230 likes | 570 Views
สำนักโครงการขนาดใหญ่ กรมชลประทาน. ลุ่มน้ำโตนเลสาบ ที่ตั้ง ลักษณะภูมิประเทศ พื้นที่ลุ่มน้ำ ภูมิอากาศ ปริมาณน้ำท่า-น้ำฝน - ตารางเปรียบเทียบน้ำท่า-น้ำฝน ในกลุ่มลุ่มน้ำ ทรัพยากรดิน การใช้ประโยชน์ที่ดิน พื้นที่ทำการเกษตร. พื้นที่ที่มีศักยภาพพัฒนาระบบชลประทาน การประเมินความต้องการน้ำ
E N D
สำนักโครงการขนาดใหญ่ กรมชลประทาน ลุ่มน้ำโตนเลสาบ • ที่ตั้ง • ลักษณะภูมิประเทศ • พื้นที่ลุ่มน้ำ • ภูมิอากาศ • ปริมาณน้ำท่า-น้ำฝน - ตารางเปรียบเทียบน้ำท่า-น้ำฝน ในกลุ่มลุ่มน้ำ • ทรัพยากรดิน • การใช้ประโยชน์ที่ดิน • พื้นที่ทำการเกษตร. • พื้นที่ที่มีศักยภาพพัฒนาระบบชลประทาน • การประเมินความต้องการน้ำ • ปัญหาของลุ่มน้ำ • ด้านภัยแล้ง • แนวทางแก้ไข ส่วนอำนวยการและติดตามประเมินผล
17. ลุ่มน้ำโตนเลสาบ ที่ตั้ง ลุ่มน้ำโตนเลสาบเป็นลุ่มน้ำขนาดเล็ก ตั้งอยู่ทางตะวันออกของประเทศไทย ครอบคลุมพื้นที่จังหวัดสระแก้วและจังหวัดจันทบุรี ลุ่มน้ำนี้จะทอดตัวยาวจากทิศเหนือลงสู่ทิศใต้ โดยมีทิศเหนือติดกับลุ่มน้ำมูล ทิศใต้ติดกับลุ่มน้ำแม่น้ำปราจีนบุรี และทิศตะวันออกติดกับประเทศกัมพูชา ตามรูปที่ 17-1 รูปที่ 17-1 แสดงที่ตั้ง ลุ่มน้ำโตนเลสาบ
ลักษณะภูมิประเทศ ตามรูปที่ 17-2 ลักษณะของลุ่มน้ำ พื้นที่ตอนบนเป็นแนวเทือกเขาบรรทัด ซึ่งกั้นเขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์และจังหวัดปราจีนบุรี พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาและมีที่ราบริมลำน้ำ ตอนกลางของลุ่มน้ำเป็นที่ราบสูง โดยลาดเทลงจากทางทิศตะวันตกไปทางทิศตะวันออก ทำให้ลำน้ำสายต่างๆ จึงไหลออกไปทางประเทศกัมพูชาและลงทะเลสาบเขมร รูปที่ 17-2 สภาพภูมิประเทศในเขตพื้นที่ลุ่มน้ำโตนเลสาบ
พื้นที่ลุ่มน้ำ ลุ่มน้ำโตนเลสาบมีพื้นที่รวมทั้งสิ้นประมาณ 4,150 ตารางกิโลเมตร แบ่งออกเป็น 3 ลุ่มน้ำย่อย ตามตารางที่17-1 และรูปที่ 17-3 แสดงลุ่มน้ำย่อย ตารางที่ 17-1 ขนาดของพื้นที่ลุ่มน้ำย่อย 17.01 17.02 17.03 รูปที่ 17-3 แสดงลุ่มน้ำย่อย
ภูมิอากาศ ข้อมูลภูมิอากาศที่สำคัญของลุ่มน้ำนี้ได้แสดงไว้แล้ว ตามตารางที่ 17-2 ซึ่งแต่ละรายการจะเป็นค่าสูงสุด ค่าต่ำสุด และค่าเฉลี่ยเป็นรายปี ตารางที่ 17-2 แสดงข้อมูลภูมิอากาศที่สำคัญ
ปริมาณน้ำฝนลุ่มน้ำโตนเลสาบมีปริมาณฝนผันแปร ตั้งแต่ 800 มิลลิเมตร จนถึงประมาณ 3,000 มิลลิเมตร โดยมีปริมาณน้ำฝนทั้งปีเฉลี่ยประมาณ 1,516.0 ตามตารางที่ 17-3 และมีลักษณะการกระจายของปริมาณน้ำฝน ตามรูปที่ 17-4 ตารางที่ 17-3 ปริมาณน้ำฝนและน้ำท่ารายเดือนเฉลี่ย 17.01 17.02 17.03 รูปที่ 17-4 ปริมาณน้ำฝนและน้ำท่าเฉลี่ยรายเดือนในแต่ละลุ่มน้ำย่อย ปริมาณน้ำท่าลุ่มน้ำโตนเลสาบมีพื้นที่รับน้ำทั้งหมด 4,150 ตารางกิโลเมตร จะมีปริมาณน้ำท่าตามธรรมชาติ เฉลี่ยทั้งหมด 2,394.4 ล้านลูกบาศก์เมตร ตามตารางที่ 17-3 และคิดเป็นปริมาณน้ำท่ารายปีเฉลี่ยต่อหน่วยพื้นที่เท่ากับ 18.30 ลิตร/วินาที/ตารางกิโลเมตร รูปที่ 17-5 แสดงปริมาณน้ำท่าเฉลี่ยรายเดือนของแต่ละลุ่มน้ำย่อย
ตารางเปรียบเทียบ ปริมาณน้ำฝน - ปริมาณน้ำท่า
ทรัพยากรดิน พื้นที่ลุ่มน้ำโตนเลสาบสามารถจำแนกชนิดดินตามตารางความเหมาะสมของการปลูกพืช ออกได้ 4 ประเภท ซึ่งมีลักษณะการกระจายของกลุ่มดิน ตามรูปที่ 17-6 และแต่ละประเภทมีจำนวนพื้นที่ตามตารางที่ 17-4 ตารางที่ 1-4 รูปที่ 17-6 การแบ่งกลุ่มดินจำแนกตามความเหมาะสมใช้ปลูกพืช
การใช้ประโยชน์จากที่ดิน 1) พื้นที่ทำการเกษตร............. 42.69 % พืชไร่................................. 47.36 % ไม้ผล-ไม้ยืนต้น................... 0.03 % ข้าว.................................... 45.00 % พืชผัก................................ 7.61 % รูปที่ 17-7 การทำเกษตร 2) ป่าไม้.................................. 47.57 % เขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่า.......... 5.95 % เขตอุทยานแห่งชาติ.............. 5.04 % พื้นที่ป่าอนุรักษ์..................... 89.00 % รูปที่ 17-8 พื้นที่ป่าไม้และเพื่อการอนุรักษ์ 3) ที่อยู่อาศัย............................ 3.92 % 4) แหล่งน้ำ............................... 0.19 % 5) อื่นๆ..................................... 5.73 % รูปที่ 17-9 การใช้ประโยชน์จากที่ดิน
พื้นที่ทำการเกษตร ลุ่มน้ำโตนเลสาบมีพื้นที่การเกษตรทั้งหมด 1,771 ตารางกิโลเมตร แต่มีพื้นที่ที่เหมาะสมกับการเพาะปลูกพืชต่างๆ ประมาณ 1,030.68 ตารางกิโลเมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 58.18 พื้นที่เหมาะสมสำหรับปลูกข้าว 444.45 ตารางกิโลเมตร (43.13 %) พื้นที่เหมาะสมสำหรับปลูกพืชผัก 0.45 ตารางกิโลเมตร ( 0.04 %) พื้นที่เหมาะสมสำหรับปลูกพืชไร่ 488.27 ตารางกิโลเมตร ( 47.37 %) พื้นที่เหมาะสมสำหรับปลูกไม้ผล-ไม้ยืนต้น 97.51 ตารางกิโลเมตร ( 9.46%) พื้นที่การเกษตรที่เหมาะสมกับการเพาะปลูก ส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณตอนกลางของสองฝั่งลำน้ำของห้วยพรหมโหด และตอนล่างบริเวณสองฝั่งลำน้ำของคลองพระพุทธ ซึ่งรวมแล้วประมาณร้อยละ 24.84 ของพื้นที่ทั้งลุ่มน้ำ ในการทำการเกษตร พบว่า การปลูกไม้ผล-ไม้ยืนต้นและพืชผักได้ปลูกบนพื้นที่ที่มีความเหมาะสมดีอยู่แล้ว แต่การปลูกพืชไร่และข้าวยังมีปลูกบนพื้นที่ที่มีความเหมาะสมไม่เพียงพออยู่บ้าง รูปที่ 17-10 การใช้ประโยชน์ที่ดินหลักด้านการเกษตร
พื้นที่ที่มีศักยภาพพัฒนาระบบชลประทานพื้นที่ที่มีศักยภาพพัฒนาระบบชลประทาน พื้นที่ที่มีศักยภาพการพัฒนาระบบชลประทานในพื้นที่ลุ่มน้ำโตนเลสาบ ส่วนใหญ่จะอยู่ตอนกลางบริเวณสองฝั่งลำน้ำของห้วยพรหมโหด ประมาณ 370.33 ตารางกิโลเมตร และคิดเป็นร้อยละ 35.93 ของพื้นที่การเกษตรที่เหมาะสมกับการเพาะปลูก หรือร้อยละ 20.90 ของพื้นที่การเกษตรทั้งหมด ตารางที่ 1-5 ตารางเปรียบเทียบพื้นที่การเกษตรกับพื้นที่มีศักยภาพสำหรับพัฒนาระบบชลประทาน
การประเมินความต้องการน้ำ การประเมินความต้องการน้ำ จากการศึกษาด้านเศรษฐกิจและสังคม ได้คาดคะเนอัตราการเจริญเติบโตของประชากร ทั้งที่อาศัยอยู่ในเมืองและนอกเขตเมืองรวมทั้งความต้องการน้ำสำหรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม ช่วงปี 2544-2564 สรุปได้ตามรูปที่ 17-11 รักษาระบบนิเวศ ปริมาณน้ำ (ล้าน ลบ.ม.) ชลประทาน อุตสาหกรรม อุปโภค - บริโภค รูปที่ 17-11 สรุปแนวโน้มปริมาณความต้องการน้ำแต่ละประเภท
ปัญหาของลุ่มน้ำ • ด้านอุทกภัย สภาพการเกิดอุทกภัยในลุ่มน้ำนี้ แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะคือ∶- 1) อุทกภัยที่เกิดในบริเวณพื้นที่ลุ่มน้ำตอนบนและลำน้ำสาขาต่างๆ จะเกิดจากการที่มีฝนตกหนักและน้ำป่าไหลหลากจากต้นน้ำลงมามากจนลำน้ำสายหลักไม่สามารถระบายน้ำได้ทัน ประกอบกับมีสิ่งกีดขวางจากเส้นทางคมนาคมขวางทางน้ำ และมีอาคารระบายน้ำไม่เพียงพอ พื้นที่ที่เกิดน้ำท่วมเป็นประจำ ได้แก่ อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว 2) อุทกภัยที่เกิดในพื้นที่ราบลุ่ม จะเกิดบริเวณที่เป็นพื้นที่ราบลุ่มและแม่น้ำสายหลักตื้นเขิน มีความสามารถระบายน้ำไม่เพียงพอ ทำให้ไม่สามารถระบายลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ พื้นที่ที่เกิดน้ำท่วมเป็นประจำ ได้แก่ อำเภอตาพระยา อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว
ด้านภัยแล้ง ปัญหาภัยแล้งในลุ่มน้ำนี้เกิดจากภาวะฝนทิ้งช่วงยาวนาน ทำให้พื้นที่การเกษตรที่อยู่นอกเขตชลประทานเกิดความแห้งแล้งขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภคและการเกษตร รวมทั้งการใช้น้ำในกิจกรรมอื่นๆ ด้วย ตามข้อมูล กชช.2ค ปี 2542 ในลุ่มน้ำนี้มีจำนวนหมู่บ้านทั้งหมด 336 หมู่บ้าน พบว่า มีหมู่บ้านที่ขาดแคลนน้ำทั้งหมด 115 หมู่บ้าน(ร้อยละ 34.23) โดยแยกเป็นหมู่บ้านที่ขาดแคลนน้ำเพื่อทำการเกษตร 49 หมู่บ้าน (ร้อยละ 23.51) และหมู่บ้านที่ขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภคและการเกษตร 36 หมู่บ้าน(ร้อยละ 10.71) หมู่บ้านที่ประสบภัยแล้งส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว 59 หมู่บ้าน หรือคิดเป็นร้อยละ 51.30 ของหมู่บ้านที่ประสบภัยแล้งทั้งหมด หมู่บ้านที่มีน้ำอุปโภค-บริโภค แต่ขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตร หมู่บ้านที่ขาดแคลนน้ำอุปโภค-บริโภค และน้ำเพื่อการเกษตร รูปที่ 17-12 แสดงลักษณะการกระจายตัวของหมู่บ้านที่ประสบปัญหาภัยแล้ง
แนวทางการแก้ไข ปัญหาการเกิดอุทกภัย และภัยแล้งในลุ่มน้ำโตนเลสาบ มีลักษณะคล้ายกับพื้นที่ลุ่มน้ำอื่นๆ คือ การผันแปรของปริมาณน้ำฝน ส่งผลให้เกิดความแห้งแล้งในช่วงที่ฝนทิ้งช่วง ในทางกลับกันเมื่อมีฝนตกหนักก็ทำให้เกิดน้ำไหลหลากท่วมพื้นที่อยู่อาศัย และพื้นที่การเกษตร การแก้ไขปัญหาดังกล่าว จึงมีแนวทางแก้ไขในภาพรวม โดยสรุปดังนี้ 1) การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดเล็กในพื้นที่ตอนบนของลำน้ำสาขาที่สำคัญ ได้แก่ คลองโป่งน้ำร้อน คลองทรายขาว และห้วยสะโตนเพื่อเก็บกักน้ำและชะลอปริมาณน้ำหลากในช่วงที่ฝนตกหนักและปล่อยน้ำที่เก็บกักลงทางด้านท้ายน้ำในช่วงฤดูแล้งเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้งให้พื้นที่สองฝั่งลำน้ำ 2) การก่อสร้างระบบส่งน้ำและกระจายน้ำให้พื้นที่ที่ได้รับความเดือดร้อนจากภัยแล้งและอยู่ไม่ห่างจากลำน้ำสายหลักมากนัก โดยอาจดำเนินการในลักษณะก่อสร้างฝายประตูน้ำ พร้อมระบบคลองส่งน้ำ/ระบบสูบนำและส่งน้ำด้วยท่อ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากปัญหาภัยแล้ง 3) การปรับปรุงประสิทธิภาพการระบายน้ำ 4) ควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินบริเวณเขตตั้งเมือง และพื้นที่โดยรอบมิให้ลุกล้ำแนวคลองและลำน้ำสาธารณะ 5) ก่อสร้างถังเก็บน้ำ สระเก็บน้ำประจำไร่นา ฯลฯ ในพื้นที่อยู่ห่างไกลจากแหล่งน้ำ / นอกเขตชลประทานตามความเหมาะสมของพื้นที่ _________________________