980 likes | 1.6k Views
การเขียนบทความทางวิชาการที่มีคุณภาพ. รศ.ดร.สุรพจน์ วงศ์ใหญ่ คณบดี คณะการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต วันที่ 2 ธันวาคม 2548. บทความทางวิชาการ.
E N D
การเขียนบทความทางวิชาการที่มีคุณภาพการเขียนบทความทางวิชาการที่มีคุณภาพ รศ.ดร.สุรพจน์ วงศ์ใหญ่ คณบดี คณะการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต วันที่ 2 ธันวาคม 2548
บทความทางวิชาการ • บทความทางวิชาการ หมายถึง งานเขียนซึ่งมีการกำหนดประเด็นที่ชัดเจน มีการวิเคราะห์ประเด็นดังกล่าวตามหลักวิชาการ และมี การสรุปประเด็น อาจเป็นการนำความรู้จากแหล่งต่างๆมาวิเคราะห์ โดยผู้เขียนสามารถให้ทัศนะทางวิชาการของตนได้อย่างชัดเจน
ชนิดของบทความวิชาการ การเลือกชนิดของบทความมีความสำคัญมากและต้องทำควบคู่กันไปกับการเลือกวารสารสำหรับเสนอผลงาน ทั้งนี้เพื่อให้ผลงานของผู้เขียนได้เป็นที่ทราบกันแพร่หลายในหมู่บุคคลในวงอาชีพตามที่ต้องการ
ชนิดของบทความวิชาการ ผู้เขียนจะต้องตั้งจุดหมายหลักของบทความว่าคืออะไร เป็นการเสนอผลงานวิจัยใหม่ เป็นการวิเคราะห์ผลงานของผู้อื่น หรือเป็นการแสดงข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ ฯลฯ
ชนิดของบทความวิชาการ บทความวิจัยต้นเรื่อง ผู้เขียนจะต้องรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ทั้งที่มีอยู่เดิมแล้วและที่ตนได้มาใหม่ และเลือกเฟ้นเฉพาะข้อมูลที่ตรงกับจุดมุ่งหมายของบทความเท่านั้น ข้อมูลและการวิเคราะห์เหล่านี้จะต้องเป็นตัวชี้บ่งว่าสมควรตีพิมพ์เป็นบทความชนิดใด และในวารสารใด
การเลือกวารสารวิชาการการเลือกวารสารวิชาการ ในการเลือกวารสารนั้นผู้เขียนจะต้องทราบแนวทางของวารสารและประเภทของผู้อ่าน กล่าวคือจะต้องได้เคยอ่านวารสารนั้นๆมาบ้างแล้ว และทราบความสำคัญและประเภทของงานวารสารนั้นลงพิมพ์ ผู้เขียนจะต้องพิจารณาว่างานของตนอยู่ในระดับความสำคัญขนาดไหน และจัดเป็นประเภทใด เหมาะกับวารสารนั้นหรือไม่ เมื่อเทียบกับบทความอื่นๆในวารสารนั้นแล้ว
งานวิจัย • การทำให้เกิดสิ่งใหม่ (to create new thing) • การทำให้สิ่งที่มีอยู่แล้วดีขึ้น (to improve existing thing) • การทำให้เข้าใจดีขึ้น (to understand better)
Effective research Total research Publish Effective research Researchwritten Research written Publish Research read
การให้ความสำคัญของผู้อ่านและผู้เขียนการให้ความสำคัญของผู้อ่านและผู้เขียน ผู้อ่าน (reader) ผู้เขียน (author) Title Title Abstract Abstract Contents Contents
ลักษณะของงานวิจัยที่ดีลักษณะของงานวิจัยที่ดี • S = Scientific value มีคุณค่า • E = Ethically oriented มีจริยธรรม • A = Accuracy มีความถูกต้อง • T = Traceability ตรวจสอบซ้ำได้
การวิจัยและพัฒนาในวงการวิทยาศาสตร์และการศึกษาการวิจัยและพัฒนาในวงการวิทยาศาสตร์และการศึกษา Research and Development (R&D) คือ งานสร้างสรรค์ที่มีการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มพูนองค์ ความรู้ของมนุษย์ วัฒนธรรมและสังคม และการใช้ความความรู้ดังกล่าวในงานประยุกต์ใหม่ๆ
การวิจัยและพัฒนาในวงการวิทยาศาสตร์และการศึกษาการวิจัยและพัฒนาในวงการวิทยาศาสตร์และการศึกษา Research and Development (R&D) คือ งานสร้างสรรค์ที่มีการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มพูนองค์ ความรู้ของมนุษย์ วัฒนธรรมและสังคม และการใช้ความความรู้ดังกล่าวในงานประยุกต์ใหม่ๆ
ชนิดของงานวิจัย • การวิจัยพื้นฐาน(basic research) หมายถึง งานด้านทฤษฎีหรือด้านปฏิบัติการ ที่ทำเพื่อการแสวงหาความรู้ใหม่จากพื้นฐานของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและการสังเกตข้อเท็จจริงโดยมิได้คำนึงถึงการประยุกต์ใช้มาก่อน • การวิจัยประยุกต์ (applied research) เป็นการค้น เพื่อแสวงหาความรู้ใหม่เช่นกัน แต่มีความมุ่งหมายในการนำไปใช้ที่จำเพาะ
ชนิดของงานวิจัย • การพัฒนาเชิงปฏิบัติการ (experimental development) เป็นงานที่กระทำอย่างเป็นระบบ โดยอาศัยความรู้ที่มีอยู่จากการวิจัยและ/หรือจากประสบการณ์ ซึ่งม่งไปสู่การผลิตวัสดุ ผลิตภัณฑ์หรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ การติดตั้ง กระบวนการ ระบบและบริการใหม่ หรือการปรับปรุงสิ่งที่ผลิตแล้ว ให้ดีขึ้นอย่างเป็นแก่นสาร
ค่าใช้จ่าย R&D ค่าใช้จ่าย ร้อยละของผลิตภัณฑ์ ประชาชาติเบื้องต้น (GNP) ประเทศที่พัฒนาแล้ว 2-3 ประเทศอุตสาหกรรม 1-2 ประเทศกำลังพัฒนา <0.5 ประเทศไทย <0.3
ชนิด รูปแบบและลักษณะของบทความและรายงาน • บทความสำหรับผู้อ่านทั่วไป (general articles) • บทความปริทัศน์ (review articles) • บทความวิจัยหรือบทความทางเทคนิค (research or technical articles) • บันทึกสั้นหรือสารติดต่อสั้น (shot notes or brief communications) • สารติดต่อเบื้องต้น (preliminary communications)
ชนิด รูปแบบและลักษณะของบทความและรายงาน • หมายเหตุ หรือ จดหมายถึงบรรณาธิการ (remarks or letters to the editor) • บทบรรณาธิการ (editorials)
บทความสำหรับผู้อ่านทั่วไป (general articles) เป็นบทความซึ่งพิมพ์ในนิตยสารหรือวารสารซึ่งจัดทำสำหรับผู้อ่านที่ไม่จำเป็นต้องมีความเชี่ยวชาญในสาขาวิชานั้นโดยเฉพาะ มีเนื้อหาที่อ่านเข้าใจง่าย ถึงแม้ว่าอาจจะขาดความละเอียดลึกซึ้งไปบ้าง
บทความปริทัศน์ (review articles) คือ บทความซึ่งรวบรวมนำเอาความรู้ทางศาสตร์ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งจากที่ได้ตีพิมพ์แล้วในวารสารต่างๆมาวิเคราะห์ วิจารณ์ เปรียบเทียบกันเพื่อให้เกิดความกระจ่างในเรื่องนั้นยิ่งขึ้น
บทความวิจัยหรือบทความทางเทคนิค (research or technical articles) คือบทความซึ่งเสนอผลงานวิจัยใหม่ๆในด้านทฤษฏีหรือด้านปฏิบัติ ซึ่งทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจในวิทยาศาสตร์สาขาใดสาขาหนึ่งมากขึ้นกว่าเดิม ข้อมูลและเนื้อหาจากบทความวิจัยจะต้องอยู่ในลักษณะที่จะทำให้ผู้อ่านที่มีความเชี่ยวชาญในวิทยาศาสตร์สาขานั้นสามารถทำการทดลองหรือการสังเกตเช่นเดียวกันได้ให้ผลออกมาเหมือนกัน สามารถติดตามการคำนวณและแนวความคิดของผู้เขียน และสามารถตัดสินใจได้ว่าบทความมีความสำคัญเพียงใด
บันทึกสั้นหรือสารติดต่อสั้น (short notes or brief communications) คือบทความหรือรายงานการวิจัยแต่มีความกะทัดรัด กล่าวคือมีอารัมภบทและการวิจารณ์เพียงเล็กน้อย ส่วนใหญ่ของเนื้อหาเป็นผลงานใหม่ๆ ซึ่งมีรายละเอียดเพียงเท่าที่จำเป็นเท่านั้น บทความหรือรายงานสั้นนี้เหมาะสำหรับเผยแพร่งานวิจัยที่เป็นงานสั้นที่จบในตัวเอง
สารติดต่อเบื้องต้น (preliminary communications) คือรายงานซึ่งเสนอผลงานวิจัยใหม่ที่ผู้วิจัยจะเขียนบทความอย่างสมบูรณ์ในภายหลัง รายงานเบื้องต้นเป็นรายงายซึ่งวารสารจะตีพิมพ์ให้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นจะต้องมีใจความสั้น มีรายละเอียดเพียงเท่าที่จำเป็นเท่านั้น
หมายเหตุ หรือ จดหมายถึงบรรณาธิการ (remarks or letters to the editor) อาจเป็นบันทึกหรือสารติดต่อสั้นและ/หรือสารติดต่อเบื้องต้นซึ่งวารสารจัดพิมพ์ในรูปจดหมาย วารสารทางวิทยาศาสตร์บางฉบับอาจตีพิมพ์จดหมายถึงบรรณาธิการซึ่งมีเนื้อหาต่างไปจากผลงานวิจัยก็ได้ เช่นจดหมายแสดงความคิดเห็นในสาขาวิชาชีพนั้นๆ
บทบรรณาธิการ (editorials) อาจเป็นบทความซึ่งวิเคราะห์ผลงานทางวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ ที่มีความสำคัญในสาขาวิชาของวารสารนั้น หรืออาจเป็นบทความแสดงความคิดเห็นเสนอแนะในเรื่องที่ไม่ใช่ผลงานวิจัยโดยตรงแต่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชานั้นในทางอื่นๆ
บทความวิจัยหรือบทความทางเทคนิค (research or technical articles) Echinacea purpurea
ส่วนประกอบบทความวิจัยส่วนประกอบบทความวิจัย • ชื่อเรื่อง (Title) และข้อความเกี่ยวกับผู้เขียน (By-line) • บทคัดย่อ (abstract or summary) • บทนำ (introduction) • วัสดุอุปกรณ์และวิธีการ (materials and method) หรือภาคทดลอง (experimental) • ผล (results) • บทวิจารณ์ (discussion) • บทสรุป (conclusion) • คำขอบคุณ (acknowledgement) • เอกสารอ้างอิง (references or literature cited)
ชื่อเรื่อง (Title) และข้อความเกี่ยวกับผู้เขียน (By-line) • ส่วนใหญ่มักจะคิดเรื่องไว้ก่อนที่จะดำเนินการวิจัย แต่บางครั้งอาจมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงชื่อเรื่อง โดยเฉพาะเมื่อเขียนรายงานสำหรับตีพิมพ์ในวารสาร ชื่อเรื่องควรจะสั้น กะทัดรัด ชัดเจน และไม่เยิ่นเย้อ • ชื่อเรื่องควรมีจำนวนคำที่น้อยที่สุดจะสามารถให้อรรถาธิบายเนื้อเรื่องทั้งหมดที่ตามมาได้อย่างดี
ชื่อเรื่อง (Title) และข้อความเกี่ยวกับผู้เขียน (By-line) • ผู้เขียนควรตามหาหัวเรื่อง (running head) ซึ่งวารสารส่วนใหญ่นิยมพิมพ์ไว้ด้านบน(หรือล่าง) ของหน้าขวามือ หัวเรื่องนี้มักเป็นส่วนหนึ่งของชื่อเรื่องที่ทำให้สั้นลงเหลือประมาณ 40 อักษร(รวมมรรคด้วย) อาจเป็นเพียงวลีสำคัญ (key phrase) ของชื่อเรื่อง ตัวอย่าง
ชื่อเรื่อง (Title) และข้อความเกี่ยวกับผู้เขียน (By-line) • ชื่อเรื่อง : “การศึกษาเบื้องต้นเกี่ยวกับวิธีการผลิตและการใช้ปุ๋ยแบคทีเรียเพื่อผลผลิตถั่วเหลืองพันธุ์ สจ.2” • หัวเรื่อง : “การผลิตและการใช้ปุ๋ยแบคทีเรียกับถั่วเหลือง สจ.2”
ชื่อเรื่อง (Title) และข้อความเกี่ยวกับผู้เขียน (By-line) ข้อความเกี่ยวกับผู้เขียนได้แก่ชื่อของผู้เขียน (และคณะ หากมีผู้ช่วยงานหลายคน) และสังกัด ชื่อของผู้เขียนไม่จำเป็นต้องมีคำนำหน้า ควรระบุชื่อทุกคน
บทคัดย่อ (Abtract) • หลังจากที่ผู้เขียนเรื่องทั้งหมดจบลงแล้ว ควรอ่านบททบทวนและบันทึกสาระสำคัญในเรื่องลักษณะของปัญหา วัตถุประสงค์ วิธีการ ผล สรุปผล และข้อเสนอแนะสำหรับงานขั้นต่อไป แล้วนำมาเรียบเรียงเป็นบทคัดย่อในภายหลัง
บทคัดย่อ (Abtract) ในบทคัดย่อ ไม่ควรระบุสิ่งใดที่มิได้มีปรากฏอยู่ในเนื้อเรื่อง และนำเอาชื่อเรื่องมากล่าวซ้ำ ควรกล่าวถึงวัตถุประสงค์และวิธีการหรือแนวการศึกษา สำหรับวิธีการใหม่ควรกำหนดหลักการ แนวทางการปฏิบัติ และขอบเขตของความแน่นอน ไม่ควรอ้างอิงเอกสาร รูปภาพ และตารางใดๆในบทคัดย่อ ควรพยายามเน้นถึงสิ่งที่มีชีวิตหรือสารพิษใหม่ๆ หากผู้เขียนต้องอ้างอิงเอกสาร ก็ต้องให้แหล่งของเอกสารอ้างอิงในบทคัดย่อนั้นเองโดยใส่ในวงเล็บ ต้องไม่มีบัญชีรายชื่อเอกสารอ้างอิงอยู่ในบทคัดย่อ ควรพยายามรักษาบทคัดย่ออยู่ในความยาวไม่เกิน 200 คำ หรือประมาณ 3% ของเนื้อเรื่อง
บทนำ(Introduction) บทนำมีหน้าที่ 2 ประการ คือ • บอกลักษณะของปัญหาที่นำมาทดลองหรือศึกษาวิจัย โดยเน้นถึงสถานภาพของความรู้ในตอนเริ่มการวิจัย • บอกถึงวัตถุประสงค์ ขอบเขต และวิธีการดำเนินการวิจัย บทนำที่ดีไม่ควรยืดยาวเกินไป ควรเป็นข้อเขียนที่อ่านเข้าใจง่าย ไม่ว่าผู้อ่านจะอยู่ในสาขาวิชานั้นโดยตรงหรือไม่ก็ตาม
วัสดุอุปกรณ์และวิธีการ (Materials and Methods) การทดลอง (experimental) ตอนนี้อาจแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ • วัสดุอุปกรณ์ (materials) • วิธีการ (methods) ควรให้มีข้อความละเอียดพอที่นักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆที่อยู่ในสายงานเดียวกัน จะสามารถนำไปทำการทดลองซ้ำได้
ผล (results) เป็นการนำเสนอผลของการทดลองหรือศึกษาวิจัยโดยที่ผู้เขียนควรนำมาเลือกเฟ้น จำแนก จัดหมวดหมู่ และวิเคราะห์เพื่อให้สามารถตีความหมายและวิจารณ์ได้สะดวก แต่ไม่มีการออกความเห็นหรือวิจารณ์ผลนั้นๆในตอนนี้ ควรให้สัมพันธ์กับเนื้อหาที่ได้แจ้งไว้ในวัตถุประสงค์ แต่ไม่ควรอธิบายอย่างยืดยาว ถ้าเป็นไปได้ ควรเสนอในรูปของตาราง กราฟ หรือรูปภาพ
บทวิจารณ์ (Discussion) การวิจารณ์ผลนั้นผู้เขียนควรแยกเอาผลที่ได้มาจากการทดลองมาวิจารณ์ ไม่ใช่นำมาแสดงเฉยๆ แต่ควรอ้างอิงถึงผลต่างๆเหล่านั้นตามที่ปรากฏในกราฟ ตาราง หรือรูปภาพ ในบทวิจารณ์อาจมีตาราง กราฟ หรือรูปภาพซึ่งได้มาจากวิเคราะห์ผลในแง่ต่างแล้ว
การวิจารณ์ที่ดีควรยึดหลักต่อไปนี้การวิจารณ์ที่ดีควรยึดหลักต่อไปนี้ • เพื่อให้ผู้อ่านคล้อยตามถึงความสัมพันธ์ของหลักการหรือกฎเกณฑ์ ที่แสดงออกมาจากผลการทดลอง • เพื่อชี้แนะให้ผู้อ่านเห็นความสำคัญของผลการทดลองนี้ที่ไปสนับสนุนหรือคัดค้านสมมติฐานหรือทฤษฎีที่มีผู้เคยเสนอมาก่อน • เพื่อเปรียบเทียบผลการทดลองและการตีความหมายของผู้อื่น โดยพยายามเน้นถึงปัญหาหรือข้อโต้แย้งใสาระสำคัญของเรื่อง
การวิจารณ์ที่ดีควรยึดหลักต่อไปนี้การวิจารณ์ที่ดีควรยึดหลักต่อไปนี้ • เพื่อสรุปสาระสำคัญและประจักษ์พยานของผลการทดลอง • เพื่อชี้ให้เห็นถึงข้อดีข้อเสียของวัสดุอุปกรณ์และวิธีการที่ใช้ • เพื่อเสนอแนะความคิดใหม่ๆที่ได้จากการทดลองนี้ สำหรับการทดลองในอนาคต • เพื่อชี้ให้เห็นถึงปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นในการทดลองนี้ • เพื่อชี้ให้เห็นลู่ทางนำผลไปใช้ให้เกิดประโยชน์
บทสรุป (Conclusion) บทสรุปกล่าวถึงผลโดยย่อและข้อสรุปที่ได้จากการวิจารณ์ บทสรุปต่างกับบทคัดย่อ กล่าวคือบทสรุปจะมีความหมายก็ต่อเมื่อได้อ่านตัวบทความแล้ว จึงนิยมเอาไว้ตอนท้ายของบทความ ส่วนบทคัดย่อนั้น นอกจากจะยาวกว่าแล้วยังมีความสมบูรณ์ในตัวของมันเอง สามารถอ่านเข้าใจได้ แม้ไม่ได้อ่านตัวบทความนั้น
บทสรุป (Conclusion) • วารสารทางวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่มักจะละทิ้งตอนนี้ โดยที่เห็นว่าเป็นการกล่าวซ้ำกับบทคัดย่อ โดยเฉพาะถ้าบทความนั้นๆมีความยาวไม่มากนัก บ้างก็นำมารวมไว้กับบทวิจารณ์โดยเขียนหัวเรื่องว่าวิจารณ์และสรุป (discussion and conclusion) • แต่บางวารสรก็ยังมีตอน “สรุปผลการทดลอง” แยกต่างหากเพื่อนำผลการทดลองมาสรุปให้ผู้อ่านทบทวนอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งนับว่ามีประโยชน์มากสำหรับผู้ที่จำนำผลการทดลองไปใช้ประโยชน์หรือนำไปอ้างอิงต่อไป
คำขอบคุณ (Acknowledgement) • “กิตติกรรมประกาศ” บ้างก็ใช้คำว่า “คำนิยม” • การขอบคุณในเรื่องต่างๆที่ผู้เขียนได้รับระหว่างดำเนินการศึกษาทดลองอยู่ เช่นผู้ที่ช่วยเหลืองานวิจัย (ตรวจสอบผล ตรวจวัด จดบันทึก ฯลฯ) และจัดเตรียมเอกสาร (ถ่ายภาพ เขียนรูปประกอบ ฯลฯ) แต่บุคคลเหล่านี้ต้องมิใช่เป็นผู้ร่วมงานซึ่งมีชื่อปรากฏในเรื่องด้วย
เอกสารอ้างอิง (References หรือ Literature Cites) • ตอนนี้นับว่าเป็นตอนที่สำคัญที่สุดตอนหนึ่ง แต่เป็นตอนที่ผู้เขียนละเลยมากที่สุด เพราะคิดว่าไม่สำคัญ • ต้องเป็นเอกสารที่ได้ถูกนำมาอ้างอิงไว้ในเนื้อเรื่องตอนใดตอนหนึ่งหากมิได้นำมาอ้างอิง อย่าได้ระบุชื่อเอกสารนั้นๆไว้ในตอนนี้
ภาคผนวก (Appendix) บทความบางเรื่องมีความจำเป็นต้องแสดงรายละเอียดในเรื่องของข้อมูลบางประการ การคำนวณ หลักการ หรือวิธีการ ตลอดจนตารางที่ไม่เกี่ยวข้องกับผลการวิจัยโดยตรง แต่ผู้เขียนเห็นว่ามีประโยชน์ต่อผู้อ่าน ในกรณีของข้อมูลดิบ (raw data) ผู้เขียนควรรวบรวม จัดหมวดหมู่ ย่อยย่อลงให้เหลือเท่าที่จำเป็นจริงๆ
รายงานวิจัยเฉพาะเรื่องรายงานวิจัยเฉพาะเรื่อง • การเสนอผลงานวิจัยในรูปแบบของรายงานวิจัยเฉพาะเรื่องมีความสำคัญ • ประกอบด้วยส่วนหน้า (front matter) กับส่วนเนื้อรายงาน(body report)
ส่วนหน้า (front matter) • Cover • Report documentation page • Preface (background, purpose, acknowledgement) • Table of contents • List of illustrations • List of tables • List of abbreviations and symbols • Summary
ส่วนเนื้อของรายงาน (body of report) 1. Project objectives 2. Purpose - Scientific progress - Progress towards achieving project objectives (and development) 3. References 4. Publications and patients resulting from this project 5. Financial statements - Personnel - Operating costs(patients, chemicals, animals, minor equipments, travel, ect.) - Investment costs (major equipment, facilities,ect.)
ขั้นตอนที่สำคัญในการเขียนรายงานวิจัยเฉพาะเรื่องขั้นตอนที่สำคัญในการเขียนรายงานวิจัยเฉพาะเรื่อง 1. รวบรวมข้อมูลที่สำคัญ และตรงกับจุดประสงค์ของโครงการ 2. วางโครงร่าง และลำดับของการเสนอผลงานในตัวรายงาน (scientific progress) 3. ชี้ให้เห็นความสำคัญของผลงานในการบรรลุจุดประสงค์ของโครงการ รวมทั้งชี้แนวทางในการประยุกต์ และพัฒนาผลงานนี้ 4. เขียนรายงานย่อ (summary) อย่างสั้นๆ ให้ครอบคลุมประเด็นใน 2 และ 3 เป็นสำคัญ 5. เขียนรายงานการเงิน 6. เขียนรายละเอียดอื่นๆที่จำเป็น
การเขียนบทความปริทัศน์และบทความทั่วไปการเขียนบทความปริทัศน์และบทความทั่วไป
การเขียนบทความปริทัศน์และบทความทั่วไปการเขียนบทความปริทัศน์และบทความทั่วไป บทความปริทัศน์(review articles) เป็นข้อเขียนซึ่งรวบรวมนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์ซึ่งตีพิมพ์แล้วในวารสารต่างๆมาวิเคราะห์ วิจารณ์ เปรียบเทียบกัน เพื่อให้เกิดความกระจ่างในเรื่องนั้นๆยิ่งขึ้น บทความประเภทนี้มีประโยชน์ทั้งแก่นักวิจัยและผู้อ่านที่สนใจในเรื่องทางวิทยาศาสตร์ทั่วไป เพราะเป็นการรวบรวมความรู้จักหลายๆแหล่งเข้ามาไว้ด้วยกัน และผู้เขียนเองก็อาจสอดแทรกความคิดเห็นหรือข้อวิจารณ์ของตนเข้าไว้ด้วย
การเขียนบทความปริทัศน์และบทความทั่วไปการเขียนบทความปริทัศน์และบทความทั่วไป บทความประเภทนี้อาจปรากฏอยู่ในวารสารวิจัย(research journal) โดยแทรกอยู่เป็นหมวดหนนึ่ง หรือเป็นองค์ประกอบหลักของวารสารปริทัศน์(review journal) ก็ได้ แต่ถ้านำไปลงในนิตยสารหรือวารสารสำหรับผู้อ่านทั่วไปแล้วก็จะกลายเป็นบทความทั่วไป (general articles) ทั้งๆที่เนื้อหาส่วนใหญ่ยังเหมือนกัน ผิดกันแต่วิธีการเรียบเรียงซึ่งทำให้ง่ายขึ้นเพื่อให้ผู้อ่านที่ไม่มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์สาขานั้นๆ สามารถเข้าใจได้ง่าย