640 likes | 2.32k Views
ทฤษฎีและแนวคิดการพัฒนา (Development Theory and Concepts). กลุ่มทฤษฎีกระแสหลัก. Modernization Theory (1950-1960). ประเด็นทฤษฎีภาวะทันสมัย ( Modernization Theory ) มุ่งสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ด้วย : - กระบวนการพัฒนาอุตสาหกรรม - การจัดโครงสร้างทางการเมือง
E N D
ทฤษฎีและแนวคิดการพัฒนา(Development Theory and Concepts) กลุ่มทฤษฎีกระแสหลัก Modernization Theory (1950-1960)
ประเด็นทฤษฎีภาวะทันสมัย (Modernization Theory) มุ่งสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ด้วย : - กระบวนการพัฒนาอุตสาหกรรม - การจัดโครงสร้างทางการเมือง - การบริหารแบบประเทศตะวันตก วัดผล : การเพิ่มรายได้ / การพัฒนาเมือง ผลการพัฒนา : ภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตร ภาคการค้าและธุรกิจ ภาคการเงินและธนาคาร ภาคก่อสร้าง และภาคอื่นๆ
ความหมายของความทันสมัย (Modernization) J.G. Taylor ความทันสมัยเป็นกระบวนการการพัฒนาที่ประเทศในโลกที่สามทั้งหลายพยายามที่จะเดินตามทาง จากแบบดั้งเดิมไปสู่ “ความเป็นสมัยใหม่” ด้วย “ทุนนิยมอุตสาหกรรม” ตามแบบอย่างของยุโรปและอเมริกาเหนือ Sunkel, Ferenzalida, O’ Brien, Landon และคณะ ความทันสมัยเป็นการรวมตัวกันของระบบทุนนิยมโลก โดยกระบวนการของการนำเอาเทคโนโลยีชั้นสูงไปใช้เป็นแบบแผนการบริโภค ตลอดจนวิถีชีวิตในด้านต่างๆ
Ankie M.M. Hoogvelt3 ด้าน ความทันสมัยทางด้านเศรษฐกิจ 1. จากเศรษฐกิจแบบเก่า ไปสู่แบบใหม่ ที่คำนึงถึงผลกำไรสูงสุด 2. การมีตลาดและเงินตราเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน 3. ระบบเศรษฐกิจและสังคมแบบเสรี 4. การเกษตรเพื่อการค้าและอุตสาหกรรม 5. การแบ่งแยกงานตามความถนัดและชำนาญการ ความทันสมัยทางสังคมและวัฒนธรรม 1. ความเสมอภาคทางสังคม 2. ยึดถือกฎหมายเป็นหลักในการควบคุมสังคม และยอมรับในทรัพย์สินส่วนบุคคล 3. มีการเคลื่อนย้ายและเลื่อนชั้นสูงและเป็นอิสระ 4. มีกลุ่ม ชมรม หรือองค์กรอาสาสมัครในรูปของสถาบัน 5. มีระบบครอบครัวแบบครอบครัวเดี่ยว
ความทันสมัยทางการเมืองความทันสมัยทางการเมือง เป็นระบบการเมืองที่มีความหลากหลายในโครงสร้างระบบ มีองค์กรประชาธิปไตยที่ให้สิทธิ์เสียงในการเลือกตั้งแก่ประชาชน ด้วยระบบพรรคการเมืองแบบหลายพรรค
ความเป็นมาของการนำเสนอแนวคิดความเป็นมาของการนำเสนอแนวคิด • 1. ความสำเร็จของการฟื้นฟูยุโรปภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 • ภายใต้แผนการ Marchall (1945-1955) =ERP (European • Recovery Progamme) • โครงการมุ่งบูรณะประเทศอุตสาหกรรมยุโรปตะวันตกให้พ้นจากหายนะสงครามโลกครั้งที่ 2 • - เพิ่มบทบาทรัฐบาลในการวางแผนเพื่อพัฒนาสร้างความเจริญเติบโต • - อาศัยทุนและความช่วยเหลือระหว่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐตาม Marshall Plan สมัยประธานาธิบดี Truman • - เป้าหมายต้องการให้อัตราการเติบโตเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 5% ต่อปี ใน England Italy France Western German
ความเป็นมาของการนำเสนอแนวคิดความเป็นมาของการนำเสนอแนวคิด • 2. แนวความคิดนักทฤษฎีที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดทฤษฎีความทันสมัย • 2.1 นักทฤษฎีเศรษฐศาสตร์พัฒนาการ • W.W.Rostowเสนอแนวคิด“การสร้างความเจริญเติบโตตามลำดับขั้น (The Stages of Growth)เชื่อว่า • “การพัฒนามีแนวทางเดียวที่ใช้ได้กับทุกสังคม” • หนังสือชื่อว่า The Stages of Economic Growth : A Non Communist Manifesto ปี 1960 • สังคมต่างๆ มีลำดับขั้นความเจริญเติบโตอยู่ 5 ขั้นตอน และไม่มีการข้าม • ขั้นตอนในการพัฒนา ยังเป็นแนวทางการขจัดปัญหาสภาวะสังคมทวิภาค (Dualistic Society) ที่เกิดความไม่เท่าเทียมกันระหว่างสาขาการผลิตและพื้นที่
ความเป็นมาของการนำเสนอแนวคิดความเป็นมาของการนำเสนอแนวคิด • 2. แนวความคิดนักทฤษฎีที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดทฤษฎีความทันสมัย • 2.2 นักทฤษฎีสังคมวิทยา • ความคิดของ Max Weber และ Talcott Parson ถูกนำมา • ประยุกต์ใช้กำหนดแนวทาง • 2.1 สังคมทันสมัย • 2.2 สถาบันทันสมัย • 2.3 บุคคลทันสมัย
ความเป็นมาของการนำเสนอแนวคิดความเป็นมาของการนำเสนอแนวคิด • 2. แนวความคิดนักทฤษฎีที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดทฤษฎีความทันสมัย • 2.3 นักรัฐศาสตร์และนักรัฐประศาสนศาสตร์ • Samuel P. Hungtintionเสนอแนวความคิดและทฤษฎีความทันสมัย โดยอาศัยแนวทางสังคมวิทยา • Max Weberสถาปนาระบบราชการ สังคมเชิงจริยธรรมของศาสนาโปรแตสแตน ที่เปลี่ยน Tradition Soc. Modern Soc. • Parson นำไปสร้างแนวคิด Tradition Society และ Modern Society • Hungtintionนำมาใช้กำหนดคุณลักษณะภาวะทันสมัย หรือ • Characteristic of Modernity
ความเป็นมาของการนำเสนอแนวคิดความเป็นมาของการนำเสนอแนวคิด • 2. แนวความคิดนักทฤษฎีที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดทฤษฎีความทันสมัย • 2.3 นักรัฐศาสตร์และนักรัฐประศาสนศาสตร์ • Tradition Soc. Modern Soc. • 1) ความผูกพันทางสังคม • Particularistis Universalistic • 2) ความสำเร็จในหน้าที่การงาน • Ascription Achievement • 3) การตัดสินใจเชิงคุณค่า • Affectivity Objectivity • 4) บทบาทองค์กร/สถาบัน • Differseness Specification
ความเป็นมาของการนำเสนอแนวคิดความเป็นมาของการนำเสนอแนวคิด • 2. แนวความคิดนักทฤษฎีที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดทฤษฎีความทันสมัย • 2.3 นักรัฐศาสตร์และนักรัฐประศาสนศาสตร์ • Tradition Soc. Modern Soc. • 5) การกำหนดอำนาจ/หน้าที่/แบ่งงาน • Centralization Decentralization • 6) การผลิต • Low Productivity High Productivity • 7) ความสัมพันธ์ทางการแลกเปลี่ยน • Local-Exchange Inter-Exchange • 8) ระบบการบริหาร • Inefficient Efficient
ความเป็นมาของการนำเสนอแนวคิดความเป็นมาของการนำเสนอแนวคิด • 3. ความเกรงกลัวต่อการขยายตัวของลัทธิสังคมนิยม ซึ่งมีแนวโน้มจะเติบโตมากขึ้น ถ้าหากจะทำการพัฒนาแบบไม่มีแผนต่อไป • - ประเทศสหรัฐอเมริกา • - กลุ่มประเทศพันธมิตรทุนนิยม แบบประชาธิปไตย • 4. แนวคิดที่ได้จากการจำลองตัวแบบ ตามแนวคิดของนักเศรษฐศาสตร์ • John M. Keynes การปฏิวัติสังคมแบบมีแผน (Social Revolution Planning) • รัฐบาลจะต้องเข้าไปมีบทบาททางนโยบายต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยการผสมผสานระหว่างบทบาทของรัฐและภาคเอกชน เพื่อร่วมกันเปลี่ยนแปลงสังคม
Paradigm (กระบวนทัศน์ / แนวคิด) การพัฒนา คือ การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ด้วยกระบวนการพัฒนา อุตสาหกรรม โดยมีการจัดโครงสร้างการเมืองและการบริหารตามแบบอย่างประชาธิปไตยของประเทศในตะวันตก ที่ยึดถือแนวทางเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ที่วัดผลการพัฒนาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้และการเติบโตของเมือง โดยเชื่อว่า ผลของการพัฒนาจะแพร่กระจายไปสู่ภาคชนบทและการเกษตร เงินทุน เทคโนโลยี เมือง อุตสาหกรรม Know-How Infra-Structure วัตถุดิบ แรงงาน ชนบท เกษตรกรรม
ตัวแบบของการพัฒนา (ปัจจัยหลักที่เป็นตัวกำหนด) • 1. การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในแนวทางของทุนนิยม (Capitalism) • 2. เพิ่มบทบาทของรัฐบาลในการวางแผนการพัฒนา • 3. กำหนดเป้าหมายและแผนการพัฒนาที่อยู่บนพื้นฐานของการขอรับความช่วยเหลือจากต่างประเทศ
แนวคิดและทฤษฎีทางการพัฒนาแนวคิดและทฤษฎีทางการพัฒนา • 1. ความเจริญเติบโตตามลำดับขั้น(W.W.Rostow 1960) • (The Stage of Economic Growth) • 1. Traditional Society • 2. Pre-Condition for take-off • 3. Take-off • 4. Drive to Marturity • 5. Stage of high Mass Consumption • ทฤษฎีการพัฒนาของ W.W. Rostow การพัฒนาของทุกสังคม จะดำเนินไปในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน โดยการแปรเปลี่ยนสภาพสังคมจากสภาวะล้าหลังไปสู่สภาวะที่ทันสมัย ในลักษณะเช่นเดียวกัน มี 5 ขั้นตอน
1. ขั้นปฐมภูมิ (Traditional Society)เป็นสังคมดั้งเดิมก่อนการพัฒนา มีการเกษตรเป็นสาขาหลักของระบบเศรษฐกิจ การผลิตสินค้ามีอยู่อย่างจำกัดภายใต้สภาพทางธรรมชาติ ขนบธรรมเนียมประเพณี ใช้แรงงานคนเป็นหลัก เป็นการผลิตเพื่อพออยู่พอกิน • 2. ขั้นเตรียมการ (Pre-conditions for take-off)เป็นระยะที่สังคมมีการสร้างทุนขั้นพื้นฐานอย่างกว้างขวาง เริ่มมีการนำเอาวิทยาการความรู้และเทคโนโลยีสมัยใหม่ทางการผลิตมาปรับใช้ในการเกษตร เพื่อให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยการเพิ่มผลิตภาพของแรงงานและที่ดิน • 3. ขั้นทะยานตัวเพื่อการพัฒนา (Take-off)เป็นระยะที่มีการเร่งรัดการลงทุน เพื่อขยายฐานการผลิตโดยมีอุตสาหกรรมเป็นสาขานำ และเร่งรัดให้มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว เป็นการผลิตสินค้าหรืออุตสาหกรรมที่ใช้ผลผลิตทางการเกษตรเป็นวัตถุดิบ ที่เริ่มมีการใช้เทคโนโลยีและวิชาการทันสมัย และมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น เสริมสร้างสถาบันทางสังคมและการเมืองเข้ารองรับเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
4. ขั้นก้าวสู่การตั้งตัวของการพัฒนา (Driveto Maturity)เป็นระยะที่มีการนำเอาความรู้สมัยใหม่ทางการบริหาร การจัดการ หรือการประยุกต์เทคโนโลยีสมัยใหม่ เข้ามาใช้ในกระบวนการพัฒนา เพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพ พัฒนาด้านแรงงานให้เป็นแรงงานที่มีฝีมือ เสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบและกลไกทางเศรษฐกิจให้สามารถต่อสู่กับภาวะการแข่งขันได้ • 5. ขั้นอุดมสมบูรณ์(Stage of High Mass Consumption) เป็นระยะที่คนในสังคมเริ่มมีการกินดีอยู่ดี โดยมีสวัสดิการสวัสดิภาพและวิถีชีวิตที่มั่นคง
Saving Growth Investment Economic Growth ผกผัน Capital Output สร้าง Investment Productive Capacity • 2. ทฤษฎีการสะสมทุน (Capital Accumulation) • 2.1 ทฤษฎีการพัฒนาในแนวคิดของ Harrod-Domar ทุนเป็นปัจจัยเงื่อนไขอันสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจ ดังนั้นประเทศที่กำลังพัฒนาจะต้องทำการสะสมทุน เนื่องจากความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพหรือมีดุลยภาพนั้น การลงทุนจะต้องเท่ากับการออม • Economic Growth แปรผันตาม Saving
ดังนั้นการพัฒนาจะต้องดำเนินการในเงื่อนไขสำคัญ 2 ประการ • 1. มีการระดมการสะสมทุนขึ้นในประเทศ • 2.มีการถ่ายโอนเทคโนโลยี (Technology Transfer) จากต่างประเทศ • การจัดตั้งสถาบันเพื่อทำหน้าที่รองรับทั้งสองประการเป็นสิ่งสำคัญ
2.2 ทฤษฎีการพัฒนาในแนวคิดของ Mahalanobis • แนวคิดนี้มุ่งเน้นความสำคัญที่ทุน (Capital intensive) กล่าวคือ ถ้าประเทศที่มีการออมที่สูงขึ้นจะส่งผลให้ระดับรายได้ประชาชาติ และการบริโภคสูงขึ้นในเวลาต่อมา ดังนั้นการลงทุนควรมุ่งเน้นใน 2 สาขา คือ • สาขาผลิตปัจจัยประเภททุน • สาขาผลิตสินค้าเพื่อการบริโภค • โดยให้มีการลงทุนในอัตราที่ใกล้เคียงกันและสัมพันธ์กัน แต่เนื่องจากประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลายยังไม่มีความรู้ความชำนาญที่เพียงพอสำหรับการผลิตสินค้าประเภททุนอย่างมีประสิทธิภาพอาจทำให้สินค้าไม่ได้มาตรฐาน และมีราคาแพง ดังนั้นการพัฒนาควรเริ่มต้นจากการผลิตสินค้าเพื่อการบริโภค
กลยุทธของพัฒนาในแนวคิดของการสะสมทุนกลยุทธของพัฒนาในแนวคิดของการสะสมทุน • 1. การลงทุนขนาดใหญ่ (Big Push Programs)Rosenstein-Rodan: การสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจจะทำได้จริงจะต้องมีการลงทุนขนานใหญ่ในกระบวนการพัฒนา จึงจะมีแรงส่งแพร่กระจายอย่างเพียงพอ • การพัฒนาอุตสาหกรรมต้องทำหลายอย่างพร้อมกันเพื่อช่วยให้มี อุปสงค์มากพอสำหรับสินค้าอุตสาหกรรมที่ผลิตขึ้นและเกิดการประหยัดตามมา เพราะอุตสาหกรรมต่างๆ มีส่วนเกี่ยวข้องและพึ่งพากัน เช่น การพึ่งพาทุนประเภทสาธารณูปโภค (Social Overhead Capital) โดยอาจจะทำขึ้นในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง
ข้อดีของแนวคิด • ประหยัดวงเงิน เนื่องจากโครงการต่างๆ สามารถประสานการใช้ประโยชน์จากต้นทุนพื้นฐานร่วมกัน การลงทุนพื้นฐานสำหรับโครงการเดี่ยวๆ ไม่คุ้มค่า • สามารถลงทุนพัฒนากำลังคนได้อย่างจริงจังเนื่องจากคุ้มค่าการสนองตอบความต้องการ • รายได้ที่เพิ่มขึ้นจะแพร่กระจายทั่วทุกสาขา สามารถสร้างโอกาสและสร้างทางเลือกได้ • ข้อเสียในแนวคิด • ประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลาย มีทรัพยากรอย่างจำกัด การทุ่มทุนขนานใหญ่ให้กับพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งจะส่งผลทำให้กระทบต่อความเป็นธรรมของการกระจายโอกาส และรายได้ • การทุ่มทุนขนานใหญ่ จะทำให้การพัฒนาของประเทศเกิดช่องว่างหลายๆ ประการขึ้นในกระบวนการพัฒนา
2. การพัฒนาอย่างมีดุลยภาพ (Balanced Growth Theory) • Ragnar Nurkseกล่าวว่า การลงทุนเพื่อสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ จะต้องทำทุกด้านทุกส่วนของระบบเศรษฐกิจไปพร้อมกัน เพื่อให้ตลาดมี ขนาดใหญ่ เพราะอุตสาหกรรมหนึ่งๆ จะสร้างตลาดให้เกิดขึ้นในแต่ละ ด้าน ขณะเดียวกันก็เป็นแหล่งที่มาของอุปทานให้กันส่วนอื่นๆ • การลงทุนหลายด้านหลายสาขาพร้อมกัน จะทำให้เกิด การแพร่ กระจายไปทั่วระบบเศรษฐกิจ (Multiplier effect) และก่อให้เกิดการประหยัด • ทางเศรษฐกิจทั้งในแนวดิ่งและแนวราบ ทำให้การใช้ทรัพยากรเป็นไปอย่าง • มีประสิทธิภาพ ขนาดของอุปสงค์และอุปทานมีเพียงพอสำหรับสินค้าและ • บริการที่ผลิตขึ้น
2. การพัฒนาอย่างมีดุลยภาพ (Balanced Growth Theory) • Singerกล่าวว่า กลยุทธ์ของการลงทุนแบบ Balanced Growth ไม่เหมาะที่จะเป็นวิธีแก้ปัญหาสำหรับประเทศด้อยพัฒนา เนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากที่เกินกว่าความสามารถในการชำระหนี้ได้ กลยุทธ์นี้ใช้ได้สำหรับประเทศที่พัฒนาแล้ว เนื่องจากมีปัจจัยความพร้อมหลายประการ ทั้งกำลังคนและกำลังเงิน แต่จะต้องทำภายหลังที่ผ่านพ้นระยะเศรษฐกิจหดตัว (Economic Recession) แล้ว
3. การพัฒนาแบบไม่สมดุล (Unbalanced Growth Theory) • A. O. Hirochman กล่าวว่า การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศด้อยพัฒนานั้น ควรเริ่มด้วยการลงทุนขนาดใหญ่เฉพาะในสาขาเศรษฐกิจที่เป็นยุทธศาสตร์หรือเป็นสาขาในการพัฒนา(Strategies or Leading Sector) เพื่อกระตุ้นการพัฒนาในสาขาอื่นๆ เช่น • การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน (Social Overhead Capital) เป็นกลยุทธ์สำหรับการจูงใจให้เกิดการลงทุนขนานใหญ่ได้ • การลงทุนในอุตสาหกรรมผลิตสินค้าสำเร็จรูป (Finished Product) หรือเกือบสำเร็จรูปเพื่อการอุปโภคบริโภค โดยอาจใช้วัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากต่างประเทศเป็นการเริ่มต้น วิธีการนี้จะทำให้เกิดอุตสาหกรรม การผลิตสินค้าขั้นกลาง และขั้นพื้นฐานขึ้นในประเทศ
ความไม่สมดุลของการลงทุนจะเป็นตัวช่วยในการสร้าง พลังการตลาด และนอกตลาดให้เกิดขึ้นเพราะ : • พลังทางการตลาดเป็นตัวสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการมีกำไร การมีกำไรที่มากขึ้นจะจูงใจให้ผู้ประกอบการตัดสินใจริเริ่มขยายตัวทางเศรษฐกิจ • พลังนอกตลาดจะกดดันให้เจ้าหน้าที่ของรัฐเกิดความพยายามที่จะหามาตรการแก้ไขการขาดดุลยภาพ การผลิตหรือปรับปรุงการบริการที่ล้าหลังให้ทันกับความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นใหม่ หรือสภาวะที่เรียกว่า การใช้ภาคเอกชนเป็นตัวกระตุ้นการทำงานในภาครัฐบาล • การสร้างพลังการตลาด มี 2 แบบ • อุปสงค์มากกว่าอุปทาน (Excess Demand) • อุปทานมากกว่าอุปสงค์ (Excess Supply)
ความไม่สมดุลของการลงทุนจะเป็นตัวช่วยในการสร้าง พลังการตลาด และนอกตลาดให้เกิดขึ้น เพราะพลังทางการตลาดเป็นตัวสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการมีกำไร การมีกำไรที่มากขึ้นจะจูงใจให้ผู้ประกอบการตัดสินใจริเริ่มขยายตัวทางเศรษฐกิจ • ส่วนพลังนอกตลาดจะกดดันให้เจ้าหน้าที่ของรัฐเกิดความพยายามที่จะหามาตรการแก้ไขการขาดดุลยภาพ การผลิตหรือปรับปรุงการบริการที่ล้าหลังให้ทันกับความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นใหม่ หรือสภาวะที่เรียกว่า การใช้ภาคเอกชนเป็นตัวกระตุ้นการทำงานในภาครัฐบาล • การสร้างพลังการตลาด มี 2 แบบ • อุปสงค์มากกว่าอุปทาน (Excess Demand) • อุปทานมากกว่าอุปสงค์ (Excess Supply)
Internal Forces Marketing Power Excess Demand Profit Unbalanced Economic Expansion External Forces Government Service Excess Supply Incentive อุปสงค์มากกว่าอุปทาน (Excess Demand) จะส่งผลกระตุ้นต่อระบบเศรษฐกิจได้ง่ายและมากกว่า เนื่องจากมีผลกำไรเป็นล่อหรือจูงใจ แบบนี้ให้ความสำคัญพัฒนาอุตสาหกรรมมากกว่าเกษตรกรรมหรือผลิตสินค้าขั้นปฐมภูมิ อุปทานมากกว่าอุปสงค์ (Excess Supply)เป็นการเชิญชวนนักลงทุน ด้วยการให้ความสะดวกในยามที่เศรษฐกิจตกต่ำ เช่น การลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ การให้สิทธิประโยชน์สูงสุด การมีทรัพยากรกำลังคนที่เพียงพอ(ให้มีมหาวิทยาลัยมากๆ)
ข้อวิจารณ์กลยุทธ์ Unbalanced Growth • 1. นักลงทุนมีทัศนคติต่อการตัดสินใจเลือกกิจกรรมของการลงทุน ที่มุ่งหาประโยชน์ส่วนตัวมากจนเกินไป จนไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น • 2. กลยุทธ์แต่ละแบบต่างก็มีจุดอ่อนคือ • แบบ Excess demand จะส่งผลต่อ • ราคาสินค้าบีบตัวสูงขึ้นและนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อ • ดุลการชำระเงินมีความยุ่งยากมากขึ้น • การปรับเข้าสู่ระบบปกติต้องใช้เวลานาน • แบบ Excess supply จะส่งผลต่อ • ความเติบโตของเศรษฐกิจในสาขาอื่นๆ ที่เกิดขึ้นตามหลังจะก้าวตามไม่ทันกับอัตรากำลังส่วนเกิน จะก่อให้เกิดความสิ้นเปลืองทางเศรษฐกิจ
ข้อวิจารณ์กลยุทธ์ Unbalanced Growth • 3. ทรัพยากรที่มีมาก ถ้ารัฐไม่อำนวยความสะดวกก็ขยายตัวได้ยาก รัฐจะต้องรวบรวมทรัพยากรที่มีอยู่ ให้สามารถสอดประสานกันได้ • 4. คำกล่าวที่ว่าภาครัฐขาดผู้มีความรู้ความสามารถนั้นไม่ถูก ในสภาพที่เป็นจริงนั้นมีจำนวนคนมากที่รู้ แต่ไม่มีโอกาสได้ใช้ความรู้
4. Inward & Outward Looking • เป็นวิธีการพัฒนาที่มุ่งเน้นการสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ทำให้การค้าระหว่างประเทศเป็นตัวนำของการขยายตัวเพื่อสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจ • Inward การส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศ • Outward การส่งเสริมเพื่อพัฒนาการส่งออก • การพัฒนาภายใต้แนวคิดนี้จะทำได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับศักยภาพ โอกาสและคุณลักษณะพิเศษ เช่น สิงคโปร์
รูปแบบของการพัฒนาภายใต้แนวคิดนี้ (Pattern of Development) ก่อให้เกิดสภาวะการเปลี่ยนแปลงในหลายลักษณะ คือ • 1. การพัฒนาที่ใช้ทรัพยากรอย่างกว้างขวาง ขยายการผลิตโดยเปิดโอกาสให้ใช้พื้นที่ใหม่ๆ ของประเทศ (Expansionist) เช่น การขยายที่ดินทำกินในเขตป่าว่างเปล่า การเปิดเขตส่งเสริมอุตสาหกรรม • 2. การพัฒนาที่มุ่งใช้ปัจจัยประเภททุนและความรู้ความชำนาญมากเป็นพิเศษ โดยการสร้างคนและฝึกอบรมแรงงานที่มีความรู้ความสามารถขึ้นสูงและมีความพร้อมในเรื่องของทุน (Intrinsic)ซึ่งมีทั้งภาคการผลิตและภาคบริการ ส่วนมากจะเป็นประเทศเล็กๆ ที่มีทรัพยากรจำกัด เช่น สวิสเซอร์แลนด์ เบลเยี่ยม สิงคโปร์
3. การพัฒนาที่ใช้ปัจจัยต่างๆ ของตนเองเท่าที่มีอยู่ โดยการสร้างความพร้อมให้มีมากขึ้น ซึ่งเป็นการพัฒนาที่พยายามพึ่งตนเองเป็นหลัก (Dominant)เช่น พยายามสร้างเงินออมขึ้นในประเทศ โดยไม่อาศัยความช่วยเหลือจากต่างประเทศ หรือโดยอาศัยตลาดต่างประเทศ • 4. การพัฒนาที่มุ่งแสวงหาความช่วยเหลือจากต่างประเทศทั้งเงินทุน เทคโนโลยี ความรู้ความชำนาญ และการบริหารจากต่างประเทศในลักษณะของการพึ่งพา (Satellitic)
5. เป็นการพัฒนาที่มุ่งให้ภาคเอกชนมีบทบาทเป็นหลักของการพัฒนา โดยรัฐเป็นผู้สนับสนุนให้มีเสรีในการลงทุนการผลิตสินค้า การขนส่ง การค้า การตัดสินใจที่เกี่ยวกับการจัดสรรทรัพยากร (Autonomous)และก็มักจะไม่มีการจัดเก็บภาษีเพื่อการลงทุนในโครงการพัฒนาต่างๆ เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย • 6. การพัฒนาที่รัฐเป็นผู้ชักนำ หรือภาครัฐเป็นหลักนำของการพัฒนาเป็นผู้ริเริ่มลงทุน หรือประกอบการ (Induced)ส่วนมากมักจะเป็นกิจกรรมขนาดใหญ่
3. ทฤษฎี 4 ทันสมัยของเติ้งเสี่ยงผิง การก้าวผ่านจากสภาพของสังคมนิยมสู่สังคมคอมมิวนิสต์ ท่ามกลางการต่อสู่กับทุนนิยมโลกเป็นไปด้วยความยากลำบากมาก การเปลี่ยนแปลงสังคมจีนโดยเพียงติดยึดอยู่กับ รูปแบบการสร้างจิตสำนึกทางอุดมการณ์เพียงอย่างเดียว ไม่ได้ จำเป็นที่จะต้องมีแนวคิดและวิธีการการพัฒนาประเทศ อย่างเป็นรูปธรรมโดยที่ยังมีเป้าหมายเชิงอุดมการณ์เช่นเดิม
3. ทฤษฎี 4 ทันสมัยของเติ้งเสี่ยงผิง การพัฒนาประเทศจำเป็นที่จะต้องอาศัยองค์ความรู้ เทคโนโลยีและปัจจัยการผลิตใหม่ๆ เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ โดยการ สร้างความทันสมัยใน 4 ด้าน คือ 1. วิทยาศาสตร์ที่ทันสมัย 2. การเกษตรที่ทันสมัย 3. อุตสาหกรรมที่ทันสมัย 4. ความมั่นคงที่ทันสมัย
กลยุทธ์การพัฒนาของแนวคิด 4 ทันสมัย 1. การส่งคนรุ่นใหม่เข้าสู่การเรียนรู้วิทยาการสมัยใหม่จากทั่วโลก 2. การจัดให้มี 2 ระบบเศรษฐกิจขึ้นในประเทศ (One Nation Two Systems) เพื่อต่อสู้กับทุนนิยมโลก 3. ปฏิรูประบบและกระบวนการผลิตของชุมชน จากระบบคอมมูน (Commun) สู่ระบบกึ่งเสรี
กลยุทธ์การพัฒนาในแนวคิด 4 ทันสมัย 4. ให้นำเอาเทคโนโลยีและกระบวนการผลิตสมัยใหม่เข้าสู่การปฏิรูปการเกษตรและอุตสาหกรรม 5. การเสริมสร้างประสิทธิภาพของกองทัพ โดยใช้วิทยาศาสตร์และวิทยาการสมัยใหม่
4. ทฤษฎีสู่ยุคเศรษฐกิจใหม่ที่ทันสมัย สหรัฐอเมริกาเข้าร่วมในสงครามเวียดนานกว่า 10 ปี ส่งผลให้อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ โดยเฉพาะทางการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ การขนส่งและระบบสื่อสาร เติบโตอย่างรวดเร็ว อุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดเล็กที่เกี่ยวข้องกับการอุปโภคบริโภคกลับตกต่ำ ส่งผลให้ฐานการผลิตจากเอเชียสามารถรุกเข้าสู่ตลาดอเมริกาอย่างกว้างขวาง ทำให้เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศในเอเชียเติบโตอย่างรวดเร็ว ประเทศที่กำลังพัฒนาหลายประเทศเริ่มก้าวสู่สังคมของความเป็นอุตสาหกรรม (New Industrial Country)
4. ทฤษฎีสู่ยุคเศรษฐกิจใหม่ที่ทันสมัย สหรัฐอเมริกาจำเป็นต้องเร่งรัดการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว การแก้ไขปัญหาดังกล่าว จะใช้การพัฒนาใน “แนวคิดเดิม”คือ การแก้ไขภาคการผลิตสาขาเดิมๆ ที่ตกต่ำ ซึ่งต้องใช้เวลายาวนานและ พบกับภาวะการแข่งขันที่รุนแรงกับสินค้าที่มาจากเอเชีย ขณะที่กำลังซื้อของประชาชนยังอยู่ในสภาพเช่นเดิมหรือจะใช้แนวความคิดใหม่เพื่อเปลี่ยนโฉมหน้าทางเศรษฐกิจ
การพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสงคราม ทำให้เกิดองค์ความรู้และเทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้นอย่างมากมาย โดยเฉพาะ- : เทคโนโลยีทางด้านการสื่อสาร (Information Technology: IT) : ระบบการประมวลผลและติดตามข้อมูลที่รวดเร็ว (Computer) : ระบบการขนส่ง ทางอากาศยานและอวกาศ สหรัฐอเมริกานำเอาองค์ความรู้ เทคโนโลยีใหม่เหล่านี้เข้าสู่ภาคการผลิต เพื่อเป็นสินค้าตัวใหม่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโลก (New Economy)
กลยุทธ์ของแนวคิดนี้ 1. สร้างกระแสโลกาภิวัตน์ให้เกิดขึ้นทั่วโลก 2. บังคับให้ทุกประเทศต้องยอมรับเงื่อนไขในกติกาว่าด้วย ลิขสิทธิ์และ สิทธิบัตร โดยเฉพาะประเทศที่ทำการค้ากับสหรัฐอเมริกา เพื่อการผูกขาดสินค้าในกลุ่มนี้ไว้กับตน 3. สร้างระบบมาตรฐานสากลเข้าสู่กระบวนการผลิต การบริการ การขนส่ง และในอีกหลายด้าน เพื่อเป็นเครื่องมือในการกีดกันทางการค้า 4. ผลักดันการค้าเสรีให้เกิดขึ้นในเวทีการค้าโลก เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน 5. สร้างรูปแบบของผลิตภัณฑ์หรือสินค้าชนิดใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในตลาดการค้าของโลก เพื่อสร้างความได้เปรียบจากการมีขีดความสามารถทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูง มากกว่าประเทศอื่นๆ
สาระสมมติฐานของแนวคิด Modernization • 1. ทุกสังคมมีความแตกต่างกัน แม้กระทั่งในตัวเองจึงต้องลดความแตกต่าง โดยขบวนการพัฒนาเปลี่ยนแปลงสังคมที่ล้าหลัง ไปสู่สังคมที่ทันสมัยให้เหมือนกัน • Modernization Process • Traditional Society Modern Society • 2. ความด้อยพัฒนา เกิดจากความไม่เท่าเทียมกันของสาขาการผลิตสังคมดั้งเดิมให้ความสำคัญกับสัดส่วนของสาขาเกษตรกรรมมากกว่าอุตสาหกรรมและอื่นๆ และใช้วิธีการผลิตแบบ Primitive ส่วนใหญ่ • 3. การพัฒนาจะต้องมีขั้นตอนตามลำดับ จะลัดขั้นตอนไม่ได้ การพัฒนาจะกระทำได้ก็โดยการดูดซับและถ่ายโอนวิทยาการที่ทันสมัยมาปรับใช้และจะต้องเป็น วิทยาการที่สอดคล้องตามสภาพในแต่ละลำดับขั้น
4. จุดมุ่งหมายที่เป็นปลายทางของเศรษฐกิจอยู่ที่การสร้าง • โครงสร้างทางเศรษฐกิจที่ทันสมัย • สาขาการผลิต แบบอุตสาหกรรม • เมืองที่ทันสมัย • ความเป็นระเบียบของระบบสังคมและการเมืองแบบตะวันตก • Socio-Political Order Western Societies 5. สร้างระบบเสรีประชาธิปไตยให้เกิดขึ้น 6. การมีบุคลากรที่มีความสามารถในฐานะของผู้เชี่ยวชาญ (Expertise) ที่มีความรู้ความเข้าใจและความก้าวหน้าทางวิชาการ
กลยุทธการพัฒนาในแนวคิดความทันสมัยกลยุทธการพัฒนาในแนวคิดความทันสมัย 1. สร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจด้วยการเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ โดยการพัฒนาอุตสาหกรรม ในแนวทางของการทดแทนการนำเข้า (เป็นการมุ่งเน้นเพื่อการบริโภค มิใช่เพื่อการลงทุน) 2. สร้างเมือง ที่มีระบบบริการสาธารณะต่างๆ เพื่อให้สภาวะของระบบชุมชนที่เหมาะสมสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมและเป็นแบบอย่างของความทันสมัย 3. ปรับปรุงระบบราชการ ด้วยการเสริมสร้างความสามารถทางด้านการวางแผนและการบริหาร (โดยคาดหวังให้เป็นแกนนำของการสร้างสังคม)
กลยุทธการพัฒนาในแนวคิดความทันสมัยกลยุทธการพัฒนาในแนวคิดความทันสมัย 4. มีระบบและกลไกการวางแผน เพื่อเป็นกรอบกำหนดหลักการและแนวคิดการพัฒนาต่างๆ ที่ได้รับการวางรูปแบบไว้อย่างมั่งคงและแน่นอน พร้อมที่จะถูกนำไปปฏิบัติ 5. ส่งเสริมการลงทุนที่สามารถรองรับการหลั่งไหลจากต่างประเทศ โดยเฉพาะการมีความคิดที่พร้อมจะรับความช่วยเหลือ 6. พัฒนาสถาบันต่างๆ ให้เหมาะสมและเข้มแข็ง เช่น สถาบันทางการเมืองหรือสถาบันทางการศึกษาฯ เพื่อพัฒนาไปสู่การรอปรับเงื่อนไขของการเปลี่ยนแปลงภายใต้ภาวะความทันสมัย
ผลกระทบ (Impact) ที่เกิดขึ้นกับประเทศที่กำลังพัฒนา 1. วัฒนธรรมทางเศรษฐกิจเกือบทุกสังคมมีความคล้ายคลึงกัน แต่ต่างกันที่ ระดับหรือขนาด ส่วนสังคมนั้นจะถูกจัดให้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของระบบใหญ่ ที่ตรงจุดใด 2. สังคมเมือง สังคมใหญ่ได้รับการพัฒนา ส่วนสังคมชนบทกลับถูกปล่อยปละ ละเลย ถูกทอดทิ้ง (สถาบันครอบครัว สถาบันชุมชน) 3. ระบบการเมืองถูกพัฒนาขึ้นเพื่อรองรับกลุ่มผู้มีอำนาจและกลุ่มที่มีผลประโยชน์จากกระบวนการพัฒนา
ผลกระทบ (Impact) ที่เกิดขึ้นกับประเทศที่กำลังพัฒนา 4. ความเติบโตของระบบเกิดขึ้นกับภาคเอกชน ในขณะที่ระบบราชการคงสภาพ เหมือนเดิม จะมีการเปลี่ยนแปลงก็แต่เฉพาะวิทยาการในตัวคน 5. วัฒนธรรมชุมชนและภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่มีอยู่อย่างหลากหลายนั้น ถูกทำลายล้างจนไม่อาจคงเหลือไว้ซึ่งเอกลักษณ์และคุณค่า ซึ่งทุกสังคมควรจะต้องมีแก่นแท้ของตนเอง