีประมาณ 20 - 25 % 2. พวกอะแกรนูลโลไซต์ - ลิมโฟไซต์ชนิด T (T - lymphocyte) หรือ T - cell การสร้างภูมิคุ้มกันทางด้านเซลล์ มีแกรนูลแต่ย้อมไม่ค่อยติดสี

  14. การทำงานของเม็ดเลือดขาวการทำงานของเม็ดเลือดขาว 1. phagocytosis เป็นวิธีทำลายเชื้อโรคโดยการกินและย่อยสลายเชื้อโรค 2. immunization เม็ดเลือดขาวบางชนิดจะสร้างสารพวกโปรตีน ที่มีคุณสมบัติต่อต้านสิ่งแปลกปลอมและเชื้อโรค ทำให้แอนติเจนเกาะกันเป็นก้อน จึงหมดความเป็นพิษ หรืออาจถูกทำลายด้วยเซลล์เม็ดเลือดขาวได้ สารที่สร้างขึ้น เรียกว่า antibody เราสามารถใช้ปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาวช่วยในการวินิจฉัยความผิดปกติ ในร่างกายได้ สิ่งแปลกปลอม เรียกว่า antigen

  15. รูปภาพแสดงลักษณะการติดสีของเกล็ดเลือดรูปภาพแสดงลักษณะการติดสีของเกล็ดเลือด ชิ้นส่วนของไซโทพลาสซึมของเซลล์เมกะคาริโอไซต์ในไขกระดูกขาดออกเป็นชี้นๆ ขนาดเล็ก รูปร่างไม่แน่นอน ทำหน้าที่ควบคุมการแข็งตัวของเลือดเมื่อเกิดบาดแผลโดยการสร้างเอนไซม์ทรอมโบพลาสติน http://www.med-ed.virginia.edu/courses/path/innes/nh/platelets.cfm Access date : 28/09/04  

  16. ระบบน้ำเหลือง (lymphatic system)  เป็นระบบลำเลียงสารต่าง ๆ ให้กลับเข้าสู่เส้นเลือด สร้างเม็ดเลือด ช่วยป้องกันโรค และคืนโปรตีนกลับสู่หลอดเลือด น้ำเหลือง ท่อน้ำเหลือง อวัยวะน้ำเหลือง น้ำเหลือง Lymph เป็นของเหลวที่ซึมผ่านผนังเส้นเลือดฝอยออกมาอยู่ระหว่างเซลล์หรือรอบ ๆ เซลล์ เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ ท่อน้ำเหลือง ส่วนประกอบของน้ำเหลืองคล้ายกับในเลือด พบ ฮอร์โมน เม็ดเลือดขาวแต่ไม่มีเม็ดเลือดแดง มีโปรตีน โมเลกุลเล็ก เช่น อัลบูมิน และสารที่มีโมเลกุลเล็ก ๆ เช่น ก๊าซ น้ำ น้ำตาลกลูโคส

  17. ท่อน้ำเหลือง Lymph vessel เป็นท่อที่ติดต่อกันทั่วร่างกายปลายสุดของท่อปิดตันมีขนาดต่าง ๆ กัน ท่อน้ำเหลืองขนาดใหญ่ ท่อน้ำเหลือง ท่อน้ำเหลืองฝอย lymph vessels lymphatic capillary เอออร์ตา อาร์เตอรี อาร์เตอริโอล หัวใจ เส้นเลือดฝอย เวนาคาวา เวน เวนูล ท่อน้ำเหลืองฝอย ท่อน้ำเหลืองขนาดใหญ่ ท่อน้ำเหลือง บริเวณคอ thoracic duct ท่อน้ำเหลืองทอราซิก ท่อน้ำเหลืองทางด้านขวาของลำตัว Right lymphatic duct

  18. ท่อน้ำเหลืองฝอย lymphatic capillary น้ำเหลือง บริเวณหลอดเลือดฝอยจะมีของเหลวซึมผ่านออกไปสู่พื้นที่ระหว่างเซลล์ (intercellular space) อยู่โดยรอบเสมอ Lymph ของเหลวเหล่านี้ส่วนใหญ่จะซึมกลับคืนสู่หลอดเลือดได้เอง แต่บางส่วนจะถูกระบายเข้าสู่ระบบน้ำเหลือง โดยเฉพาะส่วนที่เป็นสารอาหารหรือของเสียที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ เริ่มจากการซึมผ่านเข้าสู่หลอดน้ำเหลืองฝอย (lymph capillary) มีลักษณะเป็นท่อปลายปิดตันแทรกอยู่ระหว่างกลุ่มหลอดเลือดฝอย ทำหน้าที่รวบรวมน้ำเหลืองแล้วจึงลำเลียงในทิศทางเดียวเข้าสู่หลอดน้ำเหลืองที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ท่อน้ำเหลือง lymph vessels

  19. lymph vessels ท่อน้ำเหลือง มีลักษณะคล้ายเส้นเลือดเวน คือมีลิ้นกั้นป้องกันการไหลกลับของน้ำเหลือง (lymph node) ต่อมน้ำเหลือง ระหว่างทางจะมี คั่นอยู่เป็นระยะๆเพื่อทำหน้าที่กรองและกำจัดสิ่งแปลกปลอมบางชนิด จากนั้นจึงระบายเข้าสู่ ท่อน้ำเหลืองขนาดใหญ่ thoracic duct ท่อน้ำเหลืองทอราซิก ท่อน้ำเหลืองทางด้านขวาของลำตัว Right lymphatic duct

  20. ท่อน้ำเหลืองขนาดใหญ่ thoracic duct ท่อน้ำเหลืองทอราซิก ท่อน้ำเหลืองขนาดใหญ่ที่สุด ทำหน้าที่รับน้ำเหลืองจากส่วนต่างๆของร่างกายอยู่ทางซ้ายของลำตัว ยกเว้นน้ำเหลืองจากทรวงอกขวา แขนขวา และส่วนขวาของหัวกับคอ Venacava Heart Cell Capillary Right lymphatic duct ท่อน้ำเหลืองทางด้านขวาของลำตัว รับน้ำเหลืองจากทรวงอกขวา แขนขวา และส่วนขวาของหัวกับคอ Venacava Heart Cell Capillary

  21. การไหลไปตามท่อน้ำเหลืองอาศัยปัจจัย 3 ประการ คือ 1. การหดและคลายตัวของกล้ามเนื้อซึ่งเป็นผนังของท่อน้ำเหลือง ความแตกต่างระหว่างความดันไฮโดรสเตติก (ท่อน้ำเหลืองขนาดเล็ก > ท่อน้ำเหลืองขนาดใหญ่) 2. การหายใจเข้า ซึ่งไปมีผลขยายทรวงอกและลดความดันทำให้ท่อน้ำเหลืองขยายตัวทิศทางการไหลของน้ำเหลืองจะไหลเข้าสู่หัวใจทางเดียว โดยภายในท่อน้ำเหลืองมีลิ้นคอยกั้นการไหลกลับของน้ำเหลือง 3. น้ำเหลืองมีอัตราการไหลภายในท่อน้ำเหลืองที่ช้ามาก ประมาณ 1.5 มิลลิเมตรต่อนาที

  22. ระบบน้ำเหลือง (lymphatic system) อวัยวะน้ำเหลือง ต่อมทอนซิล ต่อมน้ำเหลือง ต่อมไทมัส ต่อมน้ำเหลือง ต่อมน้ำเหลือง เป็นศูนย์กลางในการผลิตเซลล์ที่ใช้ในการต่อต้านเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอม ม้าม เนื้อเยื่อน้ำเหลืองที่ลำไส้เล็ก ไขกระดูก

  23. Thonsil gland อวัยวะน้ำเหลือง ต่อมทอนซิล เป็นกลุ่มของต่อมน้ำเหลืองมีอยู่ 3 คู่คู่ที่สำคัญอยู่รอบๆหลอดอาหาร ส่วนล่างของเพดานปาก บริเวณผนังด้านหลังจากจมูกด้านใน ด้านหลังโคนลิ้น พาลาไทน์ทอนซิล นาโสฟาริงก์เจียลทอนซิล ลิงกวลทอนซิล ต่อมน้ำเหลืองที่อยู่โพรงด้านหลังจมูก 1-3,4 ปี อากาศและอาหารจะผ่านเข้าสู่ร่างกายบริเวณคอหอย ดังนั้น จึงต้องมีกลไกควบคุม ภายในต่อมทอนซิลจะมีลิมโฟไซต์ทำลายจุลินทรีย์ที่ติดผ่านเข้ามากับอากาศในระบบทางเดินหายใจไม่ให้เข้าสู่หลอดอาหารและกล่องเสียง แหล่งที่มา http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/thumb/9/95/Tonsillitis.jpg/250px-Tonsillitis.jpg

  24. ถ้าต่อมทอนซิลติดเชื้อจะมีอาการบวมขึ้น เรียกว่า โรคต่อมทอนซิลอักเสบ ส่วนล่างของเพดานปาก พาลาไทน์ทอนซิล ต่อมนี้จะอักเสบเมื่อติดเชื้อจุลินทรีย์ จึงขยายใหญ่บวมแดง อาจมีฝ้า หนองเกิดขึ้นด้วย โรคต่อมทอนซิลอักเสบ แหล่งที่มา http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/thumb/9/95/Tonsillitis.jpg/250px-Tonsillitis.jpg

  25. อวัยวะน้ำเหลือง ต่อมไทมัส สร้างไทโมซินฮอร์โมนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการสร้างระบบภูมิต้านทานของร่างกาย เป็นต่อมที่มีขนาดใหญ่ตอนอายุน้อย และถ้าอายุมากจะเล็ก ลง และฝ่อในที่สุด ทำหน้าที่สร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวกลุ่มลิมโฟไซต์ที่มาจากไขกระดูกแล้วเจริญไปเป็นชนิดเซลล์ Tที่ต่อมไทมัสนี้ เป็นต่อมไร้ท่ออยู่ตรงทรวงอกรอบเส้นเลือดใหญ่ของหัวใจ มีหน้าที่ต่อต้านเชื้อโรคและสารแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย รวมทั้งการต้านอวัยวะที่ปลูกถ่ายจากผู้อื่นด้วย ซึ่งจะถูกปล่อยออกสู่กระแสเลือดและน้ำเหลืองตามส่วนต่างๆของร่างกาย www.antiagingenergy.org/th/image/thymusgland.jpg

  26. อวัยวะน้ำเหลือง ท่อน้ำเหลือง ภายในเต็มไปด้วยเม็ดเลือดขาวชนิดโฟไซต์ มีลักษณะคล้ายฟองน้ำทำให้น้ำเหลืองซึมผ่านได้ พบอยู่ระหว่างทางเดินของท่อน้ำเหลืองทั่วไปในร่างกาย เช่น คอ รักแร้ โคนขาลักษณะเป็นรูปไข่ กลม หรือรี เชื้อโรคเข้าทางแขนหรือทางนิ้วมือ ต่อมน้ำเหลือง ต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้บวมโต ต่อมน้ำเหลืองบริเวณโคนขาบวมโต หรือ ไข่ดันบวม เชื้อโรคเข้าทางเท้าหรือขา www.fkk.ac.th/.../science/namo/Biology/body.jpg ด้านล่างเป็นภาพจาก: kair008.exteen.com/20090705/entry

  27. อวัยวะน้ำเหลือง Spleen ในระยะเอ็มบริโอม้ามมีหน้าที่สร้างเม็ดเลือด ม้าม ในระยหลังคลอด ทำลายเม็ดเลือดแดงและเกล็ดเลือดที่หมดอายุแล้ว นุ่มมีสีม่วง อยู่ด้านหลังกระเพาะอาหารใต้กระบังลมด้านซ้าย รูปร่างคล้ายเมล็ดถั่ว ในสภาพผิดปกติ สามารถสร้างเม็ดเลือดแดงได้ เช่น มะเร็งเม็ดเลือด เป็นอวัยวะน้ำเหลืองที่ใหญ่ที่สุด มีเส้นเลือดมาเลี้ยงมากมายไม่มีท่อน้ำ เหลืองเลย สามารถยืดหดได้ สร้างเม็ดเลือดขาว พวกลิมโฟไซต์ และโมโนไซต์ www.nkgen.com/spleen.jpg

  28. อวัยวะน้ำเหลือง เนื้อเยื่อน้ำเหลืองที่ลำไส้ เนื้อเยื่อน้ำเหลืองในชั้นใต้เยื่อบุลำไส้ GALT (gut- associated lymphocyte tissue) เป็นอวัยวะน้ำเหลืองอย่างหนึ่งที่ช่วยให้ร่างกายสามารถต่อต้านและกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกายได้ GALT มีเซลล์ทำหน้าที่สอดแนม (sensor) สามารถบอกได้ว่าเชื้อนั้นเป็นเชื้อดี จะไม่สร้างความต้านทานมากำจัด ในโพรงลำไส้มีเชื้อแบคทีเรียหลากหลาย ซึ่งเซลล์จะต้องแยกแยะให้ออกว่าเป็นเชื้อดีหรือเชื้อร้าย แต่ถ้าเป็นเชื้อร้ายก็จะสร้างsecretory IgAออกมากำจัด เชื้อดีจึงเกาะฉาบบนชั้นเยื่อเมือกหยุดยั้ง แย่งการเกาะจับของเชื้อก่อโรค

  29. ภูมิคุ้มกันของร่างกายมนุษย์ภูมิคุ้มกันของร่างกายมนุษย์ 1. ภูมิคุ้มกันโดยกำเนิด (Innate immunity) 1.1 เหงื่อ มีกรดแลกติกป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายทางผิวหนัง 1.2 หลอดลม โพรงจมูก มีขน ซิเลีย และน้ำเมือกดักจับสิ่งแปลกปลอม 1.3 กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กมีเอนไซม์ 1.4 น้ำลาย น้ำตา น้ำมูก มีไลโซไซม์ ทำลายจุลินทรีย์ได้

  30. 2. ภูมิคุ้มกันจำเพาะ (Acquird immunity) การสร้างระบบภูมิคุ้มกันเพื่อต่อต้านเฉพาะโรคของมนุษย์มี 2 วิธี 2.1 ภูมิคุ้มกันก่อเอง (Active immunization) เป็นการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันโดยการนำสารแอนติเจนมาฉีด กิน ทาที่ผิวหนังเป็นผลให้เมื่อร่างกายได้รับเชื้อนั้นอีกก็จะไม่เป็นโรคนั้น เพราะร่างกายมีภูมิคุ้มกันแล้ว เกิดจากการนำเชื้อโรคที่อ่อนกำลัง ซึ่งเรียกว่า วัคซีน (vaccine) มาฉีด กิน ทา เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างแอนติบอดีต่อต้านเชื้อนั้นๆ 2.1.1 วัณโรค โปลิโอ หัด หัดเยอรมัน และคางทูม วัคซีนที่เป็นสารพิษจากจุลินทรีย์และหมดความเป็นพิษแล้ว เรียกว่า ทอกซอยด์(toxoid) สามารถกระตุ้นให้สร้างภูมิคุ้มกันได้ โรคคอตีบ บาดทะยัก 2.1.2 วัคซีนที่ได้จากจุลินทรีย์ที่ตายแล้ว เช่น โรคไอกรน ไทฟอยด์ อหิวาตกโรค 2.1.3 เมื่อร่างกายถุกกระตุ้นจนสร้างภูมิคุ้มกันได้แล้ว ภูมิคุ้มกันนี้จะอยู่ได้นาน ข้อดี ระยะเวลาที่ร่างกายต้องถูกกระตุ้นจนสร้างภูมิคุ้มกันได้จะยาวนานประมาณ 4 – 7 วัน บางโรคอาการอาจรุนแรงเกินกว่าจะรอได้ ข้อเสีย

  31. 2.2 ภูมิคุ้มกันรับมา (Passive immunization) เป็นการให้แอนติบอดีหรือภูมิคุ้มกันแก่ผู้ป่วยโดยตรง เพื่อต่อต้านโรคที่แสดงอาการรุนแรงเฉียบพลันในทันที ทำให้ผู้ป่วยรอดตาย ซึ่งภูมิคุ้มกันนี้ต้องเตรียม ซีรัม หรือ เซรุ่ม(Serum)ผลิตจากการฉีดเชื้อโรคหรือพิษที่อ่อนกำลังเข้าในสัตว์บางชนิด เช่น ม้า กระต่าย ลา เพื่อให้ร่างกายของสัตว์สร้างแอนติบอดีออกมา 2.2.1 เมื่อเลือดนั้นมีปริมาณแอนติบอดีที่เหมาะสม ก็จะนำเลือดมากรองเอาเฉพาะส่วนที่เป็นน้ำใสๆออกมาใช้ เพราะจะมีแอนติบอดีละลายอยู่ แล้วนำซีรัมของสัตว์ที่มีแอนติบอดีรักษาโรคในมนุษย์ เช่น โรคพิษสุนัขบ้า , การแก้พิษงู 2.2.2 ภูมิคุ้มกันที่แม่ให้ลูกผ่านทางรกและน้ำนมหลังคลอดก็จัดเป็นภูมิคุ้มกันรับมา เช่นกัน เป็นภูมิคุ้มกันที่สามารถให้กับผู้ป่วยได้โดยตรง กับบางโรคที่มีอาการอาจรุนแรงต้องการรับภูมิคุ้มกันทันที ข้อดี หลังใช้ควรติดตามอาการของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด เพราะบางรายอาจเกิดอาการแพ้เซรุ่มจากสัตว์ได้ ข้อเสีย ควรตรวจสอบอายุของเซรุ่มก่อนนำไปใช้ เพราะภูมิคุ้มกันนี้จะอยู่ได้ไม่นาน

  32. การให้วัคซีนแก่เด็กในวัยต่างๆการให้วัคซีนแก่เด็กในวัยต่างๆ โรคหัด

  33. การให้วัคซีนแก่เด็กในวัยต่างๆการให้วัคซีนแก่เด็กในวัยต่างๆ หลังจากนี้ให้วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก ทุก 10 ปี

  34. 1. เพราะเหตุใดเด็กแต่ละคนจึงต้องฉีดวัคซีนป้องกันโรคหลายชนิด  ร่างกายของมนุษย์มีภูมิคุ้มกันตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาโดย ภูมิคุ้มกันก่อเอง - ร่างกายทารกสามารถสร้างแอนติบอดีได้เองบางส่วน แต่ทำได้เพียงเล็กน้อย - ได้รับแอนติบอดีจากแม่ทางสายสะดือ ภูมิคุ้มกันรับมา  เมื่อคลอดออกมาแล้ว จะได้รับภูมิคุ้มกันต่อไปอีก ภูมิคุ้มกันรับมา - ได้รับน้ำนมแม่ในระยะหลังคลอด ซึ่งจะมีภูมิคุ้มกันโรคบางชนิด เช่น โรคหัด แต่ภูมิคุ้มกันนี้มีระยะเวลาทำงานสั้นและไม่ครอบคลุมโรคบางอย่าง และร่างกายทารกยังไม่มีภูมิคุ้มกันโรคติดเชื้ออื่นๆ ดั้งนั้นพ่อแม่จึงต้องนำลูกไปรับวัคซีนเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันเฉพาะโรคเป็นระยะตั้งแต่แรกเกิด เมื่อร่างกายได้รับวัคซีนป้องกันโรคชนิดใดก็ตาม ถ้าร่างกายได้รับเชื้อนั้นอีกจะมีโอกาสเป็นโรคนั้นได้อีกหรือไม่ เพราะเหตุใด 2. อาจจะไม่มีโอกาสเป็น หรือมีโอกาสเป็นอีกก็ได้ ขึ้นอยู่กับระยะของภูมิคุ้มนั้นโรคนั้นๆ  การฉีดวัคซีนเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายสร้าง Antibody ตอบสนองต่อวัคซีนทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกัน เมื่อได้รับเชื้อนั้นอีกครั้งจะมีไม่มีโอกาสเป็นโรคนั้นได้อีก เช่น โรคคางทูม อีสุกอีใส

  35. - ภูมิต้านทานที่สร้างเองตามธรรมชาติ บางชนิดอยู่ในร่างกายตลอดชีวิตเช่น โรคหัด อีสุกอีใส หรือบางชนิดอาจจะอยู่ในร่างกายได้นาน เช่น คอตีบ ไอกรน บาดทะยัก(ทุก 10 ปี) - โรคบางชนิด เช่น โรคหัดไม่จำเป็นต้องฉีดใน 6 เดือนแรกหลังคลอด เพราะเด็กมีภูมิคุ้มกันที่ได้รับมาจากแม่ วัคซีนโรคหัด - วัคซีนบางชนิดที่เตรียมจากเชื้อที่อ่อนกำลังลงจะมีภูมิคุ้มกันในระยะเวลายาวนาน - วัคซีนบางชนิดที่เตรียมจากเชื้อที่ตายแล้วจะมีภูมิคุ้มกันในระยะเวลาจำกัดเพียง 6 – 2 ปี เช่น ไทฟอยด์ อหิวาห์ตกโรค พิษสุนัขบ้า ไข้หวัดใหญ่  วัคซีนบางชนิดฉีดเพียงครั้งเดียวก็สามารถป้องกันโรคได้  แต่โรคบางชนิดเมื่อเวลาผ่านไปความเข้มข้นของ Antibody ในเลือดจะลดลงเรื่อยๆ จึง จำเป็นต้องฉีดวัคซีนป้องกันโรคบางชนิดเป็นระยะๆ(ที่ต่อเนื่องกัน) เพราะบางชนิดมีระยะเวลา ในการคุ้มกันร่างกายจากโรคไม่เท่ากัน เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างAntibodyในเลือดให้มีความเข้มข้นเพียงพอสำหรับต่อต้านการติดเชื้อ การฉีดวัคซีนต้องคำนึงถึงวัยของเด็กด้วย เช่น วัคซีน BCGป้องกันวัณโรค ต้องฉีดทันทีหลังคลอด เพราะทารกในไทยมีความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อวัณโรคตั้งแต่แรกเกิด   หญิงตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการรับวัคซีนที่เตรียมจากจุลินทรีย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ เพราะอาจเข้าสู่ตัวทารกและไปเจริญเติบโตเป็นอันตรายต่อทารกได้

  36. 3. เมื่อเด็กอายุเกินกว่า 6 ปี กำหนดให้รับวัคซีนใดโดยเฉพาะอีกหรือไม่ เพราะเหตุใด  เมื่อเด็กอายุเกินกว่า 6ปี กำหนดให้รับวัคซีนใดโดยเฉพาะอีก เพราะโรคบางชนิดต้องได้รับการกระตุ้นเป็นระยะๆ เพื่อให้ร่างกายสร้าง Antibodyขึ้นมาอีก เช่น คอตีบไอกรน บาดทะยักไทฟอยด์ อหิวาห์ตกโรคพิษสุนัขบ้าไข้หวัดใหญ่ อื่นๆ  กรณีที่ผู้ใหญ่บางคนไม่มีภูมิคุ้มกันในโรคนั้นๆ มาก่อนก็สามารถรับวัคซีน เพื่อกระตุ้นร่างกายให้สร้าง Antibodyขึ้นมา เช่น วัคซีนไวรัสตับอักเสบ อีสุกอีใส อื่นๆ  กรณีที่บางโรคเป็นโรคที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนทำให้ร่างกายไม่มีภูมิคุ้มกันในโรคนั้นๆ เช่น โรคไข้หวัด 2009อื่นๆ  กรณีที่เกิดโรคระบาดผู้ใหญ่บางคนไม่มีภูมิคุ้มกันในโรคนั้นๆ มาก่อนก็สามารถรับวัคซีน เพื่อกระตุ้นร่างกายให้สร้าง Antibodyขึ้นมา เช่นวัคซีน BCG ป้องกันวัณโรค

  37. Allergy ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน 1. โรคภูมิแพ้มีสาเหตุมาจากอะไร แสดงอาการอย่างไร และมีวิธีป้องกันอะไรบ้าง สาเหตุ โปรตีนหรือสารก่อภูมิแพ้Allergen ร่างกายมีปฏิกิริยากับจากสิ่งแวดล้อม ร่างกายมีปฏิกิริยากับโปรตีนหรือสารก่อภูมิแพ้จากสิ่งแวดล้อม ซึ่งปกติจะไม่มีอันตรายสำหรับผู้ที่ไม่แพ้ สิ่งแวดล้อม สร้างภูมิที่เรียกว่า IgE antibody Mast cell อาการ Basophil จะเกิดตามอวัยวะต่างๆ เช่นลมพิษที่ผิวหนัง คัดจมูก แน่นหน้าอกเนื่องจากหอบหืด บางรายอาจจะรุนแรงถึงกับเสียชีวิตได้ Anaphylaxis shock Histamin เนื้อเยื่อต่าง เช่น ผิวหนัง ปอด จมูก ลำไส้ ทำให้เกิดการอักเสบของอวัยวะต่างๆ www.look4thailand.com/.../uploads/2009/03/7.gif

  38. กรรมพันธุ์ ผู้ที่มีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัว สิ่งแวดล้อมของเด็ก ในขวบปีแรกสำคัญมาก การสัมผัสควันบุหรี่ ไรฝุ่น เกสรดอกไม้ อื่นๆ การมีเชื้อ lactobacillusในลำไส้ สาเหตุ การรับประทานอาหารสำเร็จรูป การติดเชื้อไวรัสในวัยเด็ก การอาศัยใกล้ฟาร์มสัตว์ ตัวไร Mite การป้องกัน การหลีกเลี่ยง หรือนำสิ่งที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ ออกจากสิ่งแวดล้อมใกล้ตัว เป็นการรักษา ที่สำคัญที่สุดในการรักษาโรคภูมิแพ้ ซึ่งจะทำให้ลดอาการของโรคภูมิแพ้ และลดปริมาณการใช้ยาลงได้ http://www.bloggang.com/

  39. โรคร่างกายสร้างภูมิต้านทานเนื้อเยื่อตนเองมีสาเหตุมาจากอะไร แสดงอาการอย่างไร และมีวิธีป้องกันอะไรบ้าง 2. โรค เอส แอล อี (Systemic Lupus Erythematosus - SLE) หรือโรคลูปุส / ลูปัส (มีชื่อเป็นภาษาไทยว่า "โรคแพ้ภูมิคุ้มกันตัวเอง") เป็นโรคที่เกิดจากภูมิต้านทานในร่างกายของเราชนิดหนึ่ง ภูมิต้านทานในร่างกายของเราชนิดหนึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงไปซึ่งปกติจะมีหน้าที่จับและทำลายสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคจากภายนอกร่างกาย แปรเปลี่ยนเป็นต่อต้านและทำลายอวัยวะต่างๆ ในร่างกายเสียเอง จนทำให้อวัยวะเกิดการอักเสบอย่างต่อเนื่องและเรื้อรัง ขึ้นกับว่าจะจับอวัยวะใด ANTIBODIES เช่น ถ้าจับที่ผิวหนัง ก็จะทำให้เกิดผื่น จับกับเยื่อหุ้มข้อ ก็จะเกิด ข้ออักเสบขึ้น จัดเป็นโรคที่เรื้อรังชนิดหนึ่ง ถ้าจับกับไตก็จะทำให้เกิด การอักเสบของไต

  40. ในปัจจุบันเรายังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของโรค เอส แอล อี แน่ชัด แต่มี หลักฐานที่บ่งบอกว่าจะเกิดจากปัจจัยเหล่านี้ร่วมกัน คือ สาเหตุ กรรมพันธุ์ นอกจากนี้เรายังทราบว่ามีปัจจัยบางอย่างที่ทำให้ผู้ป่วยที่เป็น หรือมีโอกาสเป็นโรค เอส แอล อี มีอาการรุนแรงขึ้นเช่น ฮอร์โมนเพศหญิง ภาวะติดเชื้อบางชนิดโดยเฉพาะเชื้อไวรัส แสงแดดโดยเฉพาะ แสงอุลตร้าไวโอแลต การตั้งครรภ์ ยาบางชนิด แสดงออกได้หลากหลายลักษณะ อาจมีอาการเฉียบพลันและรุนแรง หรือมีอาการค่อยเป็นค่อยไปเป็นระยะเวลานานหลายปี มีอาการแสดงออกของอวัยวะในร่างกายพร้อมๆ กันหรือแสดงออกเพียงทีละหนึ่งอวัยวะก็ได้ และมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ อาการ http://www.thaihealth.or.th/node/9795

  41. เมื่อไรควรสงสัยว่าเป็นโรค เอส แอล อี 3. เมื่อมีผมร่วงมากขึ้น 1. เมื่อมีไข้ไม่ทราบสาเหตุ นานเป็นเดือน 4. เมื่อมีอาการบวมตามหน้าตามเท้า 2. เมื่อมีผื่นคันที่หน้าโดยเฉพาะเวลาถูกแสงแดด 5. เมื่อมีอาการปวดบวมตามข้อ สภาพการเกิดโรคหรือสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคยังไม่ทราบแน่ชัด การป้องกัน การรักษา ทั้งผู้ป่วยและแพทย์จะต้องมีความเข้าใจลักษณะของโรคที่ถูกต้องดังต่อไปนี้ ความต่อเนื่องและสม่ำเสมอของการรักษาผู้ป่วยโดยเฉพาะในช่วง 2 ปีแรก ในปัจจุบันมียาปฏิชีวนะดี ๆที่สามารถควบคุมภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อของผู้ป่วยได้ดีกว่าสมัยก่อน ทำให้ความอยู่รอดของผู้ป่วย เอส แอล อีในปัจจุบันดีกว่าสมัยก่อนมาก สิ่งสำคัญในการรักษาโรค เอส แอล อี ซึ่งเป็นโรคเรื้อรังขึ้นอยู่กับ การเลือกใช้ยาที่ถูกต้อง ทั้งชนิด ขนาด และการให้ยาตามจังหวะของโรค แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การปฏิบัติตัวที่ดีของผู้ป่วย การมารับการตรวจรักษาสม่ำเสมอตามนัด และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และพยาบาลอย่างเคร่งครัด

  42. 3 โรคเอดส์มีสาเหตุมาจากอะไร แสดงอาการอย่างไร และมีวิธีป้องกันอะไรบ้าง AIDS Acquired Immune Deficiency Syndrome สาเหตุ เป็นกลุ่มอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นเพราะร่างกายได้รับเชื้อไวรัส HIV เช่น วัณโรคในปอด หรือต่อมน้ำเหลือง เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อรา โรคผิวหนังบางชนิด หรือเป็นมะเร็งบางชนิดได้ง่ายกว่าคนปกติ ซึ่งจะเข้าไปทำลาย เม็ดเลือดขาว ที่เป็นแหล่งสร้าง ภูมิคุ้มกันโรค โรคฉวยโอกาส ทำให้ภูมิคุ้มกันโรคลดน้อยลง จึงทำให้ติดเชื้อโรคฉวยโอกาสแทรกซ้อนเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น ซึ่งสาเหตุของการเสียชีวิตมักเกิดขึ้นจากโรคติดเชื้อฉวยโอกาสต่างๆ เหล่านี้ ทำให้อาการจะรุนแรง และเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว

  43. การร่วมเพศ ทารกติดเชื้อจากแม่ที่มีเชื้อเอดส์ การรับเชื้อทางเลือด อาการ ระยะที่ 1 : ระยะที่ไม่ปรากฏอาการAsymptomatic stage • ผู้ติดเชื้อจะมีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีอาการผิดปกติแต่อย่างใด ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะอยู่ในระยะนี้ และบางคนไม่ทราบว่า ตัวเองติดเชื้อ จึงอาจแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น ระยะที่ 2 : ระยะที่มีอาการ Symptomatic stage ในอัตราร้อยละ 30 • 2.1 ระยะเริ่มปรากฏอาการ • Symptomatic HIV Infection • ภายหลังจากได้รับเชื้อประมาณ 7-8 ปี • อาการที่พบคือ มีเชื้อราในปาก • ต่อมน้ำเหลืองโต • งูสวัด มีไข้ ท้องเสีย น้ำหนักลด • มีตุ่มคันบริเวณผิวหนัง

  44. ระยะที่ 2.2 ระยะโรคเอดส์เต็มขั้น หรือที่ภาษาทางการเรียกว่า โรคเอดส์ AIDS • ระยะโรคเอดส์ เป็นระยะที่มีภูมิต้านทานลดลงมาก ทำให้ติดโรคติดเชื้อฉวยโอกาสได้ง่ายขึ้น เช่น วัณโรคจะมีอาการไข้เรื้อรัง ไอเป็นเลือด หอบ น้ำหนักลด ปอดบวมจากเชื้อPneumocystis Cariniiจะมีไข้ ไอแห้งๆ หอบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ จากเชื้อ Cryptococcusจะมีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง คอแข็ง คลื่นไส้อาเจียน เชื้อราในทางเดินอาหาร จะมีอาการเจ็บคอ กลืนลำบากมะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Non-Hodgkin's Lymphoma) มะเร็งหลอดเลือด (Kaposi's Sarcoma) อาการเป็นจ้ำสีม่วงแดงหรือคล้ำตามผิวหนัง ในคนไทยพบน้อยมาก www.nstlearning.com/aids/images/aids1.gif

  45. รักเดียว ใจเดียว หากจะมีเพศสัมพันธ์กับหญิง ควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ที่มีเพศสัมพันธ์ ขอรับบริการปรึกษา เรื่อง โรคเอดส์ ก่อนแต่งงาน และก่อนที่จะมีบุตรทุกท้อง ไม่ดื่มเหล้า และงดใช้สารเสพติดทุกชนิด การป้องกัน AIDS • - ผู้มีพฤติกรรมเสี่ยง และต้องการรู้ว่าตนเองติดเชื้อเอดส์หรือไม่ • - ผู้ที่ตัดสินใจจะมีคู่ หรืออยู่กินฉันท์สามีภรรยา • - ผู้ที่สงสัยว่า คู่นอนของตนจะมีพฤติกรรมเสี่ยง • - ผู้ที่คิดจะมีบุตร ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของแม่และลูก • - ผู้ที่ต้องการข้อมูลสนับสนุนเรื่องความปลอดภัย และสุขภาพของร่างกาย เช่น ผู้ที่ต้องไปทำงานในต่างประเทศ (บางประเทศ) ใครบ้างที่ควรตรวจหาเชื้อเอดส์ ขณะนี้ยังไม่มียารักษาโรคเอดส์ให้หายได้ ยาที่ใช้ปัจจุบันจะช่วยยับยั้ง ไม่ให้ไวรัสเอดส์เพิ่มจำนวนมากขึ้น ในร่างกายผู้ติดเชื้อ และผู้ป่วยเอดส์จะมีสุขภาพแข็งแรง สามารถทำงานได้ตามปกติ การรักษา

  46. ตารางแสดงชนิดแอนติเจนและแอนติบอดีของการจัดหมู่เลือดระบบ ABO ตารางแสดงชนิดแอนติเจนและแอนติบอดีของการจัดหมู่เลือดระบบ Rh

  47. รูปภาพแสดงลักษณะสเมียร์เลือดติดสีแดงเกินไปรูปภาพแสดงลักษณะสเมียร์เลือดติดสีแดงเกินไป รูปภาพแสดงลักษณะสเมียร์เลือดติดน้ำเงินเกินไป http://www.haematologica.it/abstr/erice848.html  Access date : 23/09/04 http://www.medinfo.ufl.edu/year1/histo/images/ Access date : 24/09/04 

  48. รูปภาพตัวอย่างแสดงตะกอนสบนสเมียร์เลือดรูปภาพตัวอย่างแสดงตะกอนสบนสเมียร์เลือด รูปภาพตัวอย่างแสดงสเมียร์เลือดติดสีซีดหรือไม่ติดสี http://www.lamp.med.umn.edu/Summer02-Spring03/Year2_Period6/04_LabPreviews/blood3/bld3006.htm Access date : 1/12/04 http://www.academic.marist.edu/~jzmz/methods/segneutrophil.html Access date : 12/03/05

  49. รูปภาพประกอบวิธีการย้อมสีสเมียร์เลือดด้วยวิธี manual

More Related