620 likes | 715 Views
Good morning welcome to Calvary Chapel at the Bridge สวัสดีตอนเช้าขอต้อนรับสู่ โบสถ์แคล'วะรีแชพ'เพิลที่สะพาน. John ยอห์น Chapter 3. 1 Now there was a man of the Pharisees named Nicodemus, a ruler of the Jews. 1 มีชายคนหนึ่งในพวกฟาริสีชื่อนิโคเดมัส เป็นขุนนางของพวกยิว.
E N D
Good morning welcome to Calvary Chapel at the Bridgeสวัสดีตอนเช้าขอต้อนรับสู่โบสถ์แคล'วะรีแชพ'เพิลที่สะพาน
1Now there was a man of the Pharisees named Nicodemus, a ruler of the Jews. 1มีชายคนหนึ่งในพวกฟาริสีชื่อนิโคเดมัสเป็นขุนนางของพวกยิว
2This man came to Jesus by night and said to Him, “Rabbi, we know that you are a teacher come from God, for no one can do these signs that you do unless God is with him.”
2ชายผู้นี้ได้มาหาพระเยซูในเวลากลางคืนทูลพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์เจ้าข้าพวกข้าพเจ้าทราบอยู่ว่าท่านเป็นครูที่มาจากพระเจ้าเพราะไม่มีผู้ใดกระทำหมายสำคัญซึ่งท่านได้กระทำนั้นได้นอกจากว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย”
3Jesus answered him, “Truly, truly, I say to you, unless one is born again he cannot see the kingdom of God.” 3พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่ผู้นั้นจะเห็นแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้”
4Nicodemus said to Him, “How can a man be born when he is old? Can he enter a second time into his mother's womb and be born?” 4นิโคเดมัสทูลพระองค์ว่า “คนชราแล้วจะบังเกิดใหม่อย่างไรได้จะเข้าในครรภ์มารดาครั้งที่สองและบังเกิดใหม่ได้หรือ”
5Jesus answered, “Truly, truly, I say to you, unless one is born of water and the Spirit, he cannot enter the kingdom of God. 5พระเยซูตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่จากน้ำและพระวิญญาณผู้นั้นจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้
6That which is born of the flesh is flesh, and that which is born of the Spirit is spirit. 6ซึ่งบังเกิดจากเนื้อหนังก็เป็นเนื้อหนังและซึ่งบังเกิดจากพระวิญญาณก็เป็นวิญญาณ
7Do not marvel that I said to you, ‘You must be born again.’ 7อย่าประหลาดใจที่เราบอกท่านว่าท่านทั้งหลายต้องบังเกิดใหม่
8The wind blows where it wishes, and you hear its sound, but you do not know where it comes from or where it goes. So it is with everyone who is born of the Spirit.”
9Nicodemus said to Him, “How can these things be?” 9นิโคเดมัสทูลพระองค์ว่า “เหตุการณ์อย่างนี้จะเป็นไปอย่างไรได้”
10Jesus answered him, “Are you the teacher of Israel and yet you do not understand these things? 10พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ท่านเป็นอาจารย์ของชนอิสราเอลและท่านยังไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้หรือ
11Truly, truly, I say to you, we speak of what we know, and bear witness to what we have seen, but you do not receive our testimony. 11เราบอกความจริงแก่ท่านว่าพวกเราพูดสิ่งที่เรารู้และเป็นพยานถึงสิ่งที่เราได้เห็นแต่ท่านทั้งหลายหาได้รับคำพยานของเราไม่
12If I have told you earthly things and you do not believe, how can you believe if I tell you heavenly things? 12ถ้าเราบอกท่านทั้งหลายถึงสิ่งฝ่ายโลกและท่านไม่เชื่อถ้าเราบอกท่านถึงสิ่งฝ่ายสวรรค์ท่านจะเชื่อได้อย่างไร
13No one has ascended into heaven except He who descended from heaven, the Son of Man. 13ไม่มีผู้ใดได้ขึ้นไปสู่สวรรค์นอกจากท่านที่ลงมาจากสวรรค์คือบุตรมนุษย์
14And as Moses lifted up the serpent in the wilderness, so must the Son of Man be lifted up, 14โมเสสได้ยกงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารฉันใดบุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้นฉันนั้น
Numbers กันดารวิถี 21:6-96Then the LORD sent fiery serpents among the people, and they bit the people, so that many people of Israel died. 6และพระเจ้าก็ทรงให้งูแมวเซามาในหมู่ประชาชนงูก็กัดประชาชนและคนอิสราเอลตายมาก
7And the people came to Moses and said, “We have sinned, for we have spoken against the LORD and against you. Pray to the LORD, that he take away the serpents from us.” So Moses prayed for the people.
7และประชาชนมาหาโมเสสกล่าวว่า “เราทั้งหลายได้กระทำบาปเพราะเราทั้งหลายได้บ่นว่าพระเจ้าและบ่นว่าท่านขอทูลแด่พระเจ้าขอพระองค์ทรงนำงูไปจากเราเสีย” ดังนั้นโมเสสจึงอธิษฐานเพื่อประชาชน
8And the LORD said to Moses, “Make a fiery serpent and set it on a pole, and everyone who is bitten, when he sees it, shall live.”
8และพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงทำงูแมวเซาตัวหนึ่งติดไว้ที่เสาทุกคนที่ถูกงูกัดเมื่อเขามองดูเขาจะยังมีชีวิตอยู่ได้”
9So Moses made a bronze serpent and set it on a pole. And if a serpent bit anyone, he would look at the bronze serpent and live.
9ดังนั้นโมเสสจึงทำงูทองสัมฤทธิ์ตัวหนึ่งและติดไว้ที่เสาแล้วถ้างูกัดคนใดถ้าเขามองดูงูทองสัมฤทธิ์นั้นเขาก็มีชีวิตอยู่ได้9ดังนั้นโมเสสจึงทำงูทองสัมฤทธิ์ตัวหนึ่งและติดไว้ที่เสาแล้วถ้างูกัดคนใดถ้าเขามองดูงูทองสัมฤทธิ์นั้นเขาก็มีชีวิตอยู่ได้
14And as Moses lifted up the serpent in the wilderness, so must the Son of Man be lifted up, 14โมเสสได้ยกงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารฉันใดบุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้นฉันนั้น
15that whoever believes in Him may have eternal life. 15เพื่อทุกคนที่วางใจในพระองค์จะได้ชีวิตนิรันดร์”
16“For God so loved the world, that He gave His only Son, that whoever believes in Him should not perish but have eternal life. 16เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกจนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์
17For God did not send his Son into the world to condemn the world, but in order that the world might be saved through Him. 17เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลกมิใช่เพื่อพิพากษาลงโทษโลกแต่เพื่อช่วยกู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น
18Whoever believes in Him is not condemned, but whoever does not believe is condemned already, because he has not believed in the name of the only Son of God.
18ผู้ที่วางใจในพระบุตรก็ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษส่วนผู้ที่มิได้วางใจก็ต้องถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้วเพราะเขามิได้วางใจในพระนามพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า18ผู้ที่วางใจในพระบุตรก็ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษส่วนผู้ที่มิได้วางใจก็ต้องถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้วเพราะเขามิได้วางใจในพระนามพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า
19And this is the judgment: the light has come into the world, and people loved the darkness rather than the light because their deeds were evil.
19หลักการพิพากษามีอย่างนี้คือความสว่างได้เข้ามาในโลกแล้วแต่มนุษย์ได้รักความมืดมากกว่ารักความสว่างเพราะกิจการของเขาเลวทราม19หลักการพิพากษามีอย่างนี้คือความสว่างได้เข้ามาในโลกแล้วแต่มนุษย์ได้รักความมืดมากกว่ารักความสว่างเพราะกิจการของเขาเลวทราม
20For everyone who does wicked things hates the light and does not come to the light, lest his deeds should be exposed. 20เพราะทุกคนที่ประพฤติชั่วก็เกลียดความสว่างและไม่มาถึงความสว่างด้วยกลัวว่าการกระทำของตนจะปรากฏ
21But whoever does what is true comes to the light, so that it may be clearly seen that his deeds have been carried out in God.” 21แต่ผู้ที่ประพฤติชอบก็มาสู่ความสว่างเพื่อให้เห็นว่าการกระทำของเขานั้นได้กระทำโดยพึ่งพระเจ้า
John ยอห์น 19:38-42 38After these things Joseph of Arimathea, who was a disciple of Jesus, but secretly for fear of the Jews, asked Pilate that he might take away the body of Jesus, and Pilate gave him permission. So he came and took away His body.
38หลังจากนี้โยเซฟชาวอาริมาเธียซึ่งเป็นสาวกลับๆของพระเยซูเพราะเขากลัวพวกยิวก็ได้ขอพระศพพระเยซูจากปีลาตและปีลาตก็ยอมให้โยเซฟจึงมาอัญเชิญพระศพพระองค์ไป38หลังจากนี้โยเซฟชาวอาริมาเธียซึ่งเป็นสาวกลับๆของพระเยซูเพราะเขากลัวพวกยิวก็ได้ขอพระศพพระเยซูจากปีลาตและปีลาตก็ยอมให้โยเซฟจึงมาอัญเชิญพระศพพระองค์ไป
39Nicodemus also, who earlier had come to Jesus by night, came bringing a mixture of myrrh and aloes, about seventy-five pounds in weight.
39ฝ่ายนิโคเดมัสซึ่งตอนแรกไปหาพระองค์ในเวลากลางคืนนั้นก็มาด้วยเขานำเครื่องหอมผสมคือมดยอบกับกฤษณาหนักประมาณสามสิบกว่ากิโลกรัมมาด้วย39ฝ่ายนิโคเดมัสซึ่งตอนแรกไปหาพระองค์ในเวลากลางคืนนั้นก็มาด้วยเขานำเครื่องหอมผสมคือมดยอบกับกฤษณาหนักประมาณสามสิบกว่ากิโลกรัมมาด้วย
40So they took the body of Jesus and bound it in linen cloths with the spices, as is the burial custom of the Jews. 40เขาอัญเชิญพระศพพระเยซูลงมาเอาผ้าป่านกับเครื่องหอมพันพระศพนั้นตามธรรมเนียมฝังศพของพวกยิว
41Now in the place where He was crucified there was a garden, and in the garden a new tomb in which no one had yet been laid. 41ในตำบลที่พระองค์ถูกตรึงที่กางเขนนั้นมีสวนแห่งหนึ่งในสวนนั้นมีอุโมงค์ฝังศพใหม่ที่ยังไม่ได้ฝังศพผู้ใดเลย
42So because of the Jewish day of Preparation, since the tomb was close at hand, they laid Jesus there. 42เพราะวันนั้นเป็นวันเตรียมของพวกยิวและเพราะอุโมงค์นั้นอยู่ใกล้เขาจึงบรรจุพระศพพระเยซูไว้ที่นั่น
John ยอห์น 3:2222After this Jesus and His disciples went into the Judean countryside, and He remained there with them and was baptizing.
22หลังจากนั้นพระเยซูก็เสด็จเข้าไปในแคว้นยูเดียกับสาวกของพระองค์และทรงประทับที่นั่นกับเขาและทรงให้บัพติศมา22หลังจากนั้นพระเยซูก็เสด็จเข้าไปในแคว้นยูเดียกับสาวกของพระองค์และทรงประทับที่นั่นกับเขาและทรงให้บัพติศมา
23John also was baptizing at Aenon near Salim, because water was plentiful there, and people were coming and being baptized 23ยอห์นก็ให้บัพติศมาอยู่ที่อายโนนใกล้หมู่บ้านสาลิมเพราะที่นั่นมีน้ำมากและผู้คนก็พากันมารับบัพติศมา
24(for John had not yet been put in prison). 24เพราะยอห์นยังไม่ติดคุก
25Now a discussion arose between some of John's disciples and a Jew over purification. 25เกิดการโต้เถียงกันขึ้นระหว่างสาวกของยอห์นและยิวผู้หนึ่งเรื่องการชำระมลทิน
26And they came to John and said to him, “Rabbi, he who was with you across the Jordan, to whom you bore witness—look, he is baptizing, and all are going to him.”
26สาวกของยอห์นจึงไปหายอห์นและพูดว่า “อาจารย์เจ้าข้าท่านที่อยู่กับอาจารย์ที่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างตะวันออกผู้ที่อาจารย์เป็นพยานถึงนั้นนี่แน่ะท่านผู้นั้นให้บัพติศมาและผู้คนต่างก็พากันไปหาท่าน”
27John answered, “A person cannot receive even one thing unless it is given him from heaven. 27ยอห์นตอบว่า “ไม่มีมนุษย์ผู้ใดได้รับสิ่งใดเลยนอกจากที่พระเจ้าทรงประทานจากสวรรค์ให้เขา