1 / 65

การศึกษาในฐานะเป็นปัจจัยกำลังอำนาจแห่งชาติ

การศึกษาในฐานะเป็นปัจจัยกำลังอำนาจแห่งชาติ. โดย ดร.จรวยพร ธรณินทร์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ วันอังคารที่ 9 มกราคม 2550 เวลา 09.00-10.20 น วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร. สาระในการนำเสนอ ต่อ วปรอ. 4919. 1. ทำไมการศึกษาคือปัจจัยอำนาจ 2. ประเมินพลังอำนาจของการศึกษาไทย หลายมิติ

mora
Download Presentation

การศึกษาในฐานะเป็นปัจจัยกำลังอำนาจแห่งชาติ

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. การศึกษาในฐานะเป็นปัจจัยกำลังอำนาจแห่งชาติการศึกษาในฐานะเป็นปัจจัยกำลังอำนาจแห่งชาติ โดย ดร.จรวยพร ธรณินทร์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ วันอังคารที่ 9 มกราคม 2550 เวลา 09.00-10.20 น วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร

  2. สาระในการนำเสนอ ต่อ วปรอ. 4919 • 1. ทำไมการศึกษาคือปัจจัยอำนาจ • 2. ประเมินพลังอำนาจของการศึกษาไทย หลายมิติ • 3. ผลประเมิน : การศึกษาคือจุดอ่อนของประเทศไทย • 4. จุดอ่อนการศึกษาไทยอยู่ที่ไหน • 5. อะไรทำให้โรงเรียนดี มีตัวอย่างดีๆจากประเทศที่ทำดีๆ • 6. การศึกษาไทยที่กำลังทำอยู่ พอจะมีหวังหรือไม่ • 7. ข้อเสนอของ วปรอ.4919 ให้การศึกษาไทยเป็น พลังอำนาจที่แท้จริง 2

  3. เพราะการศึกษาคือความคาดหวังสร้างคนเพราะการศึกษาคือความคาดหวังสร้างคน พออ่านออกเขียนได้ รู้พอทำมาหากินได้ เอาตัวให้รอด รู้ทันผู้คนในสังคม ต้องจัดการความรู้ในองค์กร สร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ ต้องแข่งขันได้ในเวทีโลก ทำไมการศึกษาคืออำนาจ 3

  4. ประเมินสถานภาพการศึกษาไทย 1.วัดจากศักยภาพการแข่งขัน ทุกด้านโดยใช้ดัชนีIMD 2.วัดจากดัชนีคุณภาพนักเรียนPISA 3.วัดจากค่าใช้จ่ายโดยWorld Bank 4.วัดจากดัชนีการศึกษาเพื่อปวงชนของUNESCO 5.ใช้การประเมินคุณภาพภายนอกโดยสำนักงานประเมินและรับรองคุณภาพการศึกษา (สมศ.) 6.วัดจากพฤติกรรมครูและนักเรียน 4

  5. 1.วัดศักยภาพการแข่งขันของประเทศทุกด้านโดยIMD: อันดับสมรรถนะการศึกษาไทย 48 จาก 61 5

  6. JPN 550 HKG KOR FIN CAN GBR NZL AUS IRL SWE AUT CZE NOR FRA CHE BEL ISL 500 DNK USA ESP HUN DEU POL ITA RUS GRC LVA PRT 450 THA BGR ISR LUX MEX 400 ARG CHL MKD IDN ALB BRA 350 PER 300 0 5000 10000 30000 35000 45000 15000 25000 40000 20000 2. วัดคุณภาพนักเรียน & รายได้ประชาชาติ (TIMSSและPISA) (The Trends in International Mathematics and Science Study (TIMSS) ไทยคาบเส้น Average performance (reading, mathematical and scientific literacy) ปิยะบุตร ชลวิจารณ์ : GDP per capita (US$ converted using PPPs) 6

  7. ดัชนีคุณภาพนักเรียนด้านการอ่าน (PISA 2000) คะแนนเฉลี่ย และอันดับของประเทศเอเซีย อันดับที่ 1. ฟินแลนด์ 2. แคนาดา 3. ออสเตรเลีย จาก41ประเทศ หมายเหตุ : 7

  8. ดัชนีคุณภาพนักเรียนด้านคณิตศาสตร์(TIMSSและPISA)ดัชนีคุณภาพนักเรียนด้านคณิตศาสตร์(TIMSSและPISA) 8

  9. ดัชนีคุณภาพนักเรียนด้านวิทยาศาสตร์ดัชนีคุณภาพนักเรียนด้านวิทยาศาสตร์ ลำดับที่ของประเทศในการประเมินผล 9

  10. ไทย อันดับ 34 และอยู่ที่ 25%ท้ายสุด ดัชนีคุณภาพนักเรียนด้านทักษะการแก้ปัญหา(PISA2003) 10

  11. 1 เวลาเรียนของนักเรียนไทยน้อยกว่าที่อื่น 2 เศรษฐกิจ และ ทรัพยากรการเรียน - ทรัพยากรโครงสร้างพื้นฐานมีความสัมพันธ์ต่ำกับ คะแนนคณิตศาสตร์ - ทรัพยากรการเรียนส่งผลต่อผลการเรียนรู้โดยตรง 3 ขาดครูที่สามารถสอนได้ดี 4 ภูมิหลังทางเศรษฐกิจและสังคมของครอบครัว PISA บอกปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ 11

  12. เวลาที่ใช้ในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เวลาที่ใช้ในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ประเทศ ป.4 ป. 6 ม. 2 16% 16% 16% 12% 18% 11% 15% 15% 15% 14% 14% 14% 17% 17% 13% 14% 13% 12% 20% 20% 13% 12% 11% 10% 22% 20% 15% 8% 8% 8% ฟินแลนด์ จีน-ไทเป จีน-ฮ่องกง อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลี มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย เวลาที่ใช้ในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ (TIMSS 1999)  12

  13. ทรัพยากรโครงสร้างพื้นฐาน (PISA 2003) ค่าเฉลี่ย OECD ไทยไม่ขาดแคลน (ดัชนีมีค่าเท่ากับOECD) 13

  14. แหล่งเรียนรู้(PISA 2003) ค่าเฉลี่ย OECD ไทยขาดทรัพยากรการเรียน (ดัชนีต่ำกว่าค่าเฉลี่ย) 14

  15. ส่วนใหญ่จะจัดสรรงบการศึกษาพื้นฐานมากกว่าระดับอื่นๆส่วนใหญ่จะจัดสรรงบการศึกษาพื้นฐานมากกว่าระดับอื่นๆ ปิรามิดหัวกลับ(สหรัฐอเมริกา) รูปเพชรเอเชียตะวันออก ปัจจุบัน ฐานแคบลง เอเชียตะวันออก 1980s) รูปปิรามิด(ประเทศส่วนใหญ่) (ไทย) 3.วัดจากลักษณะการกระจายงบประมาณ (World Bank) …บางประเทศเน้นหลังมัธยม อุดมศึกษา มัธยม ประถม 15 Source : World bank 2003

  16. 4.ประเมินสถานภาพการศึกษาจากสภาพจริง4.ประเมินสถานภาพการศึกษาจากสภาพจริง 4.1 งบประมาณการศึกษา 2000-2005 ปีงบประมาณ 2000 2001 2002 2003 2004 2005 งบการศึกษา 200,621 221,603 222,900 225,092 251,233 262,938 (ล้านบาท) % งบทั้งประเทศ25.7 24.4 21.8 23.5 24.4 21.9 As % of GDP 4.5 4.3 4.1 4.0 3.9 3.7 ยูเนสโกแนะงบการศึกษาต่อGDPที่เหมาะสมต้อง8 % และไทยอยู่อันดับ 61 จาก190 ประเทศในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน 16

  17. 4.2 เปรียบเทียบการรับนักเรียนนักศึกษาปีการศึกษา2548-2549 อาชีวะคือจุดอ่อน 953,980 953,832 566,978 586,523 414,337 327,298 395,585 303,779 196,089 200,759 ปวส.1 ม.1 ม.4 ปวช.1 มหา’ลัย ปี 1 (ปี 2549 ในระดับมหา’ลัย ปี 1 ไม่นับรวมมหาวิทยาลัยเอกชน 16 แห่ง) 17

  18. 4. 3 จุดอ่อนไทย นิสิตเลือกเรียนสังคมศาสตร์ จำนวนนิสิต/นักศึกษา ปี 2547 ป.ตรี 18

  19. 4.4 จำนวนปีการศึกษาที่ได้รับการศึกษาเฉลี่ยของคนไทย ปี 2543-2547 19

  20. 4.5 ขาดแคลนครู เกือบ1แสนคน สพฐ : 50,456 คน สอศ. : 21,492คน สกอ. : 20,108คน กศน.: 2,814คน รวม: 94,870คน 20

  21. 5. การประเมินคุณภาพภายนอกสถานศึกษา โดยสมศ. • ระดับขั้นพื้นฐาน (รอบแรก พ.ศ. 2544-2548) จำนวน 30,010 แห่ง • ว่ามีโรงเรียนที่ผ่านเกณฑ์การประเมินเพียง 35% ของทั้งหมด • สถานศึกษาในภาคกลางได้มาตรฐานสูงสุด 51% • ภาคตะวันตก 44% ภาคตะวันออก 41% • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 34% ภาคเหนือ 31% ภาคใต้ 30% 19,507 แห่ง65% 10,503 แห่ง35% กว่า 90%เป็นโรงเรียนประถมศึกษา 560 โรงเรียนมีคะแนนต่ำสุด : ต้องรีบเร่งปรับปรุง 21

  22. การติดตามภาพรวมประเทศไทยสศช.2549 รายงานว่า การศึกษาของไทย • 1.คนไทยอายุ15 ปีขึ้นไป อ่านออกเขียน95% ของประชากรในปี 2548 ดีเชิงปริมาณ แต่คุณภาพมีจุดอ่อน • 2. สพฐ.ดูแลนักเรียน 8.7 ล้าน(75.8% ของทั้งประเทศ) มีโรงเรียนที่ผ่านเกณฑ์ประเมินเพียง 34% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั้งประเทศ • 3. โรงเรียนเอกชนที่มีนักเรียนประมาณ 1.9 ล้านคน คิดเป็น 16.6% ก็ผ่านเกณฑ์มาตรฐานเพียง 49% เท่านั้น 22

  23. การติดตามภาคการศึกษาของประเทศไทยการติดตามภาคการศึกษาของประเทศไทย • 4. สัดส่วนครูต่อนักเรียนของรร.สังกัดสพฐ.ในปี 2548เกินเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้ว่าครู 1 คน ต่อนักเรียน 25 คน ถึง 13.8% • 5. ครูสอนหลายวิชา รวมทำงานธุรการ การเงิน รับส่งหนังสือวิชาการ ดูแลร้านค้าสวัสดิการของโรงเรียน ต้องสอนควบห้องอื่นด้วยในกรณีครูที่รับผิดชอบมีภารกิจราชการอื่น 23

  24. การติดตามภาคการศึกษาของประเทศไทย สศช. พบว่า • 6.ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของนักเรียนไทยมีปัญหาอยู่ในระดับวิกฤตต้องแก้ไขด่วน เพราะผลการสอบวิชาภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และคณิตศาสตร์ ของนักเรียนเฉลี่ยแล้วได้คะแนนไม่ถึง 50% • 7.สาเหตุของปัญหาน่าจะมาจากระบบการให้บริการทางการศึกษาทั้งด้านคุณภาพสถานศึกษาและ ครูผู้สอนยังมีจุดอ่อนอยู่มาก 24

  25. ผลประเมิน : การศึกษาคือจุดอ่อนของประเทศไทย ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สรุปงานสัมมนาประจำปี 2549 ของธปท.ในหัวข้อ “ประเทศไทยกับการก้าวสู่เศรษฐกิจเอเชียยุคใหม่ ” (ใช้ข้อมูลธนาคารโลก) จุดอ่อนที่สุดของประเทศไทยคือด้านการศึกษา ส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันและการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศไทย 25

  26. แก้จุดอ่อนการศึกษาไทย (ข้อเสนอที่ประชุมธปท) • 1.จุดอ่อนอยู่ที่เด็กอายุก่อน6ขวบซึ่งเป็นช่วงเหมาะสมที่สุดในการพัฒนา โดยธปท.แนะว่าควรจะเพิ่มทั้งการอบรมสั่งสอนและการให้ความรู้ ซึ่งจะดีมากหากเพิ่มการศึกษาภาคบังคับจาก12 ปี เป็น 15 ปี • ให้เริ่มจากประมาณ 3 ขวบ เพื่อให้เด็กไปโรงเรียนเร็วขึ้น ซึ่งรัฐบาลควรให้การอบบรมผ่านครูและการให้กินนมหรืออาหารเสริมจากโรงเรียนได้ซึ่งดีกว่าการให้เงินพ่อแม่ 26

  27. ทำไมการศึกษาจึงเป็นจุดอ่อนที่สุดของประเทศไทยทำไมการศึกษาจึงเป็นจุดอ่อนที่สุดของประเทศไทย • 2. ต้องยกระดับโรงเรียนของรัฐบาลและโรงเรียนในชนบทให้เท่าเทียมกับโรงเรียนเอกชน เพื่อลดช่อง ว่างคนรวยและคนจนให้ห่างกันน้อยลง • 3. ดูแลครูเพิ่มขึ้น ทั้งในด้านการเสริมความรู้ การดูแลด้านหนี้สิน และปรับโครงสร้างเงินเดือนให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ • 4. ห่วงความไม่เท่าเทียมทางการศึกษาคนภาคอีสานได้รับการศึกษาน้อยกว่าภาคอื่น และเด็กที่มีฐานะดีมีการศึกษาที่ดีกว่า 27

  28. แก้จุดอ่อนการศึกษาไทยแก้จุดอ่อนการศึกษาไทย • 5. การลงทุนด้านงบประมาณของรัฐ ควรเน้นลงทุนในช่วงวัยเด็กเล็ก เพราะเป็นช่วงที่ทำให้เด็กมีประสิทธิภาพจากการลงทุนสูงสุด แต่ปัจจุบันไทยลงทุนด้านอุดมศึกษาสูงกว่า ไทยควรวางนโยบายการพัฒนาคนต้องกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันมากขึ้นทั้งโรงเรียน บริษัท และตลาดแรงงาน โดยใช้ระบบภาษีมาจูงใจ 28

  29. ปัญหาการบริหารการศึกษา:ข้อเสนอจากนักวิชาการปัญหาการบริหารการศึกษา:ข้อเสนอจากนักวิชาการ • 1.ปัญหาเอกภาพโครงสร้างระดับกระทรวง มี 5 องค์กรหลัก • 2.ปัญหาระดับสำนักงาน - สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา รอขอแยกออกจาก ศธ. และมหาวิทยาลัยขอออกนอกระบบ - สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษารอกฎหมายมากว่า 4 ปี - สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ต้องดูแลครูหลายแสนคนทั่วประเทศ 29

  30. ปัญหาของการปฏิรูปการศึกษาซึ่งเริ่มปี2542ปัญหาของการปฏิรูปการศึกษาซึ่งเริ่มปี2542 • 3.ปัญหาระดับเขตพื้นที่ โครงสร้างที่ต้องดูแล การประถมศึกษา มัธยม การศึกษาเอกชน และการศึกษานอกโรงเรียนจังหวัด • 4.ปัญหาการบริหารงานบุคคล สพฐ.ถูกตัดอำนาจการบริหารงานบุคคล ตามมาตรา 25 แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ทำให้ถูกตัดเรื่องการถ่วงดุลอำนาจการบริหารงานบุคคลจากเขตพื้นที่ฯ และสถานศึกษาทุกแห่งทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอำนาจในการโยกย้าย การบรรจุ การแต่งตั้ง 30

  31. ปัญหาของการปฏิรูปการศึกษาซึ่งเริ่มปี2542 • 5.ปัญหาคณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษา อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯไม่ค่อยมีผู้ใดให้ความสำคัญเท่าใดนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขตพื้นที่ฯ บางแห่งมีการประชุมคณะกรรมการเขตพื้นที่ฯ เพียงปีละ 1-2 ครั้งเท่านั้น • 6.ปัญหาเรื่องการกระจายและมอบอำนาจให้การบริหารทุกอย่างลงสู่เขตพื้นที่ฯ และสถานศึกษาทั่วประเทศ และโรงเรียนเป็นนิติบุคคล • 7. การถ่ายโอนอำนาจการจัดการศึกษาไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็นปัญหาคาใจของบุคลากรที่สังกัด ศธ. กระทรวงมหาดไทยไปจนถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย 31

  32. ข้อเสนอของเครือข่ายชุมชนเพื่อการปฏิรูปสังคมและการเมือง (คปสม.) 1)รัฐต้องจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายอย่างแท้จริง 2) จัดให้เด็กทุกคนมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาพื้นฐาน เน้นให้โรงเรียนในท้องถิ่นชนบทเปิดการศึกษาภาคบังคับ ครบ 9 ปี จัดสวัสดิการให้แก่เด็กในครอบครัวที่ยากจน ด้อยโอกาสและ เด็กพิการอย่างทั่วถึง 3) หลักประกันคุณภาพการศึกษา รัฐสนับสนุนให้ชุมชน กลุ่มวัฒนธรรม มีสิทธิในการจัดการศึกษาพื้นฐานในชุมชนเองได้ ให้ยืดหยุ่นในการกำหนดสัดส่วนหลักสูตรกลางกับท้องถิ่น และพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านการศึกษา 4) การมีส่วนร่วมของภาคประชาชน พัฒนาศักยภาพกรรมการสถานศึกษาให้สามารถทำหน้าที่การบริหารสถานศึกษาและจัดการให้เกิดการมีส่วนร่วมในชุมชนได้ 32

  33. ปัญหาการศึกษาส่งท้ายปี 2549 ในสายตาสื่อมวลชน • "สทศ."ทำแอดมิสชั่นส์ป่วน • คุณภาพโรงเรียนต่ำจำนวน15,000 แห่ง • เรื่องยุ่งถ่ายโอนร.ร.ให้ ”อปท.” • จัดอันดับมหาวิทยาลัยไทยวุ่น • ประท้วงต้านมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ • ขาดแคลนครู เสมือน“ดินพอกหางหมู” 82,839 อัตรา • ครู131,217 คนมีหนี้สิน หนี้เฉลี่ย1.1 ล้านบาทต่อ1คน • ครูใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ “ผู้เสียสละ” 33

  34. 6. ประเมินส่งท้ายปี2549 พฤติกรรม“วัยโจ๋”มั่วสุดขีด • ต่อมยางอายวิกฤติแต่งตัว ใส่เสื้อขนาด SSS กางเกง“เอวต่ำ-เป้าสั้น ไม่อายต่อการแสดงออกต่อกันของคู่รัก • จาก“จับคู่ อยู่กิน”มา“จับกลุ่ม มั่วเซ็กซ์” • *ชีวิตติดไฮโซ ต้องแบรนด์เนม 34

  35. สรุปปัญหาใหญ่ของการศึกษาไทยอยู่ที่ผลผลิต :การคิด 1.คิดผิด:คิดแบบเอาเปรียบ,คิดเรียนลัด,คิดเก็งกำไร 2.คิดไม่เป็น:ตามผู้อื่น,เลียนแบบ,เชื่อเพราะผู้พูดเป็นผู้ใหญ่หรือผู้อาวุโส 3.ไม่คิด: ติดนิสัยพึ่งพาผู้อื่น,เชื่อตัวบุคคล,เชื่อนัก วิชาการ,เชื่อหนังสือพิมพ์โดยไม่ไตร่ตรอง 4.คิดแล้วไม่ทำ: ประชุมเสร็จก็เลิกรา, ปล่อยให้คน ที่รับผิดชอบไปทำคนเดียว, ไม่ช่วยระดมในรูปกลุ่ม 35

  36. แก้ให้จุด ต้องสอนเด็กไทยให้คิดได้ 10มิติ 1. คิดเชิงวิพากษ์ค้นหาจุดดีจุดอ่อน 2. คิดเชิงวิเคราะห์จำแนกแจกแจง หาเหตุผล 3. คิดเชิงสังเคราะห์นำข้อมูลไปรวมกันเป็นสถานการณ์ใหม่ 4. คิดเชิงเปรียบเทียบชั่งน้ำหนัก เชื่อมโยงกับสิ่งอื่น 5. คิดเชิงมโนทัศน์คิดถึงแก่น หลักการ ปรัชญา 36

  37. การปฏิรูปการเรียนใหม่ ต้องสอนให้คิดได้ 10มิติ (ต่อ) 6. คิดเชิงประยุกต์นำไปทดลองใช้ในรูปแบบอื่น 7. คิดเชิงกลยุทธค้นหากลอุบายทางเลือก หลายทางไปสู่ความสำเร็จ 8. คิดเชิงบูรณาการคิดแบบผสมผสาน ใช้ความรู้รอบด้านมาตอบ 9. คิดเชิงสร้างสรรค์คิดสร้าง ค้นหาสิ่งแปลกใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน 10. คิดเชิงอนาคตวาดไปในอนาคต คาดการณ์จะเกิดอะไรขึ้น 37

  38. การสอนแบบบรรยายไม่ใช่เลวร้ายไปหมดแต่ควรใช้เพียง 20% สอนด้วยวิธีที่หลากหลาย80% ควรใช้การบรรยายใน 3 สถานการณ์ 1) เหมาะกับการพูดกับคนจำนวนคราวละมากๆ ได้พร้อมกัน 2) ใช้เกริ่นนำและสรุปเนื้อหาเพื่อบอกให้ชัดเจน ตรงไปตรงมา 3) เป็นการถ่ายทอดประสบการณ์จากผู้รู้ไปยัง ผู้ไม่เคยรู้มาก่อน 38

  39. การสอนแบบบรรยาย มี เงื่อนไข 1) ผู้พูดต้องเก่ง มีน้ำเสียงลีลาน่าฟัง เสียงสูงเสียงต่ำ 2) เนื้อหาต้องน่าสนใจ 3) ความยาวไม่มาก 4) เชื่อมโยงกับชีวิตจริง 5) มีการชักแม่น้ำทั้งห้า อุปมาอุปมัย พรรณนา 6) บรรยากาศไม่พูดแข่งกัน ไม่ร้อนเกินไป 39

  40. วิธีการถ่ายทอดให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองวิธีการถ่ายทอดให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตนเอง 1. ผสมผสานสรรพวิชาเข้าด้วยกัน 2. ให้รู้จักเรื่องใกล้ตัวก่อน แล้วจึงขยายวงออกไป 3. รู้จักตนเองก่อน จึงรู้จักผู้อื่น กลุ่มอื่น 4. นำเรื่องที่เหมาะสมกับตนเองมาก่อน ง่ายก่อน 5. ให้รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของสังคม 6. ไม่ติดยึดตำรา แหล่งเรียนรู้แหล่งเดียว 7. เปิดใจให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเอง ไปค้นหาเพิ่มเติม 8. ทำให้ผู้เรียนรู้ว่ามีสิ่งที่รู้แล้วแต่ยังไม่รู้อีกมาก ต้องใฝ่รู้มากขึ้น 9. สอนให้ฟังไปคิดตามไปด้วย 40

  41. แต่ละวิชาใช้ทักษะเรียนรู้ที่ไม่เหมือนกันแต่ละวิชาใช้ทักษะเรียนรู้ที่ไม่เหมือนกัน วิชา เน้นทักษะ • ภาษา ฟัง พูด อ่าน เขียน สื่อสารผู้อื่น • สังคม สร้างเจตคติ ฝึกทักษะกลุ่ม • ศิลปะ ดนตรีลงมือทำ อารมณ์สุนทรียะ คิดสร้างสรรค์ • กีฬา ลงมือฝึกให้ร่างกายเคลื่อนไหวในสถานการณ์แข่งขัน • วิทยาศาสตร์คิดเป็นกระบวนการ ทดลองค้นหาความจริง • ฝึกอาชีพ ลงมือฝึก รับผิดชอบ สร้างเอกลักษณ์วิชาชีพ • ปรัชญาศาสนา รู้เข้มวิเคราะห์สร้างศรัทธาเข้าใจชีวิตและตนเอง • เทคโนโลยี ซื้อมาใช้ เลียนแบบ ดัดแปลง สร้างเอง • คณิตศาสตร์ ทำแบบฝึกหัด ตีโจทย์ให้แตก หาเหตุผล ต้องเข้าใจ 41

  42. รูปแบบการสอนที่ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง(Learning Styles) • การเรียนรู้ของสมองBrain based-learning • จัดทำโครงงาน Project based- learning • ให้คิดสร้างสรรค์ Constructionism • เน้นการแก้ปัญหา Problem solving learning • เรียนทางไกลผ่านอินเตอร์เน็ต E_learning (Distant learning through internet) • สืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Cycle) • ทักษะชีวิต Life Skills 42

  43. การสอนที่ส่งเสริมคุณธรรมนำความรู้ การสอนที่ส่งเสริมคุณธรรมนำความรู้ 1.ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีคุณธรรมขั้นพื้นฐาน : ความรับผิดชอบ + ทำงานร่วมกับผู้อื่น 2.จัดกิจกรรมครอบคลุมทั้ง การคิด+ พฤติกรรมที่ทำ+ เกิดความรู้สึก 3.ใช้วิธีส่งเสริมแบบบูรณาการให้เกิดความคิดในเชิงบวก 4. สร้างบรรยากาศสิ่งแวดล้อมที่อบอุ่น 5. สร้างโอกาสการเรียนรู้เชิงคุณธรรมให้แก่นักเรียน 43

  44. การสอนที่ส่งเสริมคุณธรรมเชิงสร้างสรรค์การสอนที่ส่งเสริมคุณธรรมเชิงสร้างสรรค์ 6.สอดแทรกคุณธรรมทุกวิชาและ ให้เกียรตินักเรียน 7.กระตุ้นให้นักเรียนเกิดแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ 8.กระตุ้นครูทุกคนเป็นแบบอย่างที่ดีของศิษย์ 9.สร้างกิจกรรมนักเรียนในการเป็นผู้นำที่มีคุณธรรม 10.ขอความร่วมมือผู้ปกครองและชุมชน สนับสนุนการทำดีของลูก 11.การประเมินความสำเร็จของโรงเรียนให้ ประเมินจากพฤติกรรมของเด็กนักเรียน 44

  45. การส่งเสริมการอ่าน • อ่านดีคือ อ่านแล้วจับใจความ ตีความ และประเมินได้ วิธีส่งเสริมรักการอ่าน (อ่านเร็ว อ่านมาก อ่านยาก อ่านทน) -ครูต้องปรับการสอนให้เน้นเพื่อการสื่อสารมากกว่าเน้นไวยากรณ์ -ต้องเร่งงานวิจัยพัฒนาสร้างหลักสูตรวิธีสอนใหม่ๆให้ได้ผล -ครูต้องเปิดโอกาสให้เด็กเรียนรู้ด้วยตนเอง -ต้องมีอุปกรณ์ช่วยสอน -ภูมิปัญญาของพ่อแม่ช่วยสนับสนุนการเรียนรู้ของลูก 45

  46. หลากหลายข้อเสนอจากต่างประเทศ“1. อะไรทำให้โรงเรียนดี” ข้อเสนอโดย Roy A. Gordon • ครูใหญ่ 2. ครูทุกคน 3. หัวหน้านักเรียน 4. คำขวัญประจำโรงเรียน 5. กิจกรรม - กีฬา 6. ระเบียบวินัย 7. อารมณ์ขัน 46

  47. เรียนรู้จากBest Practice:คุณภาพการศึกษาในสายตาของยุโรป ยุทธศาสตร์ 10 ปี 2004-2013 1. เพิ่มคุณภาพการศึกษาและการฝึกอบรม 2. จัดบริการให้ทุกคนเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ 3. เปิดโอกาสให้ทุกคนเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต ท้าทายให้เรียนรู้ กระจายอำนาจการบริหารจัดการ 4. มีตัวชี้วัด ความสำเร็จ บริการแหล่งเรียนรู้ สร้างการมีส่วนร่วมจากประชาชน 47

  48. องค์ประกอบที่ 1 ความสำเร็จขั้นต่ำ ของนักเรียนทุกคน (ตัวชี้วัด 6 ตัว) คุณภาพการศึกษาในสายตาของยุโรป (ต่อ) ดัชนีวัดคุณภาพการศึกษา (KPI 16 ตัว) (วัดแบบไทยโดยสมศ.ใช้ 53 ตัวชี้วัด ) มีทักษะคณิตศาสตร์ ทักษะการอ่าน วิทยาศาสตร์ การใช้เทคโนโลยีข้อมูลข่าวสาร เรียนรู้วิธีค้นหาแหล่งเรียนรู้ เป็นพลเมืองดี 48

  49. องค์ประกอบที่ 2 ความสำเร็จในการ จัดการศึกษา (ตัวชี้วัด 3 ตัว) คุณภาพการศึกษาในสายตาของยุโรป (ต่อ) อัตราการตกหล่น/ออกกลางคัน จำนวนผู้จบมัธยมปลาย จำนวนผู้เรียนอุดมศึกษา 49

  50. คุณภาพการศึกษาในสายตาของยุโรป (ต่อ) ความสามารถในการบริหาร จัดการสถานศึกษา องค์ประกอบที่ 3 การวัดประเมิน ความสำเร็จของสถานศึกษา (ตัวชี้วัด 2 ตัว) ความร่วมมือ ของผู้ปกครอง 50

More Related