1 / 22

Verb Forms and Tenses

Verb Forms and Tenses. verb forms and tenses. รูปของกริยา (Verb Form) เราทราบมาแล้วว่า คำกริยาในภาษาอังกฤษคำหนึ่ง อาจเปลี่ยนรูปไปได้หลายรูป แต่ละรูปเรียกว่า verb Form เช่น verb to be มีรูป (form) ถึง 8 รูป คือ Is am Are was

Audrey
Download Presentation

Verb Forms and Tenses

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. Verb Formsand Tenses

  2. verb formsand tenses รูปของกริยา (Verb Form) เราทราบมาแล้วว่า คำกริยาในภาษาอังกฤษคำหนึ่ง อาจเปลี่ยนรูปไปได้หลายรูป แต่ละรูปเรียกว่า verb Form เช่น verb to be มีรูป (form) ถึง 8รูป คือ Is am Are was Were be Being been รูปกริยาทั้ง 8 รูปนี้มีที่มาจาก be เขาจึงเรียกว่า verb to be คำว่า “ be” เรียกว่าเป็นรูป infinitve ( อินพีนิทิฟว์)

  3. รูป infinitve นี้ เป็นรูปซึ่งเขียนเป็นหลักในพจนานุกรม เขาจึงเรียกชื่อมันอีกอย่างหนึ่งว่า Dictionary Form ( รูปพจนานุกรม) คำกริยาทุกคำมีรูป infinitve ประจำตัวมันทั้งสิ้น รูป infinitve โดยปกติเขาจะใช้ to นำหน้า เช่น to be to have, to walk, to run , to go , etc ในการเรียนภาษาอังกฤษ จะต้องรู้รูป infinitve ของกริยาเสมอ เช่น เมื่อเห็นกริยา walks , goes , has ก็จะต้องรู้ว่ารูป infinitve ของมันคือ towalk, to go, to have เป็นต้น

  4. Tense คืออะไร • นอกจากคำกริยาจะเปลี่ยนรูปไปตามประธานแล้ว ยังต้องเปลี่ยนรูปไปตามเวลาอีกด้วย รูปของกริยาซึ่งเปลี่ยนไปตามเวลาเรียกว่า tenseคือรูปของคำกริยาซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามเวลาที่กระทำอาการของกริยานั้น Tense ของกริยาในภาษาอังกฤษ แบ่งออกเป็น 3 พวกใหญ่ๆคือ 1. Present Tense (ปัจจุบัน) 2. Past Tense (อดีต) 3. Future Tense (อนาคต) ใน tense เดียวกัน คำกริยาหนึ่งๆอาจมีได้หลายรูป เช่น to be มีรูปใน Present (ปัจจุบัน)

  5. ได้ 3รูป คือ is , am , are และมีรูปใน Past (อดีต) ได้ 2รูป คือ was , were , เป็นต้น Tense ทั้งสายดังกล่าวยังแยกออกเป็น tense ย่อยๆ ได้อีก4 อย่าง (รวม tense ย่อยๆทั้งหมด 12 อย่าง)คือ Present Present Simple Tense Present continuous Tense Present Perfect Tense Present Perfect continuous Tense Past Past Simple Tense Past continuous Tense Past Perfect Tense Past Perfect continuous Tense

  6. Future Future Simple Tense Future continuous Tense Future Perfect Tense Future Perfect continuous Tense ในชั้นนี้ เราจะศึกษารูปกริยาใน tense เพียง9 อย่าง เว้น Perfect continuous Tense ของ Present , Past และ Future

  7. Past Simple Tense (1) รูปกริยา (Verb Forms) รูปกริยาที่ใช้ tense นี้ คือกริยาที่มีรูปเป็น past (ช่องที่ 2) Present Past walk walk call call enjoy enjoy play play pass pass want want need need

  8. Present Past Listen - Listened (ลิสเซ่น- ดํ) พัง Kill - Killed (คิล- ดํ ) ฆ่า Move - Moved (มู้ฟวํ-ดํ) เคลื่อน Rub - Rubbed (รับ-ดํ) ถู- ขยี้ Show - Showed (โช-ดํ) แสดง – ชี้ให้ดู หมายเหตุ การออกเสียง d นี้ รวมทั้งคำลงท้ายด้วย s แต่ออกเสียงอย่าง z ด้วย เช่น Use - used (ยูซ-ดํ) ใช้ Refuse - refused (ริฟิวซํ-ดํ ) ปฏิเสธ Close - closed (โคล้ซ-ดํ) ปิด

  9. การเติม ed ที่คำกริยา • กริยาลงท้ายด้วย e อยู่แล้วคงเติมเฉพาะ d Present Past arrive arrived มาถึง close closed ปิด dance danced เต้นรำ die died ตาย dive dived ดำน้ำ injure injured ทำให้บาดเจ็บ lie lied โกหก live lived อยู่,อาศัย like liked ชอบ

  10. ยกเว้น ถ้าหน้า y เป็นสระ (คือหน้า y เป็น a, e, I , o , u ) เติม ed ได้ทันที (โดยไม่ต้องเปลี่ยน y เป็น i ) Present Past play played เล่น enjoy enjoyed ชื่นชอบ stay stayed พัก , หยุดอยู่ obey obeyed เชื่อฟัง convey conveyed ส่งต่อ delay delayed ชักช้า

  11. Past simple tense รูปที่สำคัญของกริยา (principal verb form ) กริยาคำหนึ่งๆ มีรูปสำคัญอยู่ 3 รูป ได้แก่ • lnfinitive from • Past from • past participle from รูปกริยาทั้ง 3 รูปนี้ มักจะเขียนเรียงกันไว้เป็น 3ช่อง จึงนิยมเรียกกันว่า กริยา 3 ช่อง และแทนที่จะเรียกชื่อของมัน เรามักนิยมเรียกตามความสะดวก กริยาช่องที่ 1 กริยาช่องที่ 2 และกริยาช่องที่ 3 ตามลำดับ

  12. โดยปกติกริยาช่องที่ 2 และช่องที่ 3 มีรูปเหมือนกัน คือ เกิดจากการเติม ed เช่น • present past past participle cross crossed crossed fill filled filled want wanted wanted กริยาซึ่งเติม ed เมื่อเป็นช่องที่ 2 และช่องที่ 3 นี้ เรียกว่า กริยาปกติ Regular Verd เพราะมีกฎเกณฑ์แน่นอน มีกริยาประมาณ 300 คำ ซึ่งไม่เป็นไปตามกฎดังกล่าว (คือไม่เติม ed เมื่อเป็นช่องที่ 2 และ 3 ) แต่มันจะเปลี่ยนรูปโดยไม่มีกฎเกณฑ์ แน่นอน เขาจึงเรียกกริยาพวกนี้ว่า กริยาอปกติ ( lrregular verb อ่านว่า อิเร็กกิวล่าร์ เวิบ)

  13. กล่าวสั้นๆ กริยาปรกติ คือ กริยาซึ่งเติม ed เมื่อเป็นช่อง 2 และ3 กริยาอปรกติ คือ กริยาซึ่งมีรูปพิเศษเมื่อเป็นช่อง 2และ3 กริยาเหล่านี้ จำเป็นจะต้องจดจำให้ได้ เพื่อความสะดวกในการท่องจำ และเรียงคำกริยาเหล่านี้ไว้เป็นหมู่ๆ โดยยึดเสียงที่คล้ายคลึงกันเป็นหลัก present past past paeticiple fall fell fallen ตก,ล้ม ride rode ridden ทำแตก fly flew flown บิน go went gone ไป

  14. Exercise 3b จงเปลี่ยนรูปกริยาให้เป็น past from และใช้คำซึ่งวงเล็บไว้ท้ายประโยคตามตัวอย่าง ตัวอย่าง : I see him (yesterday.) ตอบ : I saw him yesterday. 1. we begin our lesson at eight o, clock. (yesterday) 2. He buys a book . (yesterday) 3. they come back home. (Last night) 4. they go to hua-hin. (last month) 5. He opens it . (last month)

  15. ประโยชน์ปฏิเสธ (negative form ) ประโยคที่มีกริยาเป็นรูปอดีต (past form) ทำให้เป็นประโยคปฏิเสธได้ โดยใช้ did not เติมเข้าข้างหน้ากริยารูป infintive ซึ่งอาจตั้งเป็นหลักเพื่อสะดวกในการจดจำ 1. เปลี่ยนกริยาเป็นช่องที่ 1 2.เติม did not เข้าข้างหน้า เช่น บอกเล่า :she met him ปฏิเสธ : she did not meet him บอกเล่า : He taught English last year ปฏิเสธ : He did not taught English last year

  16. ประโยคคำถาม ( interrogative form) จะเห็นว่าประโยคบอกเล่า past tense ทำให้เป็นประโยคคำถามได้ดังนี้ • เปลี่ยนกริยาเป็นช่องที่ 1 • ใช้ did นำหน้าประโยค 3. ใส่เครื่องหมาย (?) ท้ายประโยค Tag – Question เราทราบมาแล้วว่า ในประโยค present tense ที่มีกริยาธรรมดาใช้ do หรือ don't (does หรือ doesn't) ในส่วน tag เช่น He loves her , doesn't he ? They like you don't they ?

  17. การใช้ present simple tense • 1. tense นี้ ใช้กับการกระทำอยู่เป็นประจำในปัจจุบัน เช่น • He goes to school every day. เขาไปโรงเรียนทุกวัน • He always gets up early. เขาตื่นนอนแต่เช้าเสมอ • He often works hard. เขาทำงานหนักอยู่บ่อยๆ • He lives with his father. เขาอาศัยอยู่กับบิดา • 2. ใช้ present simple tense กับเหตุการณ์ที่เป็นความจริงตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นจริงเช่นนั้นตลอดมา และจะเป็นจริงเช่นนั้นอีกต่อไป เช่น • The earth moves round the sun. โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ • The sun rises in the east. ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก • A dog has four legs. สุนัขมี 4 ขา

  18. จะเห็นว่า การใช้กริยาช่อง 2(past) มักจะมีข้อความที่แสดงความเป็นอดีตกำกับอยู่ด้วย เช่น yesterday เมื่อวานนี้ Last night เมื่อคืนนี้ Last week สัปดาห์ที่แล้ว Last month เดือนที่แล้ว Last year ปีกลายนี้, ปีที่แล้ว Two years ago สองปีมาแล้ว A week ago เมื่อหนึ่งสัปดาห์มานี้

  19. กริยา 3 ช่อง (Regular and irregular Verbs) หลักการ ใช้ TENSES Verb (กริยา ) 3ช่อง มีวิธีใช้แตกต่างกันในแต่ละช่องตามกาล ซึ่งแต่ละช่องมีดังนี้ คือ ช่องที่ 1 เรียกว่า Present Tense หรือ Infinitive verb ช่องที่ 2 เรียกว่า Past Form หรือ Preterite ช่องที่ 3 เรียกว่า Past Participle

  20. Regular verb (ปกติกริยา) ช่องที่ 1 ช่องที่ 2 ช่องที่ 3 ความหมาย answer answered answered ตอบ ask asked asked ถาม Cook cooked cooked ปรุงอาหาร Open opened opened เปิด Irregular verb (อปกติกริยา) คือ กริยาที่ไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ เป็นกริยาที่เปลี่ยนเสียงหรือเปลี่ยนสระภายในเมื่อเป็นรูปที่สอง และที่สาม (กริยาช่องที่ 2 และช่องที่ 3) ช่องที่ 1 ช่องที่ 2 ช่องที่ 3 ความหมาย Arise arose arisen ขึ้น Beat beat beaten ตี,ชนะ Become became become กลายเป็น

  21. presented to Teather Maneerut Nanowong Presented by Miss Junpen Taoboonruang No 13 Miss Nattaya Arunaramsri No 22 class 5/2

  22. Thanks you

More Related