920 likes | 1.62k Views
การบรรยายพิเศษ เรื่อง การวิจัยเชิงคุณภาพกับการอาชีวศึกษาและฝึกอบรมวิชาชีพ. ณ ห้อง 12 B 06 อาคารนวมินทรราชินี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2553 เวลา 13.00-16.00 น. กา รวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research).
E N D
การบรรยายพิเศษเรื่อง การวิจัยเชิงคุณภาพกับการอาชีวศึกษาและฝึกอบรมวิชาชีพ ณ ห้อง 12 B 06 อาคารนวมินทรราชินี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2553 เวลา 13.00-16.00 น.
การวิจัยเชิงคุณภาพ(Qualitative Research) รองศาสตราจารย์ ดร. ดวงกมล ไตรวิจิตรคุณ ภาควิชาวิจัยและจิตวิทยาการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เนื้อหาการบรรยาย การวิจัย วงจรวิจัย กระบวนทัศน์ในการวิจัย (research paradigms) วิธีวิทยาของการวิจัยเชิงปริมาณและ การวิจัยเชิงคุณภาพ
เนื้อหาการบรรยาย การวิจัยเชิงคุณภาพ กรอบการวิจัย ขั้นตอนการวิจัย ยุทธวิธีในการวิจัย การออกแบบการวิจัย
เนื้อหาการบรรยาย ตัวอย่างงานวิจัยเชิงคุณภาพ คำถาม & คำตอบ
ปฏิบัติ ทฤษฎี สรุปอ้างอิง สมมติฐาน การวิจัย วิเคราะห์ การสุ่ม ตัวอย่าง การรวบรวม ข้อมูล นิยาม เครื่องมือ วงจรวิจัย ปัญหา วิจัย
กระบวนการวิจัย • การกำหนดปัญหาวิจัย (research problem) • การกำหนดวัตถุประสงค์และสมมติฐานการวิจัย • การศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย • การออกแบบการวิจัย การออกแบบการสุ่มตัวอย่าง (Sampling design) การออกแบบการวัดตัวแปร (Measurement design) การออกแบบการวิเคราะห์ข้อมูล (Analysis design)
กระบวนการวิจัย • การเขียนโครงการวิจัย • การเก็บรวบรวมข้อมูล • การวิเคราะห์ข้อมูล • การเขียนรายงานการวิจัย
การพัฒนาปัญหาวิจัย THEORETHICAL FRAMEWORK CONCEPTUAL FRAMEWORK RESEARCH PROBLEM RESEARCH QUESTION
กรอบความคิดเชิงทฤษฎี(THEORETICAL FRAMEWORK) • แบบจำลองแสดงโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรทั้งหมดที่เกี่ยวข้องตามทฤษฎี
กรอบความคิดในการวิจัย(CONCEPTUAL FRAMEWORK) • แบบจำลองที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นโดยใช้ทฤษฎีและผลการวิจัยในอดีต เพื่อแทนความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ระหว่างปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในธรรมชาติ และนำไปตรวจสอบว่ามีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์หรือไม่ เพียงใด
ปัญหาวิจัย(RESEARCH PROBLEM) • ประเด็น / สภาพ / ปรากฏการณ์ที่ผู้วิจัยสนใจศึกษา ซึ่งเกิดจากการสรุปจากกรอบความคิดในการวิจัย
คำถามวิจัย(RESEARCH QUESTION) • ข้อความที่เป็นประโยคคำถามซึ่งแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่ผู้วิจัยต้องการค้นหาคำตอบซึ่งครอบคลุมปัญหาวิจัย และนำไปสู่การตั้งจุดประสงค์ของการวิจัย
สภาพปัญหา(บรรยายรายละเอียดของปรากฏการณ์ที่เป็นปัญหาวิจัย)ปัญหาวิจัย (Research Problem)คำถามวิจัย (Research Question)วัตถุประสงค์ของการวิจัย
กระบวนทัศน์ในการวิจัย(RESEARCH PARADIGMS) PARADIGM มาจากภาษากรีกการแสดงตัวอย่างให้เห็น การแสดงให้เห็นไว้ข้างเคียง
RESEARCH PARADIGM วิธีการที่ใช้แสวงหาความจริงในศาสตร์นั้น ได้รับการถ่ายทอดจากรุ่นก่อน ความเคยชิน นิสัย ต้นแบบ กรอบ
สรุป RESEARCH PARADIGM เป็นตัวกำหนดเงื่อนไขครอบงำความคิดของคน ในการกำหนดปัญหา และวิธีการที่ใช้ในการวิจัย
ปฏิฐานนิยม ( POSITIVISM ) ปรากฏการณ์นิยม ( PHENOMENALISM ) กระบวนทัศน์การวิจัย
ความแตกต่างระหว่างกระบวนทัศน์ความแตกต่างระหว่างกระบวนทัศน์
ความจริงเป็นโลกภายนอกและวัดได้ด้วยวัตถุวิสัย (OBJECTIVE) ผู้วิจัยเป็นอิสระแยกกับสิ่งที่ถูกวิจัย ความจริงเป็นเรื่องปราศจากค่านิยม ความจริงทางสังคมสร้างขึ้นในความนึกคิดของมนุษย์และเป็นอัตวิสัย (SUBJECTIVE) ผู้วิจัยเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ถูกวิจัย ความจริงอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อและใจของมนุษย์ ความเชื่อพื้นฐาน POSITIVISM PHENOMENALISM
มุ่งประเด็นในสิ่งที่มีหลักฐาน ความจริง (FACT) มองในพื้นฐานของเชิงเหตุและผล จับแยกสภาพความจริงให้เล็กพอเหมาะกับการศึกษา สร้างสมมติฐานและทดสอบ มุ่งประเด็นของความหมาย(MEANING) พยายามเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น มองภาพรวมทั้งสถานการณ์ ค่อยๆ พัฒนาความคิดข้อสรุปจากข้อมูลเป็นรูปธรรม นักวิจัยควรจะ PHENOMENALISM POSITIVISM
ใช้วิธีการเชิงปริมาณ สร้างนิยามเชิงปฏิบัติการเพื่อวัดได้ ใช้กรอบทฤษฎีก่อน ๆ นำ ใช้วิธีการเชิงคุณภาพ ใช้วิธีการหลาย ๆ วิธี เพื่อสร้างแนวคิดนานาประการเกี่ยวกับปรากฏการณ์ ไม่ใช้ทฤษฎีนำ ศึกษาจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ วิธีการที่นิยมใช้ POSITIVISM PHENOMENALISM
ใช้เครื่องมือในการเก็บใช้เครื่องมือในการเก็บ ข้อมูล ใช้กลุ่มตัวอย่างมาก สถานที่ทำวิจัยใช้ห้องทดลอง ใช้มนุษย์เก็บข้อมูล กลุ่มตัวอย่างน้อยแต่เจาะลึก ทำในสภาพธรรมชาติ วิธีการที่นิยมใช้ POSITIVISM PHENOMENALISM
ความตรง (VALIDITY)เครื่องมือที่ใช้วัดในสิ่งที่ต้องการวัดหรือไม่ ความเชื่อถือได้ (CREDIBILITY)ผู้วิจัยสามารถเข้าถึงและมีความรู้ ความเข้าใจในความหมายต่าง ๆ และข้อมูล ความน่าเชื่อถือ POSITIVISM PHENOMENALISM
ความน่าเชื่อถือ POSITIVISM PHENOMENALISM • ความเที่ยง (RELIABILITY)การวัดให้ผลตรงกันทุกครั้งหรือไม่ (โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงของสิ่งที่ถูกวัด) • การพึ่งพาเกณฑ์ (DEPENDABILITY)การสังเกตสิ่งเดียวกัน โดยนักวิจัยหลายคน หลายโอกาส ว่าสอดคล้องกันเพียงใด
ความน่าเชื่อถือ POSITIVISM PHENOMENALISM • การถ่ายโอนผลการวิจัย(TRANSFERABILITY)ความคิดและทฤษฎีที่สร้างขึ้นจากสถานการณ์หนึ่ง ๆ สามารถจะนำไปใช้กับสถานการณ์อื่นเพียงใด • การสรุปผลอ้างอิง(GENERALISABILITY)โอกาสของรูปแบบที่ถูกสังเกตในกลุ่มตัวอย่างสามารถนำไปใช้อ้างกับประชากรทั้งหมดได้มากน้อยเพียงใด
กระบวนการวิจัยแบบนิรนัยในการวิจัยเชิงปริมาณกระบวนการวิจัยแบบนิรนัยในการวิจัยเชิงปริมาณ ผู้วิจัยทดสอบทฤษฎี ผู้วิจัยทดสอบสมมติฐานหรือ คำถามวิจัยที่มาจากทฤษฎีที่อ้างอิง ผู้วิจัยให้คำนิยามแนวคิด/ตัวแปรต่าง ๆ ซึ่งได้จากทฤษฎีที่อ้างอิง ผู้วิจัยใช้เครื่องมือ เพื่อวัดตัวแปรต่าง ๆ ในทฤษฎีที่อ้างอิง ที่มา : Cresswell, W John., 1994 : 88
กระบวนการวิจัยแบบอุปนัยในการวิจัยเชิงคุณภาพกระบวนการวิจัยแบบอุปนัยในการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้วิจัยพัฒนาทฤษฎี หรือเปรียบเทียบ รูปแบบที่ได้มาจากข้อมูลกับทฤษฎีอื่น ผู้วิจัยพยายามค้นหารูปแบบหรือทฤษฎีจากข้อมูลซึ่งผ่านการวิเคราะห์แล้ว วิเคราะห์แยกประเภท จัดหมวดหมู่ข้อมูล ถามคำถามเพื่อตรวจสอบข้อมูล ผู้วิจัยทำการเก็บรวบรวมข้อสนเทศต่าง ๆ ที่มา : Ibid., p.96
เชิงคุณภาพ เชิงปริมาณ วิจัยเชิงทดลอง วิจัยเชิงมานุษยวิทยา วิจัยเชิงประวัติศาสตร์ วิจัยกึ่งทดลอง วิจัยเชิงสำรวจ • ปรับจาก Wierma. W. 1990 : 15
ตัวอย่างคำถามวิจัย ตัวแปรที่สนใจคือ การจัดการเรียนการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน คำถามวิจัย ผลการสอนต่างจากเดิมอย่างไร ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนดีขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ ผู้สอนต้องสอนลักษณะอย่างไร มีปัญหาเกิดขึ้นระหว่างสอนหรือไม่
ตัวอย่างคำถามวิจัย 4. ผู้สอน และผู้เรียนรู้สึกอย่างไร ชอบหรือไม่ชอบ เพื่อนที่ช่วยสอนรู้สึกอย่างไร เพื่อนช่วยสอนแบบตัวต่อตัวหรือแบบกลุ่มดีกว่ากัน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอน กับ ผู้เรียนเป็นอย่างไร ฯลฯ
กรอบของปรากฏการณ์ทางสังคม(Lofland,1971)กรอบของปรากฏการณ์ทางสังคม(Lofland,1971) มี 6 ประเภท 1. การกระทำ (ACTS) - การใช้ชีวิตประจำวัน การกระทำ พฤติกรรมของบุคคล - กิจกรรมปกติธรรมดาทั่ว ๆ ไป วิถีชีวิต - เช่น สิ่งที่ทำ เสื้อผ้าที่ใส่ อาหารที่รับประทาน
2. กิจกรรม (ACTIVITIES) • การกระทำ/พฤติกรรมที่เป็นกระบวนการ มีขั้นตอน และมีลักษณะต่อเนื่อง • การกระทำของหลาย ๆ คนในฉาก ซึ่งแสดงถึงความสำคัญและความผูกพัน • เช่น วิธีการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ กระบวนการเรียนรู้ ขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ
3. ความหมาย (MEANINGS) • การให้ความหมายของการกระทำ หรือ กิจกรรม โดยคำพูดที่แสดงออกของผู้ให้ข้อมูล(Actor’s verbal) อธิบายให้คำจำกัดความ หรือทิศทางของการกระทำต่อสิ่งของ เหตุการณ์ และคุณลักษณะต่าง ๆ ของมนุษย์ ซึ่งเป็นการแสดงว่า บุคคลนั้น - ทำตามวัฒนธรรม - อุดมการณ์ - หน้าที่ - ความเชื่อ - ความรับผิดชอบ - ระเบียบ - ความเข้าใจ - ระเบียบ - อคติ
การที่บุคคลมองตัวเองในสังคม และเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในฐานะที่ตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของสังคม และวัฒนธรรมนั้น แสดงให้เห็นว่า บุคคลมีความเชื่อ โลกทัศน์ ทัศนคติ เกี่ยวกับสภาพของสังคม วัฒนธรรมของชุมชนอย่างไร
4. การมีส่วนร่วม (PARTICIPATION) • การมีส่วนร่วมของบุคคลต่าง ๆ ในสถานการณ์หรือฉากที่เราศึกษา • บุคคลที่เข้าไปเกี่ยวข้อง ให้ความร่วมมือ ยอมมีผลได้ผลเสียในกิจกรรม แสดงว่า ยอมรับความสัมพันธ์กับผู้เข้าร่วมกิจกรรมคนอื่น พร้อมจะเป็นพวกเดียวกัน • ข้อมูลสะท้อนความเข้าใจในโครงสร้างความสัมพันธ์-ความขัดแย้ง ได้ดี
5. ความสัมพันธ์ (RELATIONSHIP) • เป็นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลต่าง ๆ • ลักษณะความสัมพันธ์เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่มีอิทธิพลต่อกันและกัน • อาจเป็นแนวตั้ง/แนวนอน มิตร/ปรปักษ์ ปกป้อง/ละเลย • ถ้าเราวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของบุคคลในสังคมได้ จะนำไปสู่ ความเข้าใจในโครงสร้างของสังคม
6. สถานที่ (SETTINGS) • สภาพสังคม • รูปแบบทุกสิ่งทุกอย่างภายใต้ “สภาพศึกษา” ซึ่งใช้เป็นหน่วยการวิเคราะห์ • ภาพรวมทุกแง่ทุกมุมที่ผู้วิจัยสามารถประเมินได้ (HOLISTIC) • อาจเป็นสถาบัน ระบบ อนุระบบ (sub-settings)
ขั้นตอนในการวิจัยเชิงคุณภาพขั้นตอนในการวิจัยเชิงคุณภาพ • การวางแผน • ปัญหาชั่วคราว • เลือกพื้นที่ • กำหนดเวลา • ตัวแปรที่ศึกษา • ตั้งสมมติฐานในการทำงาน • สมมติฐานชั่วคราว (working hypothesis) • ได้ปัญหาวิจัย
การเก็บข้อมูล • ข้อมูลเอกสาร • สัมภาษณ์ • สังเกตแบบมีส่วนร่วม/ไม่มีส่วนร่วม • สนทนากลุ่ม • ปรับวิธีการเก็บและสมมติฐาน
การวิเคราะห์แปลผล • ลดทอนขนาดข้อมูล • จัดทำให้เป็นระบบ • สรุป • การเขียนรายงาน • รูปแบบ • วิธีเขียนแสดงหลักฐาน • การพิมพ์ • การตรวจสอบ
ยุทธวิธีในการศึกษาภาคสนามยุทธวิธีในการศึกษาภาคสนาม • การเลือกสนาม - การเลือกที่พัก - การใช้เวลาในสนาม - การเตรียมตัวเข้าสนาม - การเลือกผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (KEY INFORMANT)
การแนะนำตัว - กำหนดบทบาทของผู้วิจัย - คนนอก - คนใน - ไม่เปิดเผย (COVERT) - เปิดเผย (OVERT)
การสร้างความสัมพันธ์ • การรวบรวมข้อมูลในสนาม - ทำแผนที่ - ทางกายภาพ - ทางประชากร - ทางสังคม - เลือกตัวอย่าง - เวลา - สถานที่ - คน - เหตุการณ์
วิธีการที่ใช้รวบรวมข้อมูลวิธีการที่ใช้รวบรวมข้อมูล - สังเกต - สัมภาษณ์ - วิเคราะห์เอกสาร - ฯลฯ • การจากสนาม
ประเภทของการสุ่มตัวอย่างประเภทของการสุ่มตัวอย่าง • ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการศึกษาวิจัย • พิจารณาผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (KEY INFORMANT) • ความครอบคลุมประชากร