940 likes | 1.07k Views
Good morning welcome to Calvary Chapel at the Bridge สวัสดีตอนเช้าขอต้อนรับสู่ โบสถ์แคล'วะรีแชพ'เพิลที่สะพาน. Hebrews ฮีบรู Chapter 13 Exhortations for Christian living. 1 Let brotherly love continue. 1 จงให้ความรักฉันพี่น้องมีอยู่ต่อกันเสมอไป.
E N D
Good morning welcome to Calvary Chapel at the Bridgeสวัสดีตอนเช้าขอต้อนรับสู่โบสถ์แคล'วะรีแชพ'เพิลที่สะพาน
Hebrews ฮีบรู Chapter 13 Exhortations for Christian living
1Let brotherly love continue. 1จงให้ความรักฉันพี่น้องมีอยู่ต่อกันเสมอไป
John ยอห์น13:34-35 34A new commandment I give to you, that you love one another: just as I have loved you, you also are to love one another. 34ข้าพเจ้าให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลายคือให้เจ้ารักซึ่งกันและกันข้าพเจ้ารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไรเจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น
35By this all people will know that you are my disciples, if you have love for one another.” 35ถ้าเจ้าทั้งหลายรักกันและกันดังนี้แหละคนทั้งปวงก็จะรู้ได้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของข้าพเจ้า”
Romans โรม 13:8 8Owe no one anything, except to love each other, for the one who loves another has fulfilled the law. 8อย่าเป็นหนี้อะไรใครนอกจากความรักซึ่งมีต่อกันเพราะว่าผู้ที่รักเพื่อนบ้านก็ได้ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติครบถ้วนแล้ว
1 John ยอห์น 4:7-8 7Beloved, let us love one another, for love is from God, and whoever loves has been born of God and knows God. 7ท่านที่รักทั้งหลายขอให้เรารักซึ่งกันและกันเพราะว่าความรักมาจากพระเจ้าและทุกคนที่รักก็บังเกิดมาจากพระเจ้าและรู้จักพระเจ้า
8Anyone who does not love does not know God, because God is love. 8ผู้ที่ไม่รักก็ไม่รู้จักพระเจ้าเพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก
1 John ยอห์น 2:9-11 9 Whoever says he is in the light and hates his brother is still in darkness. 9ผู้ใดที่กล่าวว่าตนอยู่ในความสว่างและยังเกลียดชังพี่น้องของตนผู้นั้นก็ยังอยู่ในความมืด
10Whoever loves his brother abides in the light, and in him there is no cause for stumbling. 10ผู้ที่รักพี่น้องของตนก็อยู่ในความสว่างและในความสว่างนั้นไม่มีอะไรที่จะทำให้สะดุด
11But whoever hates his brother is in the darkness and walks in the darkness, and does not know where he is going, because the darkness has blinded his eyes. 11แต่ผู้ที่เกลียดชังพี่น้องของตนก็อยู่ในความมืดและเดินในความมืดและไม่รู้ว่าตนกำลังไปไหนเพราะว่าความมืดทำให้ตาของเขาบอดไปเสียแล้ว
1 John ยอห์น 4:19-21 19We love because He first loved us. 19เราทั้งหลายรักก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน
20If anyone says, “I love God,” and hates his brother, he is a liar; for he who does not love his brother whom he has seen cannot love God whom he has not seen. 20ถ้าผู้ใดว่า “ข้าพเจ้ารักพระเจ้า” และใจยังเกลียดชังพี่น้องของตนผู้นั้นก็เป็นคนพูดมุสาเพราะว่าผู้ที่ไม่รักพี่น้องของตนที่แลเห็นแล้วจะรักพระเจ้าที่ไม่เคยเห็นไม่ได้
21And this commandment we have from Him: whoever loves God must also love his brother. 21พระบัญญัตินี้เราทั้งหลายก็ได้มาจากพระองค์คือว่าให้คนที่รักพระเจ้านั้นรักพี่น้องของตนด้วย
Hebrews ฮีบรู 13:22Do not neglect to show hospitality to strangers, for thereby some have entertained angels unawares. 2อย่าละเลยที่จะต้อนรับแขกแปลกหน้าเพราะว่าโดยการกระทำเช่นนั้นบางคนก็ได้ต้อนรับทูตสวรรค์โดยไม่รู้ตัว
1 Peter เปโตร 4:8-10 8Above all, keep loving one another earnestly, since love covers a multitude of sins. 8ที่สำคัญยิ่งกว่าอะไรหมดก็คือจงรักซึ่งกันและกันให้มากเพราะว่าความรักลบล้างความผิดมากมายได้
9Show hospitality to one another without grumbling. 9ท่านทั้งหลายจงต้อนรับเลี้ยงดูซึ่งกันและกันโดยไม่บ่น
10As each has received a gift, use it to serve one another, as good stewards of God's varied grace:
10ตามซึ่งทุกคนได้รับของประทานที่ทรงประทานให้แล้วก็ให้ใช้ของประทานนั้นเพื่อประโยชน์แก่กันและกันเป็นผู้รับมอบฉันทะที่ดีที่แจกและสำแดงพระคุณนานาประการของพระเจ้า10ตามซึ่งทุกคนได้รับของประทานที่ทรงประทานให้แล้วก็ให้ใช้ของประทานนั้นเพื่อประโยชน์แก่กันและกันเป็นผู้รับมอบฉันทะที่ดีที่แจกและสำแดงพระคุณนานาประการของพระเจ้า
Hebrews ฮีบรู 13:33Remember those who are in prison, as though in prison with them, and those who are mistreated, since you also are in the body. 3จงระลึกถึงคนเหล่านั้นที่ถูกจำจองอยู่เหมือนหนึ่งว่าท่านทั้งหลายก็ถูกจำจองอยู่กับเขาด้วยจงระลึกถึงคนทั้งหลายที่ถูกเคี่ยวเข็ญเพราะว่าท่านทั้งหลายก็มีร่างกายเหมือนอย่างเขา
Matthew มัทธิว 25:31-40 31“When the Son of Man comes in His glory, and all the angels with Him, then He will sit on His glorious throne. 31“เมื่อบุตรมนุษย์ทรงพระสิริเสด็จมากับทั้งหมู่ทูตสวรรค์เมื่อนั้นพระองค์จะประทับบนพระที่นั่งอันรุ่งเรืองของพระองค์
32Before Him will be gathered all the nations, and He will separate people one from another as a shepherd separates the sheep from the goats.
32บรรดาประชาชาติต่างๆจะประชุมพร้อมกันต่อพระพักตร์พระองค์และพระองค์จะทรงแยกมนุษย์ทั้งหลายออกเป็นสองพวกเหมือนอย่างผู้เลี้ยงแกะจะแยกแกะออกจากแพะ32บรรดาประชาชาติต่างๆจะประชุมพร้อมกันต่อพระพักตร์พระองค์และพระองค์จะทรงแยกมนุษย์ทั้งหลายออกเป็นสองพวกเหมือนอย่างผู้เลี้ยงแกะจะแยกแกะออกจากแพะ
33And He will place the sheep on His right, but the goats on the left. 33ส่วนฝูงแกะนั้นจะทรงจัดให้อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์แต่ฝูงแพะนั้นจะทรงจัดให้อยู่เบื้องซ้าย
34Then the King will say to those on his right, ‘Come, you who are blessed by My Father, inherit the kingdom prepared for you from the foundation of the world.
34ขณะนั้นพระมหากษัตริย์จะตรัสแก่บรรดาผู้ที่อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ว่า 'ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของข้าพเจ้าจงมารับเอาราชอาณาจักรซึ่งได้ตระเตรียมไว้สำหรับท่านทั้งหลายตั้งแต่แรกสร้างโลก
35For I was hungry and you gave me food, I was thirsty and you gave Me drink, I was a stranger and you welcomed Me, 35เพราะว่าเมื่อข้าพเจ้าหิวท่านทั้งหลายก็ได้จัดหาให้ข้าพเจ้ากินข้าพเจ้ากระหายน้ำท่านก็ให้ข้าพเจ้าดื่มข้าพเจ้าเป็นแขกแปลกหน้าท่านก็ได้ต้อนรับข้าพเจ้าไว้
36I was naked and you clothed Me, I was sick and you visited Me, I was in prison and you came to Me.’ 36ข้าพเจ้าเปลือยกายท่านก็ได้ให้เสื้อผ้าข้าพเจ้านุ่งห่มเมื่อข้าพเจ้าเจ็บป่วยท่านก็ได้มาเยี่ยมเอาใจใส่ข้าพเจ้าเมื่อข้าพเจ้าต้องจำอยู่ในพันธนาคารท่านก็ได้มาเยี่ยมข้าพเจ้า'
37Then the righteous will answer Him, saying, ‘Lord, when did we see You hungry and feed You, or thirsty and give You drink? 37เวลานั้นบรรดาผู้ชอบธรรมจะกราบทูลว่า 'พระองค์เจ้าข้าที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ทรงหิวหรือทรงกระหายน้ำและได้จัดมาถวายแด่พระองค์แต่เมื่อไร
38And when did we see You a stranger and welcome You, or naked and clothe You? 38ที่ข้าพระองค์ได้เห็นพระองค์ทรงเป็นแขกแปลกหน้าและได้ต้อนรับไว้หรือเปลือยพระกายและได้สวมฉลองพระองค์ให้แต่เมื่อไร
39And when did we see You sick or in prison and visit You?’ 39ที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ประชวรหรือต้องจำอยู่ในพันธนาคารและได้มาเฝ้าพระองค์นั้นแต่เมื่อไร'
40And the King will answer them, ‘Truly, I say to you, as you did it to one of the least of these My brothers, you did it to Me.’
40แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสกับเขาว่า 'ข้าพเจ้าบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าซึ่งท่านได้กระทำแก่คนใดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของข้าพเจ้านี้ถึงแม้จะต่ำต้อยเพียงไรก็เหมือนได้กระทำแก่ข้าพเจ้าด้วย'
41“Then He will say to those on his left, ‘Depart from Me, you cursed, into the eternal fire prepared for the devil and his angels.
41พระองค์จะตรัสกับบรรดาผู้ที่อยู่เบื้องซ้ายพระหัตถ์ของพระองค์ว่า 'ท่านทั้งหลายผู้ต้องแช่งสาปจงถอยไปจากข้าพเจ้าเข้าไปอยู่ในไฟซึ่งไหม้อยู่เป็นนิตย์ซึ่งเตรียมไว้สำหรับมารร้ายและสมุนของมันนั้น
42For I was hungry and you gave Me no food, I was thirsty and you gave Me no drink, 42เพราะว่าเมื่อข้าพเจ้าหิวท่านก็มิได้ให้ข้าพเจ้ากินข้าพเจ้ากระหายน้ำท่านก็มิได้ให้ข้าพเจ้าดื่ม
43I was a stranger and you did not welcome Me, naked and you did not clothe Me, sick and in prison and you did not visit Me.’
44Then they also will answer, saying, ‘Lord, when did we see you hungry or thirsty or a stranger or naked or sick or in prison, and did not minister to you?’
44เขาทั้งหลายจะทูลว่า 'พระองค์เจ้าข้าที่ข้าพระองค์ได้เห็นพระองค์ทรงหิวหรือทรงกระหายน้ำหรือทรงเป็นแขกแปลกหน้าหรือเปลือยพระกายหรือประชวรหรือต้องจำอยู่ในพันธนาคารและข้าพระองค์มิได้ปรนนิบัติพระองค์นั้นแต่เมื่อไร'
45Then He will answer them, saying, ‘Truly, I say to you, as you did not do it to one of the least of these, you did not do it to Me.’
45เมื่อนั้นพระองค์จะตรัสกับเขาว่า 'ข้าพเจ้าบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าซึ่งท่านมิได้กระทำแก่ผู้ต่ำต้อยที่สุดสักคนหนึ่งในพวกนี้ก็เหมือนท่านมิได้กระทำแก่ข้าพเจ้าด้วย'
46And these will go away into eternal punishment, but the righteous into eternal life.” 46และพวกเหล่านี้จะต้องออกไปรับโทษอยู่เป็นนิตย์แต่ผู้ชอบธรรมจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์”
Hebrews ฮีบรู 13:44Let marriage be held in honor among all, and let the marriage bed be undefiled, for God will judge the sexually immoral and adulterous.
4จงให้การสมรสเป็นที่นับถือแก่คนทั้งปวงและให้เตียงสมรสปราศจากความชั่วช้าเพราะคนมีชู้และคนที่ล่วงประเวณีนั้นพระเจ้าจะทรงพิพากษาโทษเขา4จงให้การสมรสเป็นที่นับถือแก่คนทั้งปวงและให้เตียงสมรสปราศจากความชั่วช้าเพราะคนมีชู้และคนที่ล่วงประเวณีนั้นพระเจ้าจะทรงพิพากษาโทษเขา
Ephesians เอเฟซัส 6:25-33 25Husbands, love your wives, as Christ loved the Church and gave Himself up for her, 25ฝ่ายสามีก็จงรักภรรยาของตนเหมือนอย่างที่พระคริสต์ทรงรักคริสตจักรและทรงประทานพระองค์เองเพื่อคริสตจักร
26 that He might sanctify her, having cleansed her by the washing of water with the word, 26เพื่อจะได้ทรงทำให้คริสตจักรบริสุทธิ์โดยการทรงชำระด้วยน้ำและพระวจนะ
27so that He might present the church to Himself in splendor, without spot or wrinkle or any such thing, that she might be holy and without blemish. 27เพื่อพระองค์จะได้มีคริสตจักรที่มีสง่าราศีไม่มีตำหนิริ้วรอยหรือมลทินใดๆเลยแต่บริสุทธิ์ปราศจากตำหนิ
28In the same way husbands should love their wives as their own bodies. He who loves his wife loves himself. 28เช่นนั้นแหละสามีจึงควรจะรักภรรยาของตนเหมือนกับรักกายของตนเองผู้ที่รักภรรยาของตนก็รักตนเอง
29For no one ever hated his own flesh, but nourishes and cherishes it, just as Christ does the church, 29เพราะว่าไม่มีผู้ใดเกลียดชังเนื้อหนังของตนเองมีแต่เลี้ยงดูและทนุถนอมเหมือนพระคริสต์ทรงกระทำแก่คริสตจักร