220 likes | 351 Views
S.N.P. NEWS. S.N.P. GROUP OF COMPANIES. ข่าวสารฉบับที่ 156. Logistics Specialist and International Freight Forwarder. S.N.P. GROUP OF COMPANIES. www.snp.co.th. CEO Articles. Global News. CEO Articles. Supply & Demand. All about Logistics. เที่ยวรอบโลกกับ Peter Chan. SNP Philosophy.
E N D
S.N.P. NEWS S.N.P. GROUP OF COMPANIES ข่าวสารฉบับที่ 156 Logistics Specialist and International Freight Forwarder www.themegallery.com
S.N.P. GROUP OF COMPANIES www.snp.co.th CEO Articles Global News CEO Articles Supply & Demand All about Logistics เที่ยวรอบโลกกับPeter Chan SNP Philosophy Tel. 0-2333-1199 ( 12 Line )
กฎหมายกัมพูชา สวัสดีปีใหม่ 2554 ครับท่านผู้อ่าน บทความในฉบับส่งท้ายปีเก่า 2553 ผมได้กล่าวถึงกรณีของนายพรานที่ถูกจับในประเทศกัมพูชาและนำมาเปรียบเทียบกับท่านผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่ไม่ต้องการทำธุรกิจให้ผิดกฎหมายใด ๆ แต่สุดท้าย ท่านผู้ประกอบการก็ยังคงพบกับความผิดที่ไม่เจตนาเพียงเพราะไม่รู้กฎหมายศุลกากร และเพราะความที่มีความบริสุทธิ์ใจเป็นที่ตั้ง ท่านผู้ประกอบการรุ่นใหม่ซึ่งเป็นผู้มีความรู้ดีที่ต่างจากกรณีของนายพรานก็ย่อมต้องต่อสู้ และ CEO Articles ผมก็ได้กล่าวในตอนท้ายว่า ผมพบหลายกรณีที่มีการต่อสู้เกิดขึ้นแต่กลับทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ ทั้งนี้เพราะกฎหมายศุลกากรเขียนไว้ชัดเจนว่า มิให้นำหลักเจตนาขึ้นมาอ้างอิง แต่ยังไม่ทันผ่านพ้นปี พ.ศ. 2553 ก็เกิดกรณีคนไทย 7 คน ถูกทหารกัมพูชาจับกุมที่ชายแดนไปอีกเป็นการจับกุมขณะไปสำรวจพื้นที่เพราะมีชาวบ้านร้องเรียนมาให้ช่วยเหลือ และผู้ถูกจับกุมจำนวนหนึ่งก็เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง มีตำแหน่งทางการเมือง ข่าวในตอนช่วงปลายปีกล่าวว่า ทางการกัมพูชาจับเข้าห้องขังทันทีและต้องการให้นำเรื่องขึ้นสู่กระบวนการยุติธรรมในช่างต้นปี พ.ศ. 2554 ผมจำเป็นต้องนำเรื่องลักษณะนี้มากล่าวในข่าวสารฉบับต้นปีนี้อีกครั้งก็ด้วยเหตุผลที่ว่า คนไทยไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านธรรมดาหรือเป็นผู้มีตำแหน่งทางการเมืองสูงส่งเพียงใด หากอ้างว่าไม่รู้กฎหมายของประเทศกัมพูชา ผมว่าก็พอจะรับฟังได้ครับแม้จะไม่เต็มร้อย เพราะไม่ได้อยู่ในประเทศไทยด้วยกัน และเมื่อบังเอิญไปทำผิดกฎหมายของกัมพูชาเข้าแม้จะโดยไม่ตั้งใจก็ตาม สุดท้ายก็ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของเขา ผู้ใดจะมาอ้างว่าไม่รู้หลักเขตแดนหรือจะต่อสู้แบบไม่รู้กฎหมาย รัฐบาลกัมพูชาก็มีสิทธิ์ไม่รับฟังเช่นกัน อ่านต่อหน้า 2
ในทำนองเดียวกัน หากท่านผู้ประกอบการใดอ้างว่า ไม่มีรู้กฎหมายศุลกากร ไม่รู้กฎหมายลิขสิทธิ์ ไม่รู้ข้อตกลงทางการค้าและการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ และไม่รู้กฎระเบียบอื่น ๆ อีกมากมายที่ควรจะต้องรู้ในฐานะผู้ประกอบการ แต่บังเอิญไปทำผิดโดยไม่เจตนาเข้า ผมว่าหลายกรณีก็อ้างไม่ขึ้น และก็หลายกรณีที่ผมก็ยังเห็นว่า ท่านผู้ประกอบการที่มีความบริสุทธิ์ใจเป็นที่ตั้งก็พยายามต่อสู้จนทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่อย่างที่ผมกล่าวไว้ในตอนต้น แต่ปัญหาคือ ผู้ประกอบการมีหน้าที่ทำธุรกิจการค้าตามที่ตนเองถนัด จะมีเวลา จะมีปัญญาที่ไหนไปเรียนรู้เรื่องราวมากมายขนาดนี้ หลายองค์กรจึงต้องจ้างนักกฎหมายหรือผู้ทรงคุณวุฒิมาประจำสำนักงาน แต่นักกฎหมายหรือผู้ทรงคุณวุฒิแต่ละท่านก็มักมีความรู้เฉพาะด้านที่ตนเองถนัดเท่านั้น ไม่ได้ครอบคลุมธุรกิจการค้าทุกด้าน ครั้นจะจ้างผู้เชี่ยวชาญในครบทุกด้าน ก็คงต้องจ้างอย่างมากมายพร้อมการประเมินจุดคุ้มทุนไปในตัว มีบางรายใช้วิธีว่าจ้างผู้ชำนาญการโลจิสติกส์จากภายนอก (Out Source) แต่ก็น่าเสียดายที่ประเทศไทยมีผู้ชำนาญการโลจิสติกส์แบบครบเครื่องทั้งด้านกฎหมาย สิทธิประโยชน์ทางภาษี ระบบการค้า และระบบการขนส่งทั้งภายในประเทศและระดับสากลจำนวนไม่มาก จึงเป็นเหตุให้ผู้ประกอบการจำนวนมากพบแต่ผู้เชี่ยวชาญระดับท้องถิ่น (Local Specialist) เท่านั้น ผมไม่อยากให้เหตุการณ์คนไทยถูกทหารกัมพูชาจับกุมครั้งแล้วครั้งเล่าและก็เกิดขึ้นอีกไม่มีการป้องกันใด ๆ ในทำนองเดียวกัน ผมก็ไม่อยากให้ผู้ทำการค้าระหว่างประเทศต้องพบข้อผิดพลาดแบบไม่ตั้งใจโดยไม่มีผู้ชำนาญการโลจิสติกส์ที่แท้จริงยืนเคียงข้าง แม้ว่าประเทศไทยจะมีบุคลากรเหล่านี้ไม่มาก แต่ผมว่าก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่ท่านจะเลือกหาไว้เคียงกายแทนการเดินเท้าเพียงลำพังจนอาจเข้าเขตแดนกัมพูชาโดยไม่ตั้งใจครับ สิทธิชัย ชวรางกูร กลับสู่หน้าหลัก
Global News ชู 6 แผนปั๊มส่งออกปี'54ปั้นเอสเอ็มอีสู่เวทีโลก กรมส่งเสริมการส่งออกจะดำเนินการใน 6 ยุทธศาสตร์เพื่อผลักดันยอดส่งออกปี 2554 ให้เติบโตขึ้นจากปีนี้ แบ่งเป็น 1. พัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทยในเวทีการค้า ระหว่างประเทศ 2. ส่งเสริมการพัฒนาสินค้าและบริการบนพื้นฐานของการสร้าง มูลค่าเพิ่ม การสร้างตราสินค้า การสร้างสรรค์โดยเน้นความ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจโลกยุคใหม่ 3. พัฒนาและส่งเสริมช่องทางการตลาดใหม่ๆ ตลอดจนสร้างภาพลักษณ์และเครือข่ายพันธมิตรทางการค้า 4. ส่งเสริมพัฒนาระบบโลจิสติกส์ทางการค้าเพื่อลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการไทย 5. รักษาตลาดหลักและกระจายการส่งออกไปตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ โดยใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรีต่างๆ ควบคู่ไปกับการใช้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(เออีซี) เป็นฐานทางการค้าระหว่างประเทศ 6. เสริมสร้างสมรรถนะด้านบุคลากรและระบบข้อมูลการค้าระหว่างประเทศ อ่านต่อหน้า 2
ทั้งนี้ ตามยุทธศาสตร์ดังกล่าวจะมุ่งเน้นใน 3 ด้านสำคัญ คือ 1.ส่งเสริมผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก(เอสเอ็มอี) โดยมีเป้าหมายที่จะผลักดันสู่เวทีโลก 2.เร่งเจาะและขยายตลาดที่มีศักยภาพสูง เช่น อาเซียน จีน อินเดีย และรัสเซีย และ 3.ส่งเสริมสินค้าและธุรกิจบริการบนพื้นฐานของการสร้างมูลค่าเพิ่ม แผนส่งออกปีหน้าจะมุ่งพัฒนาการค้าของไทย ภายใต้กรอบข้อตกลงเขตการค้าเสรี(เอฟทีเอ) เพื่อก้าวไปสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 โดยจะเดินหน้าบุกตลาดอาเซียนอย่างเต็มที่ เพราะมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูง และมีกำลังซื้อสูง โดยตั้งเป้าการค้าในตลาดอาเซียนให้เติบโตขึ้น 20% ส่วนตลาดรองลงมา คือ จีน และอินเดีย อ่านต่อหน้า 3 หนังสือพิมพ์แนวหน้า
คลังคาดเศรษฐกิจไทยปีนี้โตร้อยละ 7.8 เหตุส่งออก นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ประมาณการเศรษฐกิจไทย ณ เดือนธันวาคม 2553 ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2553 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 7.8 ปรับตัวดีขึ้นมากจากปีก่อนหน้าที่หดตัวร้อยละ -2.3 ต่อปี ซึ่งประมาณการครั้งนี้สูงกว่าประมาณการ ณ เดือนกันยายน 2553 ที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 7.5 สะท้อนภาพรวมทางเศรษฐกิจในปี 2553 ที่ถือว่าขยายตัวได้ในระดับสูงมาก โดยปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐที่ขยายตัวในอัตราที่สูงตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลัก รวมถึงการฟื้นตัวของการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ซึ่งได้รับแรงหนุนจากรายได้ของเกษตรกรที่เพิ่มสูงขึ้นจากการที่ราคาพืชผลสำคัญปรับตัวสูงขึ้น และการขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นตามการส่งออก อ่านต่อหน้า 4
สำหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2553 จะอยู่ที่ร้อยละ 3.3 ใกล้เคียงกับที่ประมาณการไว้เดิม ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานคาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 0.9 สำหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจภายนอกประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2553 คาดว่าจะเกินดุลร้อยละ 4.4 ของ GDP เกินดุลลดลงจากปีที่แล้ว เนื่องจากการฟื้นตัวของการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ทำให้มูลค่านำเข้าสินค้ามีการเร่งตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 37.5 ต่อปี เทียบกับมูลค่าการส่งออกสินค้าที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 28.3 ต่อปี สำหรับภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 2554 สศค.ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยจะยังคงขยายตัวต่อเนื่องจากปีนี้ โดยประเมินว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวร้อยละ 4.5 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 4.0 – 5.0) ตามอุปสงค์ภายในประเทศที่ยังคงมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากปี 2553 ทั้งการบริโภคและการลงทุน ขณะที่อุปสงค์ภายนอกประเทศคาดว่าจะชะลอตัวลง เนื่องจากยังมีความเสี่ยงจากความเปราะบางของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลักที่อาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยได้ ในด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2554 คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 3.5 ต่อปี (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 3.0 – 4.5 ต่อปี) โดยมีแรงกดดันที่สำคัญมาจากราคาน้ำมันที่คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นจากปีนี้ และราคาสินค้าเกษตรในประเทศที่อาจเร่งตัวขึ้น อ่านต่อหน้า 5
ครม.ไฟเขียวลดภาษีชิ้นส่วนยานยนต์ครม.ไฟเขียวลดภาษีชิ้นส่วนยานยนต์ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติตามที่นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง ได้เสนอร่างกฎกระทรวงการคลัง 2 ฉบับ ให้ยกเว้นและลดภาษีนำเข้าอุปกรณ์และชิ้นส่วนยานยนต์ เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการผลิตรถยนต์ในประเทศและส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติ (เอ็นจีวี) เป็นเชื้อเพลิง โดยร่างกฎกระทรวงดังกล่าวจะมีผลทันที เมื่อกระทรงการคลังออกประกาศให้มีผลบังคับใช้ สำหรับร่างกฎกระทรวงการคลังฉบับแรกมีสาระสำคัญที่จะลดภาษีถังแก๊สซีเอ็นจี หรือเอ็นจีวี ที่ทำจากเหล็กกล้า จากอัตรา ที่เก็บอยู่ 17% ลงมาเหลือ 0% จนถึงวันที่ 31 ธ.ค.2554 จากนั้นในวันที่ 1 ม.ค. 2554 จะจัดเก็บที่อัตรา 10% พร้อมกันนี้ได้ เห็นชอบให้ลดภาษีอุปกรณ์ควบคุมการใช้ก๊าซซีเอ็นจี จากที่เก็บอยู่ 35% ลงมาเหลือ 0% จากนั้นในวันที่ 1 ม.ค. 2555 จะจัดเก็บที่อัตรา 10% และลดภาษีนำเข้าเบรก กระปุกเกียร์และชิ้นส่วนกระปุกเกียร์ รวม 12 ประเภท จากเดิมจัดเก็บในอัตรา 30% เหลือ 10% ขณะที่รถเครน และปั้นจั่น จากที่จัดเก็บอยู่ที่ 40% ให้ลดลงมาเหลือ 10% อ่านต่อหน้า 6
ส่วนร่างกฎกระทรวงฉบับที่สอง มีสาระสำคัญที่จะยกเว้นภาษีนำเข้าอุปกรณ์และชิ้นส่วนที่นำเข้ามาผลิตรถขนส่งขนาดใหญ่ รถบรรทุก รถโดยสารที่มีผู้โดยสารเกิน 10 คนขึ้นไปเป็นเวลา 2 ปี โดยชิ้นส่วนและอุปกรณ์ดังกล่าวต้องเป็นชิ้นส่วนที่ไม่สามารถผลิตได้ในประเทศเท่านั้น เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการชิ้นส่วนในประเทศ ส่วนรถแวนและรถปิกอัพจะไม่สามารถใช้ประโยชน์จากมาตรการภาษีนี้ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการปกป้องผู้ประกอบการในประเทศที่สามารถผลิตชิ้นส่วนบางรายการในประเทศได้ จะไม่มีการยกเว้นภาษีให้แต่อย่างใด เช่น หม้อน้ำ ท่อไอเสีย แบตเตอรี่ สายไฟ สีรถยนต์ แหนบ ยาง ดรัมเบรก สตาร์ตเตอร์ กระจกกมองหลังภายในรถยนต์ แผงบังแดด และกระจกนิรภัย อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังยืนยันว่าแม้จะทำให้สูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษีบ้างแต่ไม่มากนัก เมื่อเทียบกับความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจแล้วถือว่าคุ้มค่ากว่า และยังสนับสนุนให้ผู้ประกอบการในประเทศดำเนินธุรกิจต่อไปได้ด้วย. อ่านต่อหน้า 7 ไทยรัฐออนไลน์
เศรษฐกิจขยายตัวส่งผลราคาพลังงานปี'54 พุ่งพรวด นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.พลังงาน กล่าวว่า จากทิศทางการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย(จีดีพี) ในปี 2554 ที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 3.5-4.5% ส่งผลให้แนวโน้มการใช้พลังงานโดยรวมในปี 2554 จะมีมูลค่าสูงถึง 1.915 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีนี้ 6.6% โดยปริมาณนำเข้าน้ำมันดิบจะอยู่ที่วันละ 801,400 ล้านบาร์เรลต่อวัน ลดลง 0.1% เนื่องจากไทยผลิตปิโตรเลียมได้มากขึ้น แต่ในแง่มูลค่านำเข้าคาดว่าจะอยู่ที่ 746,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.7% ตามทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลกที่คาดว่าจะพุ่งขึ้นเฉลี่ยที่บาร์เรลละ 90 เหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีนี้ 10% ส่วนการนำเข้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) คาดว่าจะอยู่ที่ 123,000 ตัน ลดลง 92% และต้องชดเชยการนำเข้ามูลค่า 19,571 ล้านบาท ลดลงจากปีนี้ที่ต้องชดเชย 20,919 ล้านบาท ซึ่งการนำเข้าที่ลดลงเพราะโรงแยกก๊าซธรรมชาติ หน่วยที่ 6 เปิดดำเนินการแล้ว และการแยกโครงสร้างราคาก๊าซแอลพีจีจะจูงใจให้มีการผลิตในประเทศมากขึ้น ส่วนปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์(เอ็นจีวี) อยู่ที่วันละ 6,400 ตัน เพิ่มขึ้น 30.6% ด้านปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติคาดว่าจะอยู่ที่วันละ 4,335 ล้านลูกบาศก์ฟุต เพิ่มขึ้น 6.1% มีมูลค่าการใช้ 89,975 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.26% ส่วนการใช้ไฟฟ้าคาดว่าจะมีมูลค่า 504,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.5% และปริมาณการใช้อยู่ที่ 155,850 ล้านหน่วย เพิ่มขึ้น 5.5% สำหรับการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกินลิตรละ 30 บาทนั้น จะใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปดูแล เบื้องต้นใช้วงเงิน 5,000 ล้านบาท แนวโน้มราคาพลังงานในปี 2554 คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นทุกตัว ซึ่งจากการที่ไทยต้องนำเข้าในราคาที่เพิ่มขึ้นตามราคาในตลาดโลก อาจส่งผลให้ราคาจำหน่ายในประเทศเพิ่มขึ้น ดังนั้นในปี 2554 กระทรวงพลังงานจึงวางเป้าหมายเพื่อเร่งส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนตามแผน 15 ปี ให้เกิดขึ้นอย่างจริงจังมากขึ้น เพื่อลดการนำเข้า กลับสู่หน้าหลัก
Supply & Demand สินค้าไทยที่อิตาลีต้องการ สวัสดีปีกระต่ายค่ะท่านผู้ประกอบการทุกๆท่าน หวังว่าทุกท่านจะได้รับการพักผ่อนท่องเที่ยวอย่างเต็มอิ่มในช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมาเตรียมพร้อมสำหรับการลุยตลาดนำเข้าและส่งออกในปีนี้แล้วนะคะ สำหรับฉบับประเดิมปีกระต่ายเรามาเริ่มต้นกันที่ประเทศอิตาลีกันเป็นอันดับแรกเลยดีกว่าค่ะ จากปีที่ผ่านมาที่ประเทศกรีซประสบสภาวะเศรษฐกิจล่มครั้งยิ่งใหญ่ไปทำให้หลายๆประเทศในยุโรต่างหวาดผวากันว่าประเทศอื่นๆในละแวกใกล้เคียงจะล่มตามไปด้วย อิตาลีเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเสี่ยงสูงและโดนจับตามอง แต่อย่างไรก็ตามระบบเศรษฐกิจของอิตาลียังคงขับเคลื่อนไปได้โดยมีปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญได้แก่ การออมของประชาชนอยู่ในระดับสูง หนี้จากประชาชนและภาคเอกชนอยู่ในระดับต่ำกว่ามาตรฐานยุโรป และระบบธนาคารที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ครอบครัวอิตาลีเป็นครอบครัวที่รวยเป็นอันดับ 2 ในกลุ่มประเทศสมาชิก G7 รองจากประเทศฝรั่งเศส และรวยเป็นอันดับ 7 ของโลก ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญในการค้าระหว่างประเทศ สินค้าที่ชาวอิตาลีนิยมนำเข้าจากประเทศไทยได้แก่ อ่านต่อหน้า 2
อัญมณีและเครื่องประดับ – ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกอันดับต้นๆ ของไทยมาโดยตลอดและคาดว่าอิตาลีจะนำเข้าอัญมณีและเครื่องประดับเพิ่มขึ้นจากไทยในปีหน้า รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และรถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ - พบว่าในปีที่ผ่านมามียอดการส่งออกดีขึ้น เพราะในขณะนี้อิตาลีกำลังเสาะหา Supplier จากเมืองไทยประกอบกับมีผู้ผลิตอิตาลีได้เข้าไปตั้งฐานผลิตในเมืองไทยแล้ว ซึ่งปัจจัยดังกล่าวอาจส่งผลให้ยอดการส่งออกไม่ว่าจะเป็น ชิ้นส่วนประกอบรถบรรทุกรถยนต์ รถจักรยานยนต์และอุปกรณ์ประกอบ ต่างๆ เพิ่มขึ้น ยางพารา – เป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของไทยอีกรายการหนึ่งและมียอดการส่งออกเพิ่มขึ้นมากกว่าปีที่ผ่านมา ปลาหมึกสด, แช่แข็ง, แช่เย็น - เป็นสินค้าที่ตลาดอิตาลีต้องการเป็นอย่างมากแต่ผู้ส่งออกไทนไม่สามารถส่งออกได้ตามความต้องการเพราะมีจำกัด จึงถือเป็นการเสียโอกาสอย่างมาก จากการประมวลผลแล้ว หากผู้ประกอบการท่านใดสามารถหาปลาหมึกเพื่อการส่งออกได้ อย่ารอช้านะคะรีบส่งไปเจาะตลาดอีตาลีด่วนเลยค่ะ กลับสู่หน้าหลัก เพนกวิ้นตัวกลม
All about Logistics คุณสมบัติของ freight forwarder ที่ดี ฉบับนี้เราจะมาวิเคราะห์กันต่อจากฉบับที่แล้วที่ผู้เขียนได้นำเสนอบทความที่น่าสนใจชิ้นหนึ่ง ว่าด้วยเรื่องของคุณสมบัติของ freight forwarder ที่ดีว่าควรจะมีลักษณะการทำงาน การให้บริการในรูปแบบไหนเพื่อจะเป็นกลยุทธ์ในการแย่งชิงตลาดจากลูกค้าทั้งระดับบนและล่าง ในปัจจุบัน เราต้องยอมรับกันก่อนว่ามีบริษัทข้ามชาติเข้ามาลงทุนเข้ามาในประเทศไทยเป็นจำนวนมากมีทั้งเข้ามาเปิดสาขาที่เมืองไทย หรือ joint venture กับบริษัทไทยแท้เพื่อให้ได้รับสิทธิ์ในการเข้ามาลงทุนในประเทศ นายทุนเหล่านั้น เพียงถือกระเป๋าเข้ามาใบด้วยพร้อมด้วยเงินทุนจำนวนมหาศาลที่หนุนหลังอยู่ เท่านี้ ก็สามารถเข้ามาเปิดธุรกิจ freight forwarder ในประเทศไทย พร้อมที่จะตีตลาด Freight Forwarder ท้องถิ่นไทยเเท้อย่างไม่ยั้งมือ จากบทความของคุณดาริษา กล่าวโดยสรุปได้ว่า freight forwarder จะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ 1. ความเชี่ยวชาญในการให้บริการแสดงถึงการบริการที่มีคุณภาพ การตรงต่อเวลา และความเป็นมืออาชีพ รวมไปถึงการให้บริการแบบครบวงจร อ่านต่อหน้า 2
2. มีเครือข่ายที่กว้างขวางทั้งในประเทศและต่างประเทศ 2. มีเครือข่ายที่กว้างขวางทั้งในประเทศและต่างประเทศ 3. ความมั่นคงด้านการเงิน 4. มีการพัฒนาตัวเองให้เป็นแบบ One Stop Service 5. มีการพัฒนาด้านเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับลักษณะงานของลูกค้าในประเทศนั้นๆ เช่น Tracking System ผู้ 6. ควรมีจัดโครงการเสริมความรู้ให้แก่ลูกค้าโดยจัดให้มีการสัมมนาในหัวข้อต่างๆ ที่เป็นประโยชน์กับลูกค้าและพันธมิตร เพื่อประโยชน์ทั้งในส่วนของลูกค้าและเพื่อสร้างความเข้มแข็งของกลุ่ม Freight Forwarders ด้วยกันเอง จากทั้ง 6 ข้อด้านบนนั้น จะว่าทำได้ยากก็ไม่ใช่ จะว่าง่ายก็คงพูดได้ไม่เต็มปาก เพราะความเป็นไปได้ที่บริษัท freight forwarder ไทยเเท้จะสามารถตอบโจทย์ด้านบนได้ทั้งหมดนั้น อาจจะต้องใช้เงินทุนมหาศาล เครือข่ายที่กว้างไกลทั่วโลกซึ่งเราอาจจะเป็นรองบริษัทข้ามชาติก็ตรงจุดนี้ เพราะการที่บริษัทเหล่านั้นมีเงินทุน ส่วนหนึ่งย่อมมากจากการสนับสนุนจากประเทศมหาอำนาจที่เป็นประเทศแม่ในการขยายฐานกิจการไปยังเมืองท่าต่างๆทั่วโลก จึงไม่ใช่เรื่องที่ยากนักที่เราจะเห็นบริษัทอย่าง DHL FedEx หรือ Schenker กระจายอยู่ทั่วทุกหัวระเเหง แต่ถ้าพูดถึงข้อได้เปรียบของบริษัทไทยเเท้ๆที่น่าจะทำให้เราได้ใจชื้นขึ้นมาบ้างนั้น ผู้เขียนมองว่าแนวโน้มที่บริษัทของคนไทยจะมีองค์ความรู้ ในการปฏิบัติงาน และมีเข้าใจในธรรมชาติของคนไทย รวมไปถึงวัฒนธรรม และกฏเกณฑ์ต่างๆนั้น ย่อมมีความเป็นไปได้สูงมากกว่าชาติชาติอื่นๆอยู่แล้ว จึงเป็นส่วนหนึ่งที่เราสามารถดึงมาเป็นจุดเด่นมาสู้กับบริษัทฯข้ามชาติได้ไม่มากก็น้อย รวมไปถึงการที่เราพูดจาภาษาเดียวกัน ย่อมทำให้เรามีเข้าใจกันได้มากขึ้น และยิ่งหากเราสามารถผนึกกำลังกันได้อย่างเข้มแข็ง โดยมีเป้าหมายเดียวกันคือการพัฒนาระบบLogistics ของไทยให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมชาติอื่นๆนั้น อาจจะเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่น่าสนใจในการตั้งรับ และสกัดกั้นการเติบโตของบริษัทข้ามชาติให้ชะลอตัวลงได้ ส่วนการพัฒนาอื่นๆนั้น อาจจะต้องอาศัยระยะเวลาเพื่อเพิ่มเม็ดเงินลงทุน ความมั่นคง และความน่าเชื่อถือให้ลูกค้าได้เห็นว่า บริษัทของคนไทยก็ไม่แพ้ชาติใดในโลกเช่นกัน กลับสู่หน้าหลัก นามปากกา
เที่ยวรอบโลกกับ Peter Chan ประเทศภูฏาน สวัสดีครับท่านผู้อ่านที่เคารพทุกท่าน กลับมาพบกันอีกเช่นเคยกับคอลัมน์ เที่ยวรอบโลกกับ Peter Chan สัปดาห์นี้เราจะพาไปเที่ยวประเทศภูฏาน คงยังจำกันได้ใช่มั๊ยครับ ที่กษัตริย์แห่งภูฏานรูปงาม สมเด็จพระราชาธิบดี จิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก เสด็จมาเยือนประเทศไทย โดยเป็นพระราชอาคันตุกะแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งงานพระราชพิธีกาญจนาภิเษก และพระองค์ยังได้แนวนโยบายเศรษฐกิจพอเพียงไปปรับใช้ในประเทศ เราจะมาทำความรู้จักกับประเทศภูฏานให้มากขึ้นกันครับ ภูฏาน (Bhutan) (อ่านว่า พู-ตาน) หรือชื่อทางการคือ ราชอาณาจักรภูฏาน (Kingdom of Bhutan) เป็นประเทศในภูมิภาคเอเชียใต้ที่มีขนาดเล็ก และมีภูเขาเป็นจำนวนมาก ตั้งอยู่ในเทือกเขาหิมาลัยระหว่างประเทศอินเดียกับจีน ประเทศภูฏาน มีเมืองหลวง(และเมืองใหญ่สุด) มีชื่อว่าเมืองทิมพู ใช้ภาษาซองคาและภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ การปกครองประชาธิปไตย ภายใต้รัฐธรรมนูญเหมือนบ้านเรา รายได้ต่อหัว 3,330 ดอลลาร์สหรัฐ 8,047.50 บาทต่อเดือน อ่านต่อหน้า 2
ชื่อในภาษาท้องถิ่นของประเทศคือ Druk Yul (อ่านว่า ดรุก ยุล) แปลว่า "ดินแดนของมังกรสายฟ้า (Land of the Thunder Dragon) " นอกจากนี้ยังเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Druk Tsendhen เนื่องจากที่ภูฏาน เสียงสายฟ้าฟาดถือเป็นเสียงของมังกร ส่วนชื่อ ภูฏาน (Bhutan) มาจากคำสมาสในภาษาสันสกฤต ภู-อุฏฺฏาน อันมีความหมายว่า "แผ่นดินบนที่สูง" (ในภาษาฮินดี สะกด भूटถอดเป็นตัวอักษรคือ ภูฏาน) ประเทศภูฏาน เป็นประเทศที่ประกาศว่า จะไม่สนใจ GDP (GDP - Gross DomesticProduct หรือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ) แต่จะสนใจ GDH แทน (GDH - Gross Domestic Happiness หรือ ความสุขรวมภายในประเทศ (อืม... น่าคิดนะ) ในปี พ.ศ. 2173 ดรุกปา ลามะ ลี้ภัยจากทิเบตสู่ภูฏาน ต่อมาได้ตั้งตัวขึ้นเป็น ธรรมราชา ปกครองครองดินแดนด้วยระบบศาสนเทวราช มีคณะรัฐมนตรีช่วย 4 ตำแหน่ง แม้ภูฏานจะพยายามแยกตัวอยู่อย่างโดดเดี่ยว แต่ต่อมาก็ถูกรุกรานจากประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะทิเบตอยู่หลายครั้งในช่วงพุทธศตวรรษที่ 22 ถึง 23 ในระยะต่อมาก็ยังถูกรุกรานโดยอังกฤษซึ่งมีอำนาจอยู่ในอินเดียก่อนที่จะได้เจรจาสงบศึกกัน ในปี พ.ศ. 2453 ประเทศภูฏานมีองค์พระมหากษัตริย์เป็นประมุขเหมือนบ้านเรา ภายใต้การปกครองโดย สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ 5 ของราชวงศ์วังชุก ทรงปกครองประเทศโดยมีคณะองคมนตรีเป็นที่ปรึกษา และสภาแห่งชาติที่เรียกว่า ซงดู (Tsongdu) ทำหน้าที่ในการออกกฎหมาย ประกอบด้วยสมาชิก 161 คน สมาชิก 106 คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน สมาชิก 55 คน มาจากการแต่งตั้งของพระมหากษัตริย์ อ่านต่อหน้า 3
สัตว์ประจำชาติ :ทาคิน เป็นสัตว์ที่หายาก เพราะมีอยู่ในดินแดนภูฏานเพียงแห่งเดียว และอยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์ มีลักษณะคล้ายวัวผสมแพะตัวใหญ่ มีเขา ขนตามตัวมีสีดำ มักจะอาศัยอยู่กันเป็นฝูงในป่าโปร่ง บนความสูงกว่า 4,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลขึ้นไป ชอบกินไม้ไผ่เป็นอาหาร อาหารประจำชาติ : อาหารพื้นบ้านเป็นอาหารเรียบง่าย อาหารหลักเป็นทั้งข้าวบะหมี่ข้าวโพด ยังนิยมเคี้ยวหมากอยู่ อาหารส่วนใหญ่ประกอบด้วยพริก ผักและมันหมู อาหารประจำชาติคือ emadate ซึ่งประกอบด้วยพริกสดกับซอสเนยต้มกับหัวไชเท้า มันหมูและหนังหมู ชาวภูฏานนิยมอาหารรสจัด เครื่องดื่มมักเป็นชาใส่นมหรือน้ำตาล ในฤดูหนาวนิยมดื่มเหล้าหมักที่ผสมข้าวและไข่ ไม่นิยมสูบบุหรี่ นอกจากนั้นมีอาหารจากทิเบต เข่นซาลาเปาไส้เนื้อ ชาใส่เนยและเกลือ และอาหารแบบเนปาลในภาคใต้ที่กินข้าวเป็นหลัก สภาพภูมิประเทศมีลักษณะเป็นเทือกเขา ประเทศภูฏานเป็นประเทศที่มีขนาดเล็ก มีพื้นที่ประมาณ 38,394 ตารางกิโลเมตร (ขนาดใกล้เคียงกับประเทศสวิตเซอร์แลนด์) ตั้งอยู่เหนือรัฐอัสสัมของประเทศอินเดีย ภูฏานเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล ปรากฏภูมิประเทศ 3 ลักษณะ เทือกเขาสูงตอนเหนือ เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาหิมาลัย ที่ลาดเชิงเขา พบตอนกลางของประเทศ ที่ราบ พบตอนใต้ของประเทศ มีแม่น้ำพรหมบุตรพาดผ่าน อ่านต่อหน้า 4
เนื่องจากภูฏานเป็นประเทศขนาดเล็ก ลักษณะภูมิอากาศจึงไม่แตกต่างกันมากนัก โดยมากเป็นภูมิอากาศแบบกึ่งร้อนมีฝนชุก ยกเว้นตอนเหนือซึ่งเป็นภูเขาสูง ทำให้มีอากาศแบบหนาวเทือกเขา อากาศ กลางวัน 25 - 15 องศาเซลเซียส กลางคืน 10 - 5 องศาเซลเซียส มี 4 ฤดู คือ ฤดูใบไม้ผลิ จะอยู่ในช่วงเดือนมีนาคม - พฤษภาคม ช่วงนี้อากาศจะอบอุ่นและอาจมีฝนประปราย ฤดูร้อน จะอยู่ในช่วงเดือนมิถุนายน - สิงหาคม ช่วงนี้จะมีพายุฝน ตามเทือกเขาจะเขียวชอุ่ม ฤดูใบไม้ร่วง จะอยู่ในช่วงเดือนกันยายน - พฤศจิกายน ช่วงนี้อากาศจะเย็น ท้องฟ้าแจ่มใส เหมาะแก่การเดินเขา ฤดูหนาว จะอยู่ในช่วงเดือนธันวาคม - กุมภาพันธ์ อากาศจัดเย็นจัดตอนกลางคืนและรุ่งเช้า และจะมีหมอกหนา บางครั้งโดยเฉพาะในช่วงเดือนมกราคม อาจมีหิมะตกบ้าง สกุลเงินของภูฏานคืองุลตรัมซึ่งผูกค่าเงินเป็นอัตราคงที่กับรูปีอินเดีย และเงินรูปียังสามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายอีกด้วย แม้ว่าภูฏานจะเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดเล็กที่สุดในโลก แต่ก็มีอัตราการเติบโตที่สูงมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา (ร้อยละ 8 ในปี 2005 และร้อยละ 14 ในปี 2006) ในปี 2007 ภูฏานเป็นประเทศที่มีอัตราเติบโตสูงเป็นอันดับสองของโลกโดยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงถึงร้อยละ 22.4 ซึ่งเป็นผลจากการเริ่มใช้เขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าทาลา รายได้หลักของประเทศ มากกว่าร้อยละ 33 ของจีดีพี มาจากการเกษตร และประชากรกว่าร้อยละ 70 มีวิถีชีวิตขึ้นอยู่กับผลิตผลทางการเกษตรด้วย สินค้าส่งออกสำคัญคือไฟฟ้าจากพลังงานน้ำ ซึ่งส่งออกไปยังอินเดีย ประชาชนชาวภูฏานนับถือ ศาสนาพุทธนิกายมหายาน (ตันตรยาน หรือบ้างก็เรียกว่า วัชรยาน) 75% ศาสนาฮินดู 24% ศาสนาอิสลาม 0.7% และ ศาสนาคริสต์ 0.3% กลับสู่หน้าหลัก Peter Chan
S.N.P. Philosophy สวัสดีครับท่านผู้อ่านที่เคารพ สัปดาห์นี้ SNP Philosophy อาจจะเข้าใจยากไปซักนิดนึง แต่ถ้าตั้งใจอ่านดี ๆ หรืออ่านซักสองรอบ จะมีประโยชน์มาก และเอาไปใช้ได้ในชีวิตประจำวันเพื่อความสุขรับปีใหม่ 2554 ครับ สติมาปัญญาเกิด รับรู้ในกายจิตแนบชิดธรรมเพื่อน้อมนำจิตใจห่างไกลห่วงสรรพสิ่งโลกเราว่างเปล่ากลวงควรปล่อยล่วงผ่านไปในเวลาเพียงรับรู้เข้าใจในวันนี้ตามแต่มีผ่านกายให้คุณค่าอีกทั้งสุขโศกเศร้าเคล้าเวทนาอนิจจาปล่อยไปไม่แน่นอนมีเกิดก็มีดับสลับเปลี่ยนต่างหมุนเวียนตามเหตุเภทแต่ก่อนสืบต่อเป็นเงื่อนไขในบทตอนอาจยอกย้อนหากใจไม่ปล่อยวาง ปล่อยวางไปตามจริงสิ่งมีอยู่เพียงรับรู้บอกใจไม่คิดต่างสักแต่เห็นยินยลบนรายทางปล่อยไปอย่างที่เป็นเช่นที่เคยมีสติที่ฐานงานของจิตมิต้องคิดปรุงแต่งแจกแจงเอ่ยมีความรู้เท่าทันเท่านั้นเอยธรรมจะเผยให้รู้อยู่ในตน กลับสู่หน้าหลัก
Thank You ! พบกันใหม่ฉบับหน้า Logistics Specialist and International Freight Forwarder www.themegallery.com กลับสู่หน้าหลัก