240 likes | 428 Views
Topic 12 เงิน สถาบันการเงิน นโยบายการเงิน VS การคลังสาธารณะ (Public Finance). เงิน สถาบันการเงิน นโยบายการเงิน หัวข้อหลักที่สำคัญ. คุณสมบัติของเงิน หน้าที่ของเงิน ส่วนประกอบของอุปทานเงิน การเปลี่ยนแปลงในอุปทานของเงิน การควบคุมปริมาณเงิน และนโยบายการเงิน. ความหมายของเงิน.
E N D
Topic 12 เงิน สถาบันการเงิน นโยบายการเงินVSการคลังสาธารณะ(Public Finance)
เงิน สถาบันการเงิน นโยบายการเงินหัวข้อหลักที่สำคัญ • คุณสมบัติของเงิน • หน้าที่ของเงิน • ส่วนประกอบของอุปทานเงิน • การเปลี่ยนแปลงในอุปทานของเงิน • การควบคุมปริมาณเงิน และนโยบายการเงิน
ความหมายของเงิน เงิน (money)เป็นสิ่งที่ยอมรับกันทั่วไปว่าเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน และถือว่าเป็นทรัพย์สินที่มีสภาพคล่อง(Liquidity)สูงสุด • หน้าที่การเงิน - เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน (A Medium of Exchange) - เป็นมาตรฐานในการวัดค่า (A Standard for the Measurement of Value) - เป็นเครื่องสะสมค่า (A Store of Value) - เป็นมาตรฐานในการชำระหนี้ (A Standard of Deferred Payment)
ส่วนประกอบของปริมาณเงิน หรือ อุปทานของเงิน(The Determinants of Supply of Money) เงินที่หมุนเวียนอยู่ในมือของประชาชนในขณะใดขณะหนึ่ง ประกอบด้วยสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงสุด คือ • ธนบัตร (Paper Currency) หน่วยงานที่รับผิดชอบในการผลิตคือ ธนาคารแห่งประเทศไทย • เหรียญกษาปณ์ (Coin) หน่วยงานที่รับผิดชอบในการผลิตคือ กรมธนารักษ์ , กระทรวงการคลัง • เงินฝากเผื่อเรียก (Demand Deposit) หน่วยงานที่รับผิดชอบในการดูและเงินฝากเผื่อเรียกคือ ธนาคารพาณิชย์
อัตราดอกเบี้ย MS MS’ 0 อุปทานของเงิน • ปริมาณเงินตามความหมายแบบแคบ(M1)ประกอบด้วย M1 = ธนบัตร + เหรียญกษาปน์ + เงินฝากเผื่อเรียก • ปริมาณเงินตามความหมายแบบกว้าง(M2) ประกอบด้วย M2 = ปริมาณแบบแคบ + เงินฝากออมทรัพย์ + เงินฝากประจำ M2A = M2 + ตั๋วสัญญาใช้เงิน (Promissory Note : P/N) อุปทานของเงินมักถูกควบคุมจากธนาคารกลาง
อุปสงค์ของเงิน (The total Demand for Money) • ทฤษฎีของเงินตามทรรศนะของเคนส์ - เงินทำหน้าที่อื่นด้วยนอกเหนือจากการแลกเปลี่ยน - บุคคลถือเงินด้วยเหตุผล 3 ประการ คือ 1. ถือเงินเพื่อการใช้จ่ายประจำวัน (The Transaction Demand) 2. ถือเงินเพื่อสำรองใช้จ่ายยามฉุกเฉิน (The Precautionary Demand) 3. ถือเงินเพื่อเก็งกำไร/ลงทุน (The Speculative Demand)
การถือเงินเพื่อการใช้จ่ายประจำวันและการถือเงินเพื่อสำรองใช้จ่าย ยามฉุกเฉิน จะมีความสัมพันธ์ขึ้นกับรายได้ในทิศทางเดียวกัน • การถือเงินเพื่อเก็งกำไร จะมีความสัมพันธ์กับอัตราดอกเบี้ยในทิศทาง ตรงข้าม • อุปสงค์ต่อการถือเงินจึงมีความสัมพันธ์กับรายได้(Y) และอัตราดอกเบี้ย(i) Md = f (Y, i)
อัตราดอกเบี้ย Md 0 อุปสงค์ของเงิน Md = f (Y, i)
อัตราดอกเบี้ย M r Md 0 ปริมาณเงิน M • การกำหนดอัตราดอกเบี้ยดุลยภาพ • อุปสงค์ของเงินและอุปทานของเงินจึงเป็นตัวกำหนดอัตราดอกเบี้ยในระบบเศรษฐกิจ
การควบคุมปริมาณเงินหรือนโยบายการเงินการควบคุมปริมาณเงินหรือนโยบายการเงิน หน่วยงานที่รับผิดชอบในการใช้มาตรการต่างๆ ทางการเงิน คือธนาคารแห่งประเทศไทย • การซื้อขายหลักทรัพย์ (เช่น พันธบัตรรัฐบาล, ตั๋วเงินคลัง) ถ้าธนาคารต้องการเพิ่มปริมาณเงิน จะต้องรับซื้อหลักทรัพย์คืนจากประชาชน • การเปลี่ยนแปลงอัตราเงินสดสำรองตามกฎหมาย(Legal reserve) ถ้าธนาคารต้องการเพิ่มปริมาณเงิน จะลดอัตราเงินสดสำรองตามกฎหมาย • การเปลี่ยนแปลงอัตรารับช่วงซื้อลดตั๋วแลกเงิน (Rediscount rate)
อัตรารับช่วงซื้อลด(Rediscount Rate): อัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยคิดกับธนาคารพาณิชย์ เมื่อธนาคารพาณิชย์นำตั๋วสัญญาให้เงินมาขายลดที่ธนาคาร • อัตราหักลด(Discount Rate): อัตราที่ธนาคารพาณิชย์คิดกับลูกค้าที่นำตั๋วสัญญาใช้เงินมาขายให้ธนาคารพาณิชย์
BOT Commercial Banks Consumers Discount rate 10% Rediscount rate 5% ดังนั้น หากธนาคารแห่งประเทศไทยต้องการเพิ่ม(ลด)ปริมาณ โดยให้ธนาคารพาณิชย์ขยายสินเชื่อ จะทำโดยการลด(เพิ่ม)อัตรารับช่วงซื้อลดตั๋วแลกเงิน
ตัวอย่าง ณ.วันที่ 1 ธ.ค. 50 นายสมชายส่งออกข้าวไปขายบริษัทUSA ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา มูลค่าคิดเป็นเงินบาท = 100,000 บาท โดยมีกำหนดรับชำระเงินใน 3 เดือนข้างหน้า(1 มี.ค. 51) บริษัท USA ได้จ่ายชำระค่าสินค้าโดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (Promissory Note : P/N) ให้กับนายสมชาย ลงวันที่ 1 มี.ค. 51 จำนวน 100,000 บาท • ถ้านาย สมชาย ต้องการได้เงินก่อนตั๋วครบกำหนด นาย สมชาย จะนำตั๋วไปขายลดที่ธนาคารพาณิชย์ โดยธนาคารจะคิดดอกเบี้ย (อัตราหักลด)จากนาย สมชาย10 % • ถ้าธนาคารพาณิชย์ต้องการได้เงินก่อนตั๋วครบกำหนด ธนาคารพาณิชย์จะนำตั๋วไปขายลดที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) โดย BOT จะคิดอัตราดอกเบี้ย (อัตรารับช่วงซื้อลด) จากธนาคารพาณิชย์ในอัตรา 5%
การคลังสาธารณะ(Public Finance) • ความหมายและความสำคัญของการคลังสาธารณะ • งบประมาณแผ่นดิน • ประเภทของงบประมาณแผ่นดิน • นโยบายการคลัง หัวข้อหลักที่สำคัญ
การคลังสาธารณะ หมายถึง เศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับรายรับและรายจ่าย ของรัฐบาล • งบประมาณแผ่นดิน แผนเกี่ยวกับการใช้จ่ายของรัฐบาล และแผนเกี่ยวกับการจัดหารายรับให้เพียงพอในรอบระยะเวลาหนึ่งปีงบประมาณจะเริ่มต้นตั้งแต่ 1 ตุลาคม - 30 กันยายน เช่น งบประมาณปี 2551 จะเริ่มต้นตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2550 - 30 กันยายน 2551 หน่วยงานที่รับผิดชอบในการจัดทำงบประมาณแผ่นดิน คือ สำนักงบประมาณ , กระทรวงการคลัง
งบประมาณรายรับของรัฐบาล รายรับของรัฐบาลแบ่งเป็นประเภทต่างๆ ได้ 3 ประเภท คือ รายได้ , เงินกู้ และเงินคงคลัง • รายได้ของรัฐบาล รายได้จากภาษีอากร , รายได้จากการขายสินค้า , รายได้จากรัฐ พาณิชย์ , รายได้อื่นๆ , ค่าธรรมเนียม , ค่าปรับ • เงินกู้ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ • เงินคงคลัง : เงินที่เหลือจากการใช้จ่ายในปีก่อนๆ ซึ่งรัฐบาลสะสมไว้
งบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลสำหรับประเทศไทยจำแนกรายจ่ายออกเป็นประเภทต่างๆ เช่น • จำแนกตามลักษณะงาน เช่น การบริการทั่วไป , การบริการชุมชนและสังคม • จำแนกตามลักษณะเศรษฐกิจ • จำแนกตามส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ • จำแนกตามแผนงานของสาขาเศรษฐกิจ เช่น ด้านเกษตร ด้านอุตสาหกรรม ด้านคมนาคม
วัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายของรัฐบาลวัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายของรัฐบาล • 1. เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจภายในประเทศ • 2. เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจภายนอกระเทศ • 3. เพื่อเร่งรัดความจำเริญเติบโตทางเศรษฐกิจ • 4. เพื่อให้เกิดความเสมอภาคในการกระจายรายได้
วัตถุประสงค์ของการเก็บภาษีอากรวัตถุประสงค์ของการเก็บภาษีอากร • เพื่อจัดหารายได้ • เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อการใช้ทรัพยากรของประเทศ • เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ • เพื่อเร่งรัดความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ • หลักในการจัดเก็บภาษีอากร • หลักความยุติธรรม • หลักความมีประสิทธิภาพ (สะดวก) • หลักความแน่นอน (วิธีการจัดเก็บ , อัตราที่จัดเก็บ , ระยะเวลาในการจัดเก็บ , ผู้รับผิดชอบจัดเก็บ) • หลักประหยัด
ประเภทของภาษีอากร • ภาษีทางตรง (Direct Tax) ภาษีที่ผู้เสียภาษีจะต้องรับภาระภาษีที่เสียไว้เอง ผลักให้ผู้อื่นได้ยาก เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา , ภาษีเงินได้นิติบุคคล , ภาษีที่ดิน , ภาษีมรดก • ภาษีทางอ้อม (Indirect Tax) ภาษีที่ผู้เสียภาษีสามารถผลักภาระภาษีไปให้ผู้อื่นได้โดยง่าย ได้แก่ ภาษีที่เก็บจากการบริโภคหรือการขาย เช่น ภาษีสินค้าเข้า , ภาษีสินค้าออก , ภาษีการค้า , ภาษีมูลค่าเพิ่ม , ภาษีสรรพสามิต
อัตราภาษีแบ่งได้ 3 ประเภท • อัตราภาษีคงที่(Flat Rate หรือ Proportional Tax Rate) : อัตราภาษีที่จัดเก็บในอัตราที่เท่ากันโดยไม่คำนึงถึงขนาดของฐานภาษี เช่น ภาษีดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร , ภาษีเงินได้นิติบุคคล , ภาษีมูลค่าเพิ่ม • อัตราก้าวหน้า(Progressive Rate) : อัตราภาษีที่เก็บหลายอัตราโดยอัตราภาษีจะสูงขึ้นเมื่อฐานภาษีสูงขึ้น เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา • อัตราถอยหลัง ( Regressive Rate) : อัตราภาษีที่จัดเก็บหลายอัตราโดยอัตราภาษีจะต่ำลงเมื่อฐานภาษีสูงขึ้น เช่น ภาษีบำรุงท้องที่
ประเภทของงบประมาณแผ่นดินประเภทของงบประมาณแผ่นดิน • งบประมาณสมดุล (Balanced Budget) : งบประมาณที่รายได้ของรัฐบาล เท่ากับ รายจ่ายของรัฐบาล • งบประมาณไม่สมดุล (Unbalanced Budget) : - งบประมาณเกินดุล รายได้ > รายจ่าย - งบประมาณขาดดุล รายได้ < รายจ่าย
นโยบายการคลัง (Fiscal Policy) นโยบายของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับการจัดหารายได้ (ซึ่งได้แก่ การจัดเก็บภาษีอากร) และนโยบายที่เกี่ยวกับการใช้ จ่ายของรัฐบาล รวมทั้งการก่อหนี้ และการบริหารหนี้ สาธารณะ ตัวอย่าง มาตรการของนโยบายการคลังเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เช่น การจัดเก็บภาษีในอัตราก้าวหน้า , เงินประกันสังคม , โครงการพยุงราคาสินค้าเกษตรกรรม