1 / 54

สื่อที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูล

สื่อที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูล. วิชา บส 352 เทคโนโลยีการสื่อสาร ภาควิชาบรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์ มศว. อ. แววตา เตชาทวีวรรณ 16 มิถุนายน 2548. ประเภทของสื่อที่ใช้ในการสื่อสาร. สื่อประเภทเหนี่ยวนำ (Conducted media) 2. สื่อประเภทกระจายคลื่น (Radiated media).

britney
Download Presentation

สื่อที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูล

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. สื่อที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูลสื่อที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูล วิชา บส 352 เทคโนโลยีการสื่อสาร ภาควิชาบรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์ มศว. อ. แววตา เตชาทวีวรรณ 16 มิถุนายน 2548

  2. ประเภทของสื่อที่ใช้ในการสื่อสารประเภทของสื่อที่ใช้ในการสื่อสาร • สื่อประเภทเหนี่ยวนำ (Conducted media) 2.สื่อประเภทกระจายคลื่น (Radiated media)

  3. ประเภทของสื่อที่ใช้ในการสื่อสารประเภทของสื่อที่ใช้ในการสื่อสาร สื่อประเภทเหนี่ยวนำ (Conducted media) 2.สื่อประเภทกระจายคลื่น (Radiated media) หรือสื่อแบบใช้สาย เป็นสื่อ ที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ต้องอาศัยวัสดุที่จับต้องได้ เป็นตัวนำพาสัญญาณ เช่น สายทองแดง เป็นต้น

  4. ประเภทของสื่อที่ใช้ในการสื่อสารประเภทของสื่อที่ใช้ในการสื่อสาร สื่อประเภทเหนี่ยวนำ (Conducted media) 2.สื่อประเภทกระจายคลื่น (Radiated media) เป็นสื่อที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ไม่ใช้วัสดุใดๆในการนำพา สัญญาณเช่นคลื่นไมโครเวฟ คลื่นวิทยุอินฟราเรดเป็นต้น

  5. สื่อประเภทเหนี่ยวนำ (Conducted medias) 1. สายคู่บิดเกลียว (Twisted pair wire) 2.สายโคแอกเชียล (Co-axial cable) 3.สายใยแก้วนำแสง (Fiber-optical cable)

  6. สายคู่บิดเกลียว(Twisted pair wire) • ประกอบด้วยสายทองแดงสองเส้นพันกันทำให้เกิดสนาม • แม่เหล็กไฟฟ้า • ใช้ส่งข้อมูลได้ทั้งแบบ Analogและ Digital • ราคาไม่แพงมาก ใช้ส่งข้อมูลได้ดี น้ำหนักเบาและติดตั้งง่าย

  7. สายคู่บิดเกลียว(Twisted pair wire) สายคู่บิดเกลียวที่นิยมใช้มี 2 แบบ คือ 1.1แบบไม่มีฉนวนหุ้ม / สายยูทีพี (Unshielded Twisted Pair) 1.2 แบบมีฉนวนหุ้ม / สายเอสทีพี (Shielded Twisted Pair)

  8. แบบไม่มีฉนวนหุ้ม / สายยูทีพี(Unshielded Twisted Pair) แบบStandard

  9. แบบไม่มีฉนวนหุ้ม / สายยูทีพี(Unshielded Twisted Pair) แบบCrossover

  10. แบบCrossover

  11. ประเภทของสาย UTP

  12. แบบมีฉนวนหุ้ม / สายเอสทีพี (Shielded Twisted Pair) โครงสร้างเหมือนสายUTP แต่เพิ่มฉนวนพิเศษ เรียกว่า Claddingหุ้มสายภายใน แต่ล่ะคู่

  13. สายโคแอกเชียล(Co-axial cable) • โครงสร้างของสายประกอบด้วยลวดทองแดงสองเส้นสำหรับนำส่งสัญญาณ ได้แก่ • Inner conductor • Second condutor ฉนวน

  14. สายโคแอกเชียล (Co-axial cable) • ข้อดี คือ ฉนวนภายนอกมีความคงทนต่อการใช้งานสูง และเป็นช่องสื่อสารที่มีความกว้างมาก • การถ่ายทอดสัญญาณทำได้ทั้ง • แบบบอร์ดแบนด์ (Broadband) - ส่งข้อมูลanalog • แบบเบสแบนด์(Baseband)– ส่งข้อมูล digital • ข้อเสีย คือ ขนาดค่อนข้างใหญ่และน้ำหนักมากเมื่อเทียบกับ สายคู่บิดเกลียว และราคาก็สูงกว่า

  15. สายใยแก้วนำแสง • หรือเรียกว่าสายไฟเบอร์ออฟติก ใช้ส่งสัญญาณดิจิตอลซึ่งเป็นสัญญาณแสง ส่งผ่านเส้นใยนำแสงที่ทำด้วยท่อแก้วหรือ ท่อสารซิลิกาหลอมละลาย (fused silica)

  16. สายใยแก้วนำแสง • ระบบส่งข้อมูลผ่านเส้นใยแก้ว ประกอบด้วย • อุปกรณ์กำเนิดแสง เป็นLED (Light Emitting Diode) • อุปกรณ์รับแสงเป็นPhotodiode • ตัวกลางเป็นแก้วหรือfused silica

  17. ประเภทของสายใยแก้วนำแสงประเภทของสายใยแก้วนำแสง • แบ่งตามเทคนิคการส่งแสงผ่านสาย ได้ 3 ชนิด • Multimode cable • Graded index multimode cable • Single mode cable

  18. 1. Multimode cable • แสงจะสะท้อนด้วยมุมต่าง ๆ จนถึงปลายทางรับสาย • ราคาไม่แพงและมีประสิทธิภาพในการส่งข้อมูลดีพอสมควร

  19. 2.Graded index multimode cable • ภายในฉาบด้วยวัสดุที่มีดัชนีความหักเหหลายระดับ ทำให้เกิดจุดรวม (focus) ของการสะท้อนแสง • สามารถส่งข้อมูลได้ดีกว่าแบบ multimode

  20. 3.Single mode cable • มีเส้นผ่าศูนย์กลางเท่ากับความยาวของคลื่นแสง ทำให้แสงถูกส่งไปยังปลายทางเป็นเส้นตรง • ราคาแพง มีประสิทธิภาพในการส่งข้อมูลสูง สามารถส่งข้อมูลได้หลาย Gbpsในระยะทางถึง 30 กิโลเมตร

  21. คุณสมบัติเด่นของเส้นใยแก้วนำแสงคุณสมบัติเด่นของเส้นใยแก้วนำแสง • ปัจจุบันสามารถส่งข้อมูลได้ 1,000 Mbps ในระยะทาง 1 กม. สามารถส่งสัญญาณเสียงได้ 30,000 ช่องสัญญาณ ใช้ส่งสัญญาณเสียง ภาพ และข้อมูลดิจิตอลได้พร้อม ๆ กัน เช่น ISDN • ความผิดพลาดในการส่งข้อมูลต่ำมาก เนื่องจากเส้นใยเป็นสารอโลหะ จึงไม่ถูกรบกวนจากคลื่นไฟฟ้าหรือสัญญาณวิทยุ • สามารถติดตั้งและใช้งานในที่ ๆ มีอุณหภูมิสูงหรือต่ำมาก ๆ ได้ • มีขนาดเล็กและน้ำหนักเบา ทำให้สิ้นเปลืองเนื้อที่ในการวางสายน้อย

  22. คุณสมบัติเด่นของเส้นใยแก้วนำแสง (ต่อ) • การสูญเสียกำลังส่งของสัญญาณ (Signal loss) มีน้อยกว่าสายคู่บิดเกลียวและสายโคแอกเชียล จึงใช้ Repeaterเพื่อทวนสัญญาณน้อยกว่า • มีความปลอดภัยในการส่งข้อมูลมากกว่าสายประเภทอื่น เส้นใยแล้วนำแสง ใช้ส่งสัญญาณได้ไกล 20-30 ไมล์ สายคู่บิดเกลียว ใช้ส่งสัญญาณได้ไกล 2.8 ไมล์

  23. ข้อด้อยของเส้นใยแก้วนำแสงข้อด้อยของเส้นใยแก้วนำแสง • ราคาแพงกว่า • ติดตั้งยากกว่า

  24. สื่อประเภทกระจายคลื่นสื่อประเภทกระจายคลื่น • คลื่นไมโครเวฟ(Microwave) • แสงอินฟราเรด(Infrared) • คลื่นวิทยุ(Radio wave) • วิทยุเซลลูลาร์(Cellular radio)

  25. 1. คลื่นไมโครเวฟ(Microwave) • การส่งคลื่นเป็นแบบเส้นสายตา(line of sight) • สามารถส่งได้ไกล 20-30 ไมล์ ถ้าต้องการส่งให้ไกลกว่าต้องมีสถานีถ่ายทอดสัญญาณไมโครเวฟ (Microwave Relay Station)

  26. คลื่นไมโครเวฟ(Microwave) Electromagnetic Spectrum Radio waves | Microwave | Infrared | Optical spectrum | Ultraviolet | X-ray Electromagnetic Spectrum Radio waves | Microwave | Infrared | Optical spectrum | Ultraviolet | X-ray • ใช้ความถี่ของคลื่นสัญญาณสูงระหว่าง2 – 40 KHz • ความถี่ของคลื่นส่วนใหญ่ถูกใช้ในงานราชการ เช่น ทหาร โทรทัศน์ ชุมสายทางไกลของโทรศัพท์ • ความถี่ระหว่าง 2.400 – 2.484 KHz รัฐอนุญาตให้ใช้ได้

  27. ข้อดีและข้อด้อยของคลื่นไมโครเวฟข้อดีและข้อด้อยของคลื่นไมโครเวฟ ข้อดี • ไม่มีปัญหาเรื่องวางสายเคเบิล • นิยมใช้ในเครือข่ายไม่ไกลนัก • ราคาถูกกว่าเช่าสายใยแก้วของระบบโทรศัพท์ ข้อด้อย • การส่งสัญญาณถูกรบกวนได้ง่ายจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จากสภาพภูมิอากาศ • ค่าติดตั้งเสาและจานส่งมีราคาแพง

  28. ประเภทของคลื่นไมโครเวฟประเภทของคลื่นไมโครเวฟ • ไมโครเวฟบนดิน (Terrestrial microwave) • ไมโครเวฟดาวเทียม (Satellite microwave)

  29. ไมโครเวฟบนดิน • เป็นการส่งสัญญาณแลกเปลี่ยนกันระหว่างสถานีบนพื้นดินสองสถานี • โดยทั่วไปใช้จานรับ-ส่งสัญญาณมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ10ฟุต • ระยะห่างของสถานีจึงควรอยู่ในระยะ40 -48กิโลเมตรและอาจไกลได้ถึง88กิโลเมตรและต้องไม่มีอะไรมาขวางระหว่างสองสถานี

  30. การใช้งานของคลื่นไมโครเวฟบนดินการใช้งานของคลื่นไมโครเวฟบนดิน • บริการโทรคมนาคมระยะไกลสำหรับส่งสัญญาณโทรทัศน์และเสียงแทนสายเคเบิลแกนร่วม • ระบบโทรทัศน์วงจรปิด(CCTV-Closed Circuit Television)เนื่องจากจะใช้เครื่องทวนสัญญาณน้อยกว่าการใช้สายเคเบิลในระยะทางเท่ากัน • ระบบสื่อสารภายในบริเวณ (LAN)เช่น ระหว่างตึกในระยะใกล้ • การสื่อสารดิจิตอลภาคพื้นดินรัศมีไม่เกิน 10 กิโลเมตร

  31. ไมโครเวฟดาวเทียม • ประกอบด้วยดาวเทียมหนึ่งดวงทำงานร่วมกับสถานีพื้นดินตั้งแต่2สถานีขึ้นไป • ดาวเทียมจะรับสัญญาณจากสถานีภาคพื้นดินในแถบความถี่หนึ่ง (Uplink) จากนั้นจะขยายสัญญาณถ้าเป็นสัญญาณ analogหรือทวนสัญญาณถ้าเป็นสัญญาณ digitalแล้วจึงส่งสัญญาณกลับลงมาภาคพื้นดินในแถบความถี่อื่น (Downlink) ที่แตกต่างกับความถี่ของสัญญาณที่ส่งเข้ามาเพื่อป้องกันการรบกวนของสัญญาณ

  32. ไมโครเวฟดาวเทียม • การสื่อสารดาวเทียมมีลักษณะเฉพาะคือมีการประวิงเวลา(Delay)ประมาณ0.5 – 5วินาทีในการส่งและรับสัญญาณเนื่องจากดาวเทียมอยู่ห่างจากโลกมาก • การส่งสัญญาณเป็นแบบแพร่กระจาย(Broadcasting)

  33. ระยะความถี่(Frequency range) ของสัญญาณดาวเทียม • ระยะความถี่(Frequency range) ที่เหมาะที่สุดสำหรับดาวเทียมสื่อสารคือระยะความถี่ 1 - 10 GHz • ในแถบความถี่ที่ต่ำกว่า 1 GHz จะมีการรบกวนของสัญญาณจากธรรมชาติและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในระดับค่อนข้างสูง • ในแถบความถี่มากกว่า 10 GHz สัญญาณไมโครเวฟจะเกิดการลดทอนเนื่องจากการดูดกลืนของบรรยากาศค่อนข้างมาก

  34. การใช้งานดาวเทียมโดยทั่วไปการใช้งานดาวเทียมโดยทั่วไป • ดาวเทียมสื่อสารทำงานได้ผลดาวเทียมสื่อสารต้องเสมือนหยุดอยู่กับที่เมื่อเทียบกับตำแหน่งบนโลกกล่าวคือดาวเทียมจะต้องหมุนเท่ากันกับโลกหมุนรอบตัวเองในระยะความสูงจากพื้นโลก 35,789 กิโลเมตร เรียกว่า ดาวเทียมแบบวงโคจรสถิตย์ • ดาวเทียมสองดวงใช้แถบความถี่เดียวกันอยู่ใกล้กันไม่ได้คลื่นความถี่จะแทรกกันจะต้องห่างกันมากกว่า 3-4 องศาซึ่งขึ้นกับย่านความถี่ • ในปัจจุบันได้มีการนำดาวเทียมแบบวงโคจรต่ำ (low earth orbiting satellite : LEOS) มาใช้งานดาวเทียมแบบนี้มีรัศมีวงโคจรเพียง 520-1,600 กิโลเมตรจากผิวโลกใช้เวลาในการโคจรรอบโลกรอบหนึ่งเพียง 90 – 100 นาทีซึ่งประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่า

  35. การใช้งานดาวเทียมสื่อสารทั่วๆไปมี2ลักษณะการใช้งานดาวเทียมสื่อสารทั่วๆไปมี2ลักษณะ • การเชื่อมโยงแบบจุดต่อจุด(Point-to-Point Link) • การเชื่อมโยงแบบหลายจุด(Multipoint Link)

  36. การใช้ประโยชน์ของสัญญาณดาวเทียมในปัจจุบันการใช้ประโยชน์ของสัญญาณดาวเทียมในปัจจุบัน • การแพร่ภาพโทรทัศน์ โดยการส่งสัญญาณแบบ Broadcasting 2.โทรศัพท์ทางไกล ใช้เชื่อมโยงระหว่างชุมสายโทรศัพท์ แบบจุดต่อจุด ซึ่งราคาถูกกว่าการเช่าสายใยแก้วนำแสง • เครือข่ายธุรกิจส่วนบุคคล(Private Business Networks) โดยใช้ระบบสถานีภาคพื้นดินขนาดเล็ก ที่เรียกว่า VSAT (Very Small Aperture Terminal)

  37. แสงอินฟราเรด (Infrared) Electromagnetic Spectrum Radio waves | Microwave | Infrared | Optical spectrum | Ultraviolet | X-ray Visible: Red | Orange | Yellow | Green | Blue | Indigo| Violet

  38. แสงอินฟราเรด (Infrared) ค้นพบโดย : Sir Frederick William Herschel (1738-1822)

  39. แสงอินฟราเรด (Infrared) • หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า คลื่นความถี่สั้น (Millimeter waves) • เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่อยู่ในระหว่างแสงที่ตามองเห็น • ลำแสงอินฟราเรดเดินทางเป็นเส้นตรง ไม่สามารถผ่านวัตถุทึบแสง และสามารถสะท้อนแสงในวัสดุผิวเรียบได้เหมือนกับแสงทั่วไป • ใช้มากในการสื่อสารระยะใกล้ เช่น รีโมทคอนโทรลของเครื่องรับโทรทัศน์ • ปัจจุบันถูกพัฒนาใช้ในการสื่อสารไร้สาย สำหรับเครือข่ายเฉพาะบริเวณ

  40. แสงอินฟราเรด (Infrared) • เมื่อใช้ในการสื่อสารข้อมูลในเครือข่ายสามารถส่งสัญญาณได้ในระยะ 30-80 ฟุต หรือ 10-30 เมตร • เป็นสื่อที่มีช่องสัญญาณกว้างพอประมาณในระดับสูงเมื่อเปรียบเทียบกับสายยูทีพี • อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่มีช่องสื่อสารอินฟราเรด เรียกว่าIrDa(Infrared Data Association) สามารถสั่งงานระยะไกลได้ประมาณ 1 – 5 เมตร

  41. แสงอินฟราเรด (Infrared) • ข้อดีคือ สร้างได้ง่าย ราคาถูก และมีความปลอดภัยในการส่งข้อมูลดีกว่าคลื่นวิทยุ • ข้อเสียคือ ไม่สามารถผ่านวัตถุทึบแสงได้

  42. คลื่นวิทยุ (Radio wave)

  43. คลื่นวิทยุ (Radio wave) • ประเภทของคลื่นวิทยุ • Long Wave • AM (Medium Wave) • Short Wave • FM, TV • ( Very High Frequency = VHF) • UHF • (Ultra High Frequency)

  44. คลื่นวิทยุ (Radio wave) • เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในแถบความถี่ตั้งแต่ 30 MHz - 1 GHz • ต่างกับคลื่นไมโครเวฟตรงที่สามารถเดินทางได้รอบทิศทาง • ความถี่ของสัญญาณสูงดังนั้นจึงมี bandwidth กว้าง สามารถส่งข้อมูลด้วยอัตราส่งสูง 100-400 Kbps และสามารถใช้ช่องสัญญาณหนึ่งสำหรับหลายสถานี • เมื่อมีการชนกันของสัญญาณข้อมูลจะใช้วิธี CSMA (Carrier Sense Multiple Access) • ระยะทางการส่งได้ไกล 30 กิโลเมตร ถ้ามีเครื่องทวนสัญญาณจะส่งได้ไกลถึง 500 กิโลเมตร

  45. คลื่นวิทยุ (Radio wave) • ข้อดี คือ สามารถส่งข้อมูลได้แบบไร้สายและสร้างเครือข่ายได้กว้างไกล การติดตั้งไม่ยุ่งยากเนื่องจากใช้อุปกรณ์น้อย • ข้อเสีย คือ ความปลอดภัยของข้อมูลมีน้อยจึงควรมีการเข้ารหัสข้อมูล และคลื่นวิทยุอาจถูกรบกวนได้ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและสภาพภูมิอากาศต่าง ๆ

  46. วิทยุเซลลูลาร์ (Cellular radio) • มีชื่อเรียกอีกอย่างอื่น ได้แก่ โทรศัพท์เคลื่อนที่ โทรศัพท์มือถือ • เป็นการใช้คลื่นวิทยุในการรับ-ส่งเสียงสนทนาหรือข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์

  47. วิทยุเซลลูลาร์ (Cellular radio) แบ่งตามลักษณะการใช้งาน ดังนี้ • ระบบเพจจิง (Paging system) • ระบบโทรศัพท์เซลลูลาร์ / เคลื่อนที่ (Cellular / Mobile Phones) • ระบบโทรศัพท์ดาวเทียม (Satellite Phones) • ระบบโทรศัพท์พีซีเอส (Personal Communications Services)

  48. ระบบเพจจิง (Paging system) • ระบบจะทำงานต่อเมื่อมีผู้ส่ง ข้อความถึงผู้ใช้ผ่านบริษัทเพจจิง • เครื่องคอมพิวเตอร์ของระบบจะส่ง ข้อมูลผ่านสายพื้นดินไปยังเสาอากาศ เสาอากาศจะส่งข้อมูลไปยังดาวเทียมเพื่อแพร่ข้อมูลไปยังเครื่องรับ (beeper)

  49. ระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile Phones) • ระบบเซลลูลาร์ที่ส่งข้อมูลทั้งแบบ analogและ digital มีหลายระบบ เช่น • GSM - Global System for Mobiletelephones ในบริการในคลื่นความถี่ 850-1900 Mhz มีทั้งระบบdual-band, tri-band และquad-band • AMPS - Advanced Mobile Phone System  (800 Mhz) ส่งข้อมูล analog • TACS  - Total Access Communications Service  (900 Mhz)ส่งข้อมูล analog

More Related